xs
xsm
sm
md
lg

หิริและโอตตัปปะธรรมะที่นักการเมืองขาด

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ชาวไทยทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นพุทธมามกะจะต้องเคยได้ยินคำสองคำอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

สองคำที่ว่านี้ก็คือ

1. หิริ หมายถึง ความละอายต่อความชั่วอันเป็นบาป เป็นอกุศล และความละอาย โดยนัยแห่งธรรมะข้อนี้หมายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองภายในจิตใจโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่าการกระทำอันเป็นบาปที่ว่านี้จะมีผู้อื่นรู้เห็นหรือไม่ และความละอายที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้เองที่จะช่วยป้องกันมิให้คนกระทำชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้คน

ส่วนความละอายที่เกิดจากผู้อื่นรู้เห็นการกระทำของตน ถึงแม้จะเป็นคุณสมบัติที่บุคคลผู้ได้รับการฝึกการอบรมให้ผู้มีมารยาทในสังคมพึงมีก็ไม่จัดเป็นหิริ เพราะเป็นความละอายอันเกิดจากบุคคลรู้เห็น

2. โอตตัปปะ หมายถึง ความรู้สึกกลัวเมื่อนึกถึงผลของบาปอันจะเกิดขึ้นและตามมาให้ผลแก่ผู้กระทำ ทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า และความกลัวทำนองนี้จะป้องกันมิให้คนกระทำชั่ว ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผู้อื่นรู้เห็นจับได้ไล่ทันหรือไม่

โดยนัยแห่งธรรมะ 2 ประการดังกล่าวแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้คนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในฐานะผู้นำในสังคม ที่มีทั้งอำนาจและหน้าที่ในการดูแล ปกป้องรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ทั้งนี้เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้คนเดินตาม

แต่ในความเป็นจริง วันนี้ และเวลานี้สังคมไทยในยุคที่มีวุฒิทางการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และปัจจัยอำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตเพิ่มขึ้น แต่ในทางด้านจิตใจกลับมีผู้โหยหาและเรียกร้องให้ผู้คนมีศีลธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน และที่เป็นเช่นนี้น่าจะเกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. โลกปัจจุบันแคบลงเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ทำให้วัฒนธรรมจากหลายส่วนของโลกไหลเข้าสู่สังคมไทยได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว จนเป็นเหตุให้ผู้คนในสังคมได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมที่ว่านี้อย่างทั่วถึง และนำมาผสมผสานกับของไทยเดิม หรือในบางกลุ่มถึงกับลืมของเดิมและใช้ของใหม่แทน

2. โดยปกติสังคมไทยเป็นสังคมเปิดอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีใครนำอะไรเข้ามา โอกาสที่จะเผยแพร่และชี้นำให้ผู้คนทำตามย่อมเกิดขึ้นโดยง่าย

3. โดยอุปนิสัยใจคอคนไทยมีลักษณะเป็นผู้ตามที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบท หรือแม้กระทั่งในสังคมเมืองแต่อยู่ในเขตชุมชนแออัดที่มีลักษณะเป็นชุมชนจัดตั้ง

ด้วยเหตุปัจจัย 3 ประการนี้เองที่ทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยซึ่งเน้นหนักในด้านจิตใจมากกว่าในด้านวัตถุได้เสื่อมลง และกำลังจะถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยมในที่สุด

ส่วนจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับวิธีแก้ไขและป้องกันของผู้ที่มีหน้าที่ และความรับผิดชอบในการปกครองประเทศเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคลากรทางการเมืองอันเป็นที่มาของผู้ปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยแล้ว พูดได้คำเดียวว่าค่อนข้างจะผิดหวัง ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่นักการเมืองมีพฤติกรรมอันถือได้ว่าอ่อนด้อยทางศีลธรรม และจริยธรรมเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากประเด็นต่างๆ อันเกี่ยวข้องทางการเมืองดังต่อไปนี้

1. ในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรเพื่อเข้ามาทำหน้าที่นิติบัญญัติในสภาผู้แทนฯ และทำหน้าที่เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ยังมีการใช้เงินซื้อเสียงกันเข้ามา อันถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเป็นการทำลายจริยธรรมทางการเมืองอันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

2. เมื่อได้มีโอกาสเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ หรือแม้กระทั่งทำหน้าที่นิติบัญญัติหรือตำแหน่งทางการเมืองอื่นใด ถ้ามีโอกาสหรือไม่มีก็พยายามทำให้มีเพื่อแสวงหาประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นการถอนทุนในรูปแบบของธุรกิจการเมือง โดยไม่คำนึงถึงว่าจะทำให้จริยธรรมทางการเมืองถูกทำลายหรือไม่ ขอเพียงอย่างเดียวไม่ต้องเป็นคนผิดกฎหมายก็พอแล้ว

ยิ่งกว่านี้ บางคนถึงแม้ว่าจะเป็นการทำผิดกฎหมายก็ทำ ขอเพียงว่าไม่ต้องรับโทษเนื่องจากคนอื่นจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือจับได้ไล่ทันก็ใช้อำนาจเงินต่อสู้เพื่อให้พ้นผิดได้ จะเห็นได้ชัดเจนในกรณี คตส.กำลังดำเนินการต่อการกระทำของผู้นำรัฐบาลในอดีต ในส่วนที่มีการกระทำผิดและมีหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องร้องได้ หรือแม้กระทั่งในคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ที่มีข่าวเรื่องการถือหุ้นในธุรกิจเกิน 5% และได้มีผู้แสดงความรับผิดชอบลาออกเองทันที 1 ท่านและจำใจต้องลาออกเพราะถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอีก 1 ท่าน

ส่วนรายสุดท้ายต้องลาออกทั้งที่ก่อนหน้านี้ยืนยันไม่ออก แต่ในที่สุดก็ต้องลาออกด้วยมีการเปิดเผยการถือหุ้น และบริษัทที่ถือหุ้นเข้ามาทำธุรกิจซื้อขายกับภาครัฐที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ อันถือได้ว่าน่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 เรื่องที่เกิดขึ้นกับบุคคลในรัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบัน ถือได้ว่ามีมูลเหตุมาจากการขาดคุณธรรม 2 ประการ คือ หิริ และโอตตัปปะค่อนข้างชัดเจน

จริงอยู่ถ้าดูจากตัวบทกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนี้ การถือหุ้นเกิน 5% ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะไม่ผิดกฎหมาย

แต่ถ้ามองในแง่ของจริยธรรมที่นักการเมืองจะพึงมีแล้วพูดได้คำเดียวว่าไม่เหมาะสม และถ้ายิ่งเป็นรัฐบาลที่เข้ามาจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่โค่นล้มรัฐบาลชุดก่อนด้วยข้อหาว่าทำผิดกฎหมาย และขาดจริยธรรมด้วยแล้ว ยิ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ถึงแม้ว่าผู้ที่มีส่วนในการถูกสังคมกล่าวหาว่าไม่เหมาะสมได้ลาออกไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะทำให้คุณธรรมและจริยธรรมของรัฐบาลชุดนี้ดีขึ้น เพราะถ้ามองในการคัดเลือกและตรวจสอบบุคลากรก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บริหารประเทศแล้ว บุคคลที่อยู่ในข่ายถูกกล่าวหาไม่ควรจะได้รับการคัดเลือกเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับเลือกเองควรจะรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรเหมาะสมและอะไรไม่เหมาะสมด้วยตัวเอง อันเป็นไปตามมาตรฐานของการมีหิริและโอตตัปปะ

แต่ที่เป็นเช่นนี้เชื่อได้ว่าในสังคมไทยจะมีเรื่องเช่นนี้อยู่ต่อไป ตราบเท่าที่บุคคลในฐานะปัจเจกบุคคลไม่ตรวจดูตัวเองก่อนรับปากรับคำเชิญเข้ามาสู่วงการเมือง และเข้ามานั่งในตำแหน่งบริหารประเทศในที่สุด

แม้จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายเลือกตั้งใหม่ ผู้เขียนก็ยังเชื่อว่าจริยธรรมทางการเมืองก็คงจะไม่ดีขึ้นมากนัก ตราบเท่าที่นักการเมืองเก่ายังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงการเมืองต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น