วานนี้( 28 ก.ย.) เวลา 09.30 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายนพดล ธรรมวัฒนะ เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่านายห้างทอง ธรรมวัฒนะ พี่ชายตัวเอง อดีต ส.ส.กรุงเทพ พรรคประชากรไทย โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 47 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 5 - 6 ก.ย.42 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกับพวกซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด บังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายห้างทอง 1 นัด โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าให้ตาย กระสุนปืนถูกบริเวณศีรษะนายห้างทอง เป็นบาดแผลฉกรรจ์ กระสุนทะลุกะโหลกศีรษะเข้าไปทำลายอวัยวะส่วนสมอง เป็นเหตุให้นายห้างทอง ถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลดังกล่าวแล้ว สมดังเจตนาของจำเลยกับพวก รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพและรายการตรวจศพของเจ้าพนักงานและแพทย์ เหตุเกิดที่บ้านธรรมวัฒนะ เลขที่ 299/9 หมู่ 7 ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. นอกจากนี้ในวันเวลาดังกล่าวตำรวจได้ตรวจยึดอาวุธปืนที่ใช้ยิงในข้อ 1 และสิ่งของต่างๆเป็นของกลาง กระทั่งวันที่ 31 ต.ค.46 เจ้าพนักงานตำรวจได้ควบคุมจำเลยมาดำเนินคดี จำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วมีปัญหาที่จะวินิจฉัยมีว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยข้อสมมติฐานของโจทก์ในแต่ละประเด็นไป เรื่องวิถีกระสุนปืน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พยานโจทก์ เบิกความว่า จากการตรวจพิสูจน์ศพผู้ตายครั้งที่ 2 พบกระสุนปืนลูกปรายจำนวนมาก กว่า 20 เม็ด ใต้ฐานสมอง กระสุนส่วนใหญ่อยู่ด้านหน้า เห็นว่า พยานโจทก์ผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายหลังจาก พ.ต.อ. นพ.พรชัย สุธีระคุณ แพทย์นิติเวชที่ผ่าศพครั้งแรกได้ผ่าเอาสมองออกจากะโหลกศีรษะแล้ว กระสุนลูกปรายที่ พยานโจทก์พบมีเพียง 20 กว่าเม็ด จึงเป็นส่วนน้อย โจทก์ไม่นำสืบว่ากระสุนลูกปรายส่วนใหญ่พบที่ใด ซึ่ง นพ.ธำรง จิรจริยาเวช พยานโจทก์เบิกความว่า บาดแผลจากศพผู้ตายเป็นวงกลมน่าเชื่อว่าแนวปากกระบอกปืนตั้งฉากกับศีรษะของศพผู้ตาย นอกจากนี้ตามรายงานการผ่าตรวจพิสูจน์ศพครั้งที่ 3 ของ นพ.เศวต กรรณล้วนและคณะ ระบุว่าพบกระสุนบางเม็ดกระจายต่ำลงมาถึงบริเวณกล้ามเนื้อของลำคอ ย่อมแสดงให้เห็นการกระจายไม่เป็นทิศทางแน่นอน ดังนั้นแม้ว่าจะพบกระสุนอีก 1 เม็ดอยู่ในแนวดิ่งระดับกระดูกคอซี่ที่ 4 ก็หาเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเป็นการยิงจากขวาไปซ้าย จากหลังมาหน้า และบนลงล่างซึ่งผิดปกติของการยิงตัวตายไม่
ประเด็นเกี่ยวกับเศษอาหารที่พบในลำไส้และกระเพาะอาหารนั้น พบเศษส้มเช้งในกระเพาะอาหารและเศษส้มโอในลำไส้เล็กของผู้ตาย ไม่พบเศษชมพู่และบะหมี่สำเร็จรูป อาจจะเป็นเพราะอาหารทั้งสองสามารถย่อยได้ง่ายกว่าส้มเช้งกับส้มโอ พยานโจทก์ไม่มีหลักวิชาการที่จะอธิบายระบบการย่อยอาหารที่แน่ชัดเกี่ยวกับเศษอาหารที่พบในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กผู้ตาย จึงไม่ใช่ข้อที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยให้การไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ว่าก่อนตายผู้ตายรับประทานส้มเช้ง ชมพู่และบะหมี่สำเร็จรูปในห้องที่เกิดเหตุ
ส่วนของรอยช้ำที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ตรวจพบที่ต้นขาขวาด้านหลังสันนิษฐานว่าเกิดจากการกระแทกกับของแข็งนั้น ตามรายงานการตรวจศพครั้งที่ 2 ไม่ปรากฏผลการตรวจชิ้นเนื้อบริเวณที่ว่าเป็นรอยช้ำทางห้องปฏิบัติการหรือไม่ หรือได้ผลว่าอย่างไร เพียงแต่สรุปว่าเป็นรอยช้ำที่เกิดจากการกระแทกกับของแข็ง ส่วนรอยช้ำที่ท้ายทอยนั้น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เบิกความว่า คืออาการตกของเลือดตกจากเบื้องสูง เนื่องจากกะโหลกผู้ตายแตกและนอนหงายเป็นเวลานาน รอยดังกล่าวทั้งสองแห่งจึงไม่ใช่รอยช้ำที่ผู้ตายถูกทำร้ายก่อนตาย
สำหรับประเด็นเรื่อง พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผบก.ป. (ขณะนั้น) ทดลองให้ยิงปืนในห้องที่เกิดเหตุขณะชงอาหารเสริมอีกห้องหนึ่งในสถานที่เกิดเหตุ เวลาและลักษณะเดียวกันแล้วได้ยินเป็นเสียงปืนชัดเจน ไม่คล้ายเสียงปะทัดดังที่จำเลยกล่าวอ้างนั้น ก็เป็นความเห็นของ พล.ต.ต.โกสินทร์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่คุ้นเคยกับเสียงอาวุธปืน
ส่วนสมมติฐานท่านั่งของผู้ตายขณะตายเป็นท่าที่ผิดปกติ เมื่อพิจารณาจากภาพถ่าย และวัตถุพยานประกอบการฉายวีซีดีวัตถุพยานแล้ว ฟังไม่ได้ว่าท่านั่งสุดท้ายของผู้ตายเป็นท่านั่งที่ผิดปกติ
ส่วนสมมติฐานเกี่ยวกับเขม่าปืนที่หลังมือผู้ตายน้อยกว่าฝ่ามือถือว่าผิดปกติ เนื่องจากมีการทดลองแสดงท่ายิงโดยจับด้วยอาวุธปืน 2 มือ แต่ปรากฏว่าเขม่าปืนที่หลังมือจะมากกว่าฝ่ามือเสมอ และเขม่าปืนที่ฝ่ามือขวาน้อยกว่าหลังมือขวา แสดงว่าผู้ตายไม่ได้ใช้มือขวากำด้ามปืนตอนยิง เพราะถ้าจับเขม่าปืนต้องตรวจพบที่หลังมือมากกว่าฝ่ามือนั้น เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุ ไม่มีผู้ใดทราบว่าผู้ตายทำอะไร ยิงปืนมาแล้วหรือไม่ ลำพังผลการตรวจธาตุในเขม่าปืนที่ฝ่ามือขวาของผู้ตายมากกว่าหลังมือขวา จึงยังไม่เพียงพอที่จะให้รับฟังว่าผู้ตายไม่ได้ยิงตนเอง
**หลักฐานอ่อนยกฟ้อง**
ส่วนที่เกี่ยวกับคราบเลือดในที่เกิดเหตุและสภาพศพ เห็นว่า ที่เกิดเหตุอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ วัตถุเช่นกระป๋องเครื่องดื่ม กล่องนมอยู่ในสภาพปกติ เชื่อว่าไม่มีการจัดฉากและเป็นภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุในบ้านจริง คราบเลือดไหลอยู่บนนิ้วของผู้ตาย คราบเลือดดังกล่าวอยู่ในสภาพสมบูรณ์เป็นธรรมชาติและเห็นคราบเลือดสะสมเป็นจำนวนมากบนเสื้อผ้าของผู้ตาย มีวัตถุหลายชนิดอยู่บนโต๊ะ พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอให้ฟังว่ามีผู้พยายามจัดสถานที่เกิดเหตุให้เหมือนการฆ่าตัวตาย
ส่วนที่จำเลยเห็นผู้ตายแล้วไม่เข้าช่วยเหลือเพียงแต่ร้องตะโกนว่าผู้ตายฆ่าตัวตายนั้น เห็นว่าเป็นเพียงความเห็นตามความรู้สึกนึกคิดของแต่ละบุคคล ในการที่จำเลยและผู้ตายมีปัญหาข้อขัดแย้งกันมาก่อน หากเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วนตามทางนำสืบของจำเลย บุคคลซึ่งอยู่ในภาวะเช่นจำเลยย่อมตกใจและทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะสถานที่เกิดเหตุเป็นห้องพักของจำเลย หากจำเลยเข้าไปแตะต้องผู้ตายก็อาจถูกกล่าวหาว่าฆ่าผู้ตายได้ จากเหตุผลที่ได้วินิจฉัยมาพยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบยังไม่พอให้ฟังว่าผู้ตายถูกฆาตกรรม จึงไม่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเป็นผู้ฆ่าผู้ตายหรือไม่ ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
**"นพดล"ขอบคุณศาลที่เมตตา**
หลังฟังคำพิพากษา นายนพดล กล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณศาลที่มีความเมตตา ซึ่งตนตกเป็นจำเลยของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะพญ.คุณหญิงพรทิพย์ และพล.ต.ต. โกสินทร์ หินเธาว์ เพื่อให้เรื่องราวผ่านพ.ร.บ ดีเอสไอ และต้องการทวงสิทธิจากแพทยสภาเพราะได้ร้องเรียนมาเป็นเวลา 1 ปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเรื่องจริยธรรม ทั้งที่แพทยสภาเป็นองค์กรที่จะต้องให้ความเป็นธรรมแก่สังคม ซึ่งจริยธรรมของ พญ. คุณหญิงพรทิพย์ได้สร้างตราบาปให้แก่ตน กระทรวงยุติธรรมและแก่ประชาชน และวันนี้ไม่น่าเชื่อว่าศาลจะได้ลงรายละเอียดมากถึงขนาดนี้ แพทยสภาจะรอให้ผมตายเหมือนคุณรวีวรรณหรืออย่างไรจึงจะดำเนินการกับแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์
ด้านคณะทำงานอัยการที่เข้าร่วมฟังคำพิพากษา กล่าวว่า จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาเพื่อนำไปศึกษาร่วมกับคณะทำงานทั้งหมดว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีหรือไม่ต่อไป โดยส่วนตัวยังไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องคราบเลือด
**ฟ้อง“พรทิพย์-โกสินทร์”คนละพันล้าน
ต่อมาเวลา 14.30 น.ที่บ้านธรรมวัฒนะ นายนพดล ธรรมวัฒนะ ได้เปิดบ้านแถลงข่าว โดยมีสีหน้ายิ้มแย้ม และทักทายกับกลุ่มผู้สื่อข่าว จากนั้นนายนพดล ได้เข้าไปจุดธูปกราบไหว้รูปบิดามารดาที่ตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าบ้าน เพื่อเป็นสิริมงคล
นายนพดล กล่าวว่า ส่วนกรณีการฟ้องร้องนั้น ตนก็จะขอใช้สิทธิตามกฎหมาย ที่ผ่านมา พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ถือว่าไม่มีอะไรกับตน แต่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ถือเป็นหมอที่ขาดคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ เนื่องจากกล้าที่จะทำหลักฐานเท็จขึ้นมา ซึ่งตนได้ฟ้อง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ไปแล้ว 3 คดี ประกอบด้วย ที่ศาลอาญา ฟ้องในข้อหาทำพยานหลักฐานเท็จ ศาลจังหวัดนนทบุรี ฟ้องในข้อหาทำพยานหลักฐานเท็จและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อย่างไรก็ตาม ตนจะฟ้อง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ อีก 1 คดี ในข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน
สำหรับ พล.ต.ต.โกสินทร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับตนในสมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 ที่ผ่านมาไม่ได้ดำเนินการและไม่เคยปฏิบัติงานอย่างชอบธรรมกับตนเลย เนื่องจากมีการปล่อยให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงได้ ตนจึงขอให้สิทธิตามกฎหมายฟ้อง พล.ต.ต.โกสินทร์ และ พญ.พรทิพย์ ต่อศาลแพ่ง โดยจะเรียกร้องค่าเสียหายคนละ 1 พันล้านบาท แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะฟ้องร้องเมื่อไร เนื่องจากคดียังมีอายุความอีกนาน
**'หมอพรทิพย์' ไม่หวั่นถูกฟ้อง**
ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ กล่าวว่า ไม่ได้หวั่นเกรง หรือหวาดหวั่นใดๆ กับเรื่องที่ นายนพดล จะฟ้องกลับ เนื่องจากยังหนักแน่นในเส้นทางที่ก้าวเดิน และยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทุกอย่าง ซึ่งการที่นายนพดล จะฟ้องกลับนั้นก็เป็นสิทธิ์ของนายนพดล ที่พึงกระทำได้ หรือแม้แต่ใครๆก็ทำได้ ซึ่งนายนพดลก็ฟ้องตนมาตลอดอยู่แล้ว
"เราต้องเคารพดุลยพินิจของศาล เมื่อศาลตัดสินออกมาเช่นใดเราก็ต้องยอมรับ ซึ่งหมอเองก็ยังมีความเชื่อมั่นและหนักแน่นในความถูกต้อง ตามกระบวนการยุติธรรม โดยหมอได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว เพราะหมอทำงานอยู่กับศพ วินิจฉัยตามสภาพศพ ส่วนหลักฐานพยานอื่นๆก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน และหมอยืนยันได้เลยว่าหมอเองก็ไม่เคยว่านายนพดลเป็นฆาตกร หรือเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ เพียงแต่หมอวินิจฉัยว่าการตายของนายห้างทองเป็นการฆาตกรรมเท่านั้น"
*********************
**ย้อนรอย 8 ปี"ห้างทอง"ตายปริศนา**
เรื่องราวของการพลิกปมการเสียชีวิตของ “นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ” อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชากรไทย ที่คดีซับซ้อนซ่อนเงื่อน
และถูกนำไปโยงกับมรดกเลือดของตระกูล “ ธรรมวัฒนะ”ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมาโดยตลอด โดยที่ท้ายสุดแห่งการต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง จากเหตุพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้
ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน เวลา 03.35 น.วันที่ 6 กันยายน 2542 เสียงปืนดังกึกก้องขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของ “บ้านธรรมวัฒนะ” เมื่อทุกคนไปถึง ก็พบร่างไร้วิญญาณของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ เสียชีวิตอยู่บนเก้าอี้สีเขียวตัวโปรด สภาพแรกที่พบศพ “ห้างทอง” อยู่บนเก้าอี้ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน ศีรษะแหงนไปด้านหลังพิงพนักเก้าอี้ ศีรษะมีรอยกระสุน อาวุธปืนรีวอลเวอร์ .38 ตกอยู่ที่หน้าตัก แขนตกห้อยอยู่ข้างตัว
ที่จริงแล้ว “ห้างทอง” ไม่ใช่ศพแรก แต่เป็นศพที่ 4 ที่สังเวยมรดกเลือดของตระกูลนี้ หลังจากปฐมบทการละเลงเลือดเริ่มขึ้น เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2525 นางสาวกุสุมา ธรรมวัฒนะ น้องสาวของห้างทอง ถูกลอบยิงเสียชีวิต ต่อมา เมื่อ 6 พฤษภาคม 2533 นางนัยนา ตามประกอบ น้องคนที่ 6 ถูกอุ้มไปฆ่าอย่างทารุณ ถัดมาเป็นคิวของ “ผู้ใหญ่แดง” เทอดชัย ธรรมวัฒนะ พี่ชายคนโตของตระกูล ที่ถูกอุ้มหายไป ในวันที่ 25 สิงหาคม 2534 ส่วนทายาทกองมรดก “ ธรรมวัฒนะ” ที่หลงเหลือทุกคน ต่างภาวนาให้ “ห้างทอง” เป็นศพสุดท้าย
คดี “ห้างทอง” น่าจะปิดฉากได้โดยสมบูรณ์ไปแล้ว เมื่อทีมสืบสวนการตายชุดแรกภายใต้การควบคุมดูแลของพล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.จักรทิพย์ กุญชร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้ปิดสำนวนลง โดยสรุปว่าเป็น “เป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรม” หรือการฆ่าตัวตาย
เรื่องราวมรดกเลือด “ ธรรมวัฒนะ” เริ่มเลือนหายไปจากความสนใจของผู้คน แต่แล้วคดีก็ถูกรื้อออกมาเพื่อพิสูจน์หาความจริงอีกครั้ง เมื่อนางนฤมล มังกรพาณิชย์ น้องสาวนายห้างทอง ต้องการจะขอพระราชทานเพลิงศพให้พี่ชาย แต่ในกรณีการฆ่าตัวตาย จะไม่สามารถดำเนินการได้ นางนฤมล จึงได้ขอให้ ดร.เอเดรียน แม็ททิว ทอนตัน ลินาเคอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดีเอ็นเอทางคราบเลือด จากประเทศอังกฤษ ตรวจสอบภาพถ่ายสภาพศพของนายห้างทองก่อนมีการเคลื่อนย้าย ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญได้ลงความเห็นอย่างชัดเจนว่า “ห้างทอง” ถูกฆาตกรรม
ถึงตอนนั้นกระแสสังคมเริ่มหันกลับมามองคดีนี้อีกครั้ง คณะกรรมการสืบสวนกรณีการตายของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ ถูกตั้งขึ้น โดยมีคีย์แมนสำคัญคือ พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผู้บังคับการกองปราบปราม ในขณะนั้น และแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ การผ่าพิสูจน์ศพเป็นครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2547 โดยทีมแพทย์ชุดผ่าพิสูจน์ สรุปความเห็นว่าพบพิรุธหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การกระเซ็นของหยดเลือด การตกของอาวุธปืน พฤติการณ์ของนายห้างทองก่อนตาย พฤติการณ์การเก็บหลักฐานของชุดสอบสวนชุดเก่า การเร่งปิดสำนวนคดี เศษอาหารที่หลงเหลืออยู่ในกระเพาะ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดทำให้เชื่อว่า การตายของ “ห้างทอง” มีเงื่อนงำ และคนที่ถูกจ้องสงสัยมากที่สุดก็คือบุคคลที่อยู่กับ Wห้างทอง” เป็นคนสุดท้าย นายนพดล ธรรมวัฒนะ น้องชายร่วมสายโลหิตเดียวกัน ที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพี่ชายของตัวเองนั้น เครียดจนกระทั่งลงมือปลิดชีวิตตัวเอง
การสืบสวนดำเนินต่อไปจนในที่สุด วันที่ 31 ตุลาคม 2546 พล.ต.ต.โกสินทร์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิมพ์คำร้องขออนุมัติหมายจับนายนพดล ธรรมวัฒนะ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา และนำตัวมาสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมนายห้างทอง ท่ามกลางการปฎิเสธเสียงแข็งของเจ้าตัว และความกังขาของมหาชนต่อการสนับสนุนของ “จังหวัด ธรรมวัฒนะ” ลูกชาย “ห้างทอง” เอง ว่าอาตัวเองไม่ได้ฆ่าพ่อ?!? หลังจากนั้นไม่ได้นาน “จังหวัด” ได้ยื่นเรื่องขอถอดนายปริญญา ธรรมวัฒนะ นางนฤมล มังกรพานิช และนางคนึงนิตย์ ธรรมวัฒนะ พี่น้องฝ่ายตรงข้ามนายนภดล จากการเป็นผู้จัดการมรดก และระงับการขอพระราชทานเพลิงศพพ่อบังเกิดเกล้า นอกจากนี้ กรณีการสืบสวนความจริงจากการเสียชีวิตของ "ห้างทอง" ก็เป็นจุดเริ่มของปมขัดแย้งระหว่าง "คุณหญิงพรทิพย์" กับนายนพดล ซึ่งต่อมานายนภดล ได้ยื่นฟ้อง “ คุณหญิงหมอ” ทั้งคดีหมิ่นประมาท และเรื่องจรรยาบรรณแพทย์อีกหลายคดี
นายนพดล ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ฐานฆ่านายห้างทอง โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยใช้เวลาในการสืบพยานโจทก์ และจำเลยยาวนานกว่า 3 ปี สุดท้าย ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง แต่สำหรับ 8 ปีเต็ม กับการเสียชีวิตปริศนา “ห้างทอง” ถูกใครฆ่า หรือเขาเป็นผู้ปลิดชีวิตตัวเอง กฎแห่งกรรมเท่านั้น จะเป็นเครื่องพิสูจน์...
คดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 47 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 5 - 6 ก.ย.42 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกับพวกซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด บังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายห้างทอง 1 นัด โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าให้ตาย กระสุนปืนถูกบริเวณศีรษะนายห้างทอง เป็นบาดแผลฉกรรจ์ กระสุนทะลุกะโหลกศีรษะเข้าไปทำลายอวัยวะส่วนสมอง เป็นเหตุให้นายห้างทอง ถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลดังกล่าวแล้ว สมดังเจตนาของจำเลยกับพวก รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพและรายการตรวจศพของเจ้าพนักงานและแพทย์ เหตุเกิดที่บ้านธรรมวัฒนะ เลขที่ 299/9 หมู่ 7 ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม. นอกจากนี้ในวันเวลาดังกล่าวตำรวจได้ตรวจยึดอาวุธปืนที่ใช้ยิงในข้อ 1 และสิ่งของต่างๆเป็นของกลาง กระทั่งวันที่ 31 ต.ค.46 เจ้าพนักงานตำรวจได้ควบคุมจำเลยมาดำเนินคดี จำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้วมีปัญหาที่จะวินิจฉัยมีว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยข้อสมมติฐานของโจทก์ในแต่ละประเด็นไป เรื่องวิถีกระสุนปืน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พยานโจทก์ เบิกความว่า จากการตรวจพิสูจน์ศพผู้ตายครั้งที่ 2 พบกระสุนปืนลูกปรายจำนวนมาก กว่า 20 เม็ด ใต้ฐานสมอง กระสุนส่วนใหญ่อยู่ด้านหน้า เห็นว่า พยานโจทก์ผ่าพิสูจน์ศพผู้ตายหลังจาก พ.ต.อ. นพ.พรชัย สุธีระคุณ แพทย์นิติเวชที่ผ่าศพครั้งแรกได้ผ่าเอาสมองออกจากะโหลกศีรษะแล้ว กระสุนลูกปรายที่ พยานโจทก์พบมีเพียง 20 กว่าเม็ด จึงเป็นส่วนน้อย โจทก์ไม่นำสืบว่ากระสุนลูกปรายส่วนใหญ่พบที่ใด ซึ่ง นพ.ธำรง จิรจริยาเวช พยานโจทก์เบิกความว่า บาดแผลจากศพผู้ตายเป็นวงกลมน่าเชื่อว่าแนวปากกระบอกปืนตั้งฉากกับศีรษะของศพผู้ตาย นอกจากนี้ตามรายงานการผ่าตรวจพิสูจน์ศพครั้งที่ 3 ของ นพ.เศวต กรรณล้วนและคณะ ระบุว่าพบกระสุนบางเม็ดกระจายต่ำลงมาถึงบริเวณกล้ามเนื้อของลำคอ ย่อมแสดงให้เห็นการกระจายไม่เป็นทิศทางแน่นอน ดังนั้นแม้ว่าจะพบกระสุนอีก 1 เม็ดอยู่ในแนวดิ่งระดับกระดูกคอซี่ที่ 4 ก็หาเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเป็นการยิงจากขวาไปซ้าย จากหลังมาหน้า และบนลงล่างซึ่งผิดปกติของการยิงตัวตายไม่
ประเด็นเกี่ยวกับเศษอาหารที่พบในลำไส้และกระเพาะอาหารนั้น พบเศษส้มเช้งในกระเพาะอาหารและเศษส้มโอในลำไส้เล็กของผู้ตาย ไม่พบเศษชมพู่และบะหมี่สำเร็จรูป อาจจะเป็นเพราะอาหารทั้งสองสามารถย่อยได้ง่ายกว่าส้มเช้งกับส้มโอ พยานโจทก์ไม่มีหลักวิชาการที่จะอธิบายระบบการย่อยอาหารที่แน่ชัดเกี่ยวกับเศษอาหารที่พบในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กผู้ตาย จึงไม่ใช่ข้อที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยให้การไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ว่าก่อนตายผู้ตายรับประทานส้มเช้ง ชมพู่และบะหมี่สำเร็จรูปในห้องที่เกิดเหตุ
ส่วนของรอยช้ำที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ตรวจพบที่ต้นขาขวาด้านหลังสันนิษฐานว่าเกิดจากการกระแทกกับของแข็งนั้น ตามรายงานการตรวจศพครั้งที่ 2 ไม่ปรากฏผลการตรวจชิ้นเนื้อบริเวณที่ว่าเป็นรอยช้ำทางห้องปฏิบัติการหรือไม่ หรือได้ผลว่าอย่างไร เพียงแต่สรุปว่าเป็นรอยช้ำที่เกิดจากการกระแทกกับของแข็ง ส่วนรอยช้ำที่ท้ายทอยนั้น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เบิกความว่า คืออาการตกของเลือดตกจากเบื้องสูง เนื่องจากกะโหลกผู้ตายแตกและนอนหงายเป็นเวลานาน รอยดังกล่าวทั้งสองแห่งจึงไม่ใช่รอยช้ำที่ผู้ตายถูกทำร้ายก่อนตาย
สำหรับประเด็นเรื่อง พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผบก.ป. (ขณะนั้น) ทดลองให้ยิงปืนในห้องที่เกิดเหตุขณะชงอาหารเสริมอีกห้องหนึ่งในสถานที่เกิดเหตุ เวลาและลักษณะเดียวกันแล้วได้ยินเป็นเสียงปืนชัดเจน ไม่คล้ายเสียงปะทัดดังที่จำเลยกล่าวอ้างนั้น ก็เป็นความเห็นของ พล.ต.ต.โกสินทร์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่คุ้นเคยกับเสียงอาวุธปืน
ส่วนสมมติฐานท่านั่งของผู้ตายขณะตายเป็นท่าที่ผิดปกติ เมื่อพิจารณาจากภาพถ่าย และวัตถุพยานประกอบการฉายวีซีดีวัตถุพยานแล้ว ฟังไม่ได้ว่าท่านั่งสุดท้ายของผู้ตายเป็นท่านั่งที่ผิดปกติ
ส่วนสมมติฐานเกี่ยวกับเขม่าปืนที่หลังมือผู้ตายน้อยกว่าฝ่ามือถือว่าผิดปกติ เนื่องจากมีการทดลองแสดงท่ายิงโดยจับด้วยอาวุธปืน 2 มือ แต่ปรากฏว่าเขม่าปืนที่หลังมือจะมากกว่าฝ่ามือเสมอ และเขม่าปืนที่ฝ่ามือขวาน้อยกว่าหลังมือขวา แสดงว่าผู้ตายไม่ได้ใช้มือขวากำด้ามปืนตอนยิง เพราะถ้าจับเขม่าปืนต้องตรวจพบที่หลังมือมากกว่าฝ่ามือนั้น เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุ ไม่มีผู้ใดทราบว่าผู้ตายทำอะไร ยิงปืนมาแล้วหรือไม่ ลำพังผลการตรวจธาตุในเขม่าปืนที่ฝ่ามือขวาของผู้ตายมากกว่าหลังมือขวา จึงยังไม่เพียงพอที่จะให้รับฟังว่าผู้ตายไม่ได้ยิงตนเอง
**หลักฐานอ่อนยกฟ้อง**
ส่วนที่เกี่ยวกับคราบเลือดในที่เกิดเหตุและสภาพศพ เห็นว่า ที่เกิดเหตุอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ วัตถุเช่นกระป๋องเครื่องดื่ม กล่องนมอยู่ในสภาพปกติ เชื่อว่าไม่มีการจัดฉากและเป็นภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุในบ้านจริง คราบเลือดไหลอยู่บนนิ้วของผู้ตาย คราบเลือดดังกล่าวอยู่ในสภาพสมบูรณ์เป็นธรรมชาติและเห็นคราบเลือดสะสมเป็นจำนวนมากบนเสื้อผ้าของผู้ตาย มีวัตถุหลายชนิดอยู่บนโต๊ะ พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอให้ฟังว่ามีผู้พยายามจัดสถานที่เกิดเหตุให้เหมือนการฆ่าตัวตาย
ส่วนที่จำเลยเห็นผู้ตายแล้วไม่เข้าช่วยเหลือเพียงแต่ร้องตะโกนว่าผู้ตายฆ่าตัวตายนั้น เห็นว่าเป็นเพียงความเห็นตามความรู้สึกนึกคิดของแต่ละบุคคล ในการที่จำเลยและผู้ตายมีปัญหาข้อขัดแย้งกันมาก่อน หากเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วนตามทางนำสืบของจำเลย บุคคลซึ่งอยู่ในภาวะเช่นจำเลยย่อมตกใจและทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะสถานที่เกิดเหตุเป็นห้องพักของจำเลย หากจำเลยเข้าไปแตะต้องผู้ตายก็อาจถูกกล่าวหาว่าฆ่าผู้ตายได้ จากเหตุผลที่ได้วินิจฉัยมาพยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบยังไม่พอให้ฟังว่าผู้ตายถูกฆาตกรรม จึงไม่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเป็นผู้ฆ่าผู้ตายหรือไม่ ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
**"นพดล"ขอบคุณศาลที่เมตตา**
หลังฟังคำพิพากษา นายนพดล กล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานว่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณศาลที่มีความเมตตา ซึ่งตนตกเป็นจำเลยของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะพญ.คุณหญิงพรทิพย์ และพล.ต.ต. โกสินทร์ หินเธาว์ เพื่อให้เรื่องราวผ่านพ.ร.บ ดีเอสไอ และต้องการทวงสิทธิจากแพทยสภาเพราะได้ร้องเรียนมาเป็นเวลา 1 ปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเรื่องจริยธรรม ทั้งที่แพทยสภาเป็นองค์กรที่จะต้องให้ความเป็นธรรมแก่สังคม ซึ่งจริยธรรมของ พญ. คุณหญิงพรทิพย์ได้สร้างตราบาปให้แก่ตน กระทรวงยุติธรรมและแก่ประชาชน และวันนี้ไม่น่าเชื่อว่าศาลจะได้ลงรายละเอียดมากถึงขนาดนี้ แพทยสภาจะรอให้ผมตายเหมือนคุณรวีวรรณหรืออย่างไรจึงจะดำเนินการกับแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์
ด้านคณะทำงานอัยการที่เข้าร่วมฟังคำพิพากษา กล่าวว่า จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาเพื่อนำไปศึกษาร่วมกับคณะทำงานทั้งหมดว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีหรือไม่ต่อไป โดยส่วนตัวยังไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องคราบเลือด
**ฟ้อง“พรทิพย์-โกสินทร์”คนละพันล้าน
ต่อมาเวลา 14.30 น.ที่บ้านธรรมวัฒนะ นายนพดล ธรรมวัฒนะ ได้เปิดบ้านแถลงข่าว โดยมีสีหน้ายิ้มแย้ม และทักทายกับกลุ่มผู้สื่อข่าว จากนั้นนายนพดล ได้เข้าไปจุดธูปกราบไหว้รูปบิดามารดาที่ตั้งอยู่บริเวณประตูทางเข้าบ้าน เพื่อเป็นสิริมงคล
นายนพดล กล่าวว่า ส่วนกรณีการฟ้องร้องนั้น ตนก็จะขอใช้สิทธิตามกฎหมาย ที่ผ่านมา พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ถือว่าไม่มีอะไรกับตน แต่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ถือเป็นหมอที่ขาดคุณธรรมและจริยธรรมทางการแพทย์ เนื่องจากกล้าที่จะทำหลักฐานเท็จขึ้นมา ซึ่งตนได้ฟ้อง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ไปแล้ว 3 คดี ประกอบด้วย ที่ศาลอาญา ฟ้องในข้อหาทำพยานหลักฐานเท็จ ศาลจังหวัดนนทบุรี ฟ้องในข้อหาทำพยานหลักฐานเท็จและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อย่างไรก็ตาม ตนจะฟ้อง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ อีก 1 คดี ในข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน
สำหรับ พล.ต.ต.โกสินทร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับตนในสมัยที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 ที่ผ่านมาไม่ได้ดำเนินการและไม่เคยปฏิบัติงานอย่างชอบธรรมกับตนเลย เนื่องจากมีการปล่อยให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงได้ ตนจึงขอให้สิทธิตามกฎหมายฟ้อง พล.ต.ต.โกสินทร์ และ พญ.พรทิพย์ ต่อศาลแพ่ง โดยจะเรียกร้องค่าเสียหายคนละ 1 พันล้านบาท แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะฟ้องร้องเมื่อไร เนื่องจากคดียังมีอายุความอีกนาน
**'หมอพรทิพย์' ไม่หวั่นถูกฟ้อง**
ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ กล่าวว่า ไม่ได้หวั่นเกรง หรือหวาดหวั่นใดๆ กับเรื่องที่ นายนพดล จะฟ้องกลับ เนื่องจากยังหนักแน่นในเส้นทางที่ก้าวเดิน และยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทุกอย่าง ซึ่งการที่นายนพดล จะฟ้องกลับนั้นก็เป็นสิทธิ์ของนายนพดล ที่พึงกระทำได้ หรือแม้แต่ใครๆก็ทำได้ ซึ่งนายนพดลก็ฟ้องตนมาตลอดอยู่แล้ว
"เราต้องเคารพดุลยพินิจของศาล เมื่อศาลตัดสินออกมาเช่นใดเราก็ต้องยอมรับ ซึ่งหมอเองก็ยังมีความเชื่อมั่นและหนักแน่นในความถูกต้อง ตามกระบวนการยุติธรรม โดยหมอได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว เพราะหมอทำงานอยู่กับศพ วินิจฉัยตามสภาพศพ ส่วนหลักฐานพยานอื่นๆก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน และหมอยืนยันได้เลยว่าหมอเองก็ไม่เคยว่านายนพดลเป็นฆาตกร หรือเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ เพียงแต่หมอวินิจฉัยว่าการตายของนายห้างทองเป็นการฆาตกรรมเท่านั้น"
*********************
**ย้อนรอย 8 ปี"ห้างทอง"ตายปริศนา**
เรื่องราวของการพลิกปมการเสียชีวิตของ “นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ” อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชากรไทย ที่คดีซับซ้อนซ่อนเงื่อน
และถูกนำไปโยงกับมรดกเลือดของตระกูล “ ธรรมวัฒนะ”ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมาโดยตลอด โดยที่ท้ายสุดแห่งการต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง จากเหตุพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะลงโทษจำเลยได้
ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน เวลา 03.35 น.วันที่ 6 กันยายน 2542 เสียงปืนดังกึกก้องขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของ “บ้านธรรมวัฒนะ” เมื่อทุกคนไปถึง ก็พบร่างไร้วิญญาณของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ เสียชีวิตอยู่บนเก้าอี้สีเขียวตัวโปรด สภาพแรกที่พบศพ “ห้างทอง” อยู่บนเก้าอี้ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน ศีรษะแหงนไปด้านหลังพิงพนักเก้าอี้ ศีรษะมีรอยกระสุน อาวุธปืนรีวอลเวอร์ .38 ตกอยู่ที่หน้าตัก แขนตกห้อยอยู่ข้างตัว
ที่จริงแล้ว “ห้างทอง” ไม่ใช่ศพแรก แต่เป็นศพที่ 4 ที่สังเวยมรดกเลือดของตระกูลนี้ หลังจากปฐมบทการละเลงเลือดเริ่มขึ้น เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2525 นางสาวกุสุมา ธรรมวัฒนะ น้องสาวของห้างทอง ถูกลอบยิงเสียชีวิต ต่อมา เมื่อ 6 พฤษภาคม 2533 นางนัยนา ตามประกอบ น้องคนที่ 6 ถูกอุ้มไปฆ่าอย่างทารุณ ถัดมาเป็นคิวของ “ผู้ใหญ่แดง” เทอดชัย ธรรมวัฒนะ พี่ชายคนโตของตระกูล ที่ถูกอุ้มหายไป ในวันที่ 25 สิงหาคม 2534 ส่วนทายาทกองมรดก “ ธรรมวัฒนะ” ที่หลงเหลือทุกคน ต่างภาวนาให้ “ห้างทอง” เป็นศพสุดท้าย
คดี “ห้างทอง” น่าจะปิดฉากได้โดยสมบูรณ์ไปแล้ว เมื่อทีมสืบสวนการตายชุดแรกภายใต้การควบคุมดูแลของพล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.จักรทิพย์ กุญชร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้ปิดสำนวนลง โดยสรุปว่าเป็น “เป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรม” หรือการฆ่าตัวตาย
เรื่องราวมรดกเลือด “ ธรรมวัฒนะ” เริ่มเลือนหายไปจากความสนใจของผู้คน แต่แล้วคดีก็ถูกรื้อออกมาเพื่อพิสูจน์หาความจริงอีกครั้ง เมื่อนางนฤมล มังกรพาณิชย์ น้องสาวนายห้างทอง ต้องการจะขอพระราชทานเพลิงศพให้พี่ชาย แต่ในกรณีการฆ่าตัวตาย จะไม่สามารถดำเนินการได้ นางนฤมล จึงได้ขอให้ ดร.เอเดรียน แม็ททิว ทอนตัน ลินาเคอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดีเอ็นเอทางคราบเลือด จากประเทศอังกฤษ ตรวจสอบภาพถ่ายสภาพศพของนายห้างทองก่อนมีการเคลื่อนย้าย ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญได้ลงความเห็นอย่างชัดเจนว่า “ห้างทอง” ถูกฆาตกรรม
ถึงตอนนั้นกระแสสังคมเริ่มหันกลับมามองคดีนี้อีกครั้ง คณะกรรมการสืบสวนกรณีการตายของนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ ถูกตั้งขึ้น โดยมีคีย์แมนสำคัญคือ พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผู้บังคับการกองปราบปราม ในขณะนั้น และแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ การผ่าพิสูจน์ศพเป็นครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2547 โดยทีมแพทย์ชุดผ่าพิสูจน์ สรุปความเห็นว่าพบพิรุธหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การกระเซ็นของหยดเลือด การตกของอาวุธปืน พฤติการณ์ของนายห้างทองก่อนตาย พฤติการณ์การเก็บหลักฐานของชุดสอบสวนชุดเก่า การเร่งปิดสำนวนคดี เศษอาหารที่หลงเหลืออยู่ในกระเพาะ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดทำให้เชื่อว่า การตายของ “ห้างทอง” มีเงื่อนงำ และคนที่ถูกจ้องสงสัยมากที่สุดก็คือบุคคลที่อยู่กับ Wห้างทอง” เป็นคนสุดท้าย นายนพดล ธรรมวัฒนะ น้องชายร่วมสายโลหิตเดียวกัน ที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพี่ชายของตัวเองนั้น เครียดจนกระทั่งลงมือปลิดชีวิตตัวเอง
การสืบสวนดำเนินต่อไปจนในที่สุด วันที่ 31 ตุลาคม 2546 พล.ต.ต.โกสินทร์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิมพ์คำร้องขออนุมัติหมายจับนายนพดล ธรรมวัฒนะ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา และนำตัวมาสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมนายห้างทอง ท่ามกลางการปฎิเสธเสียงแข็งของเจ้าตัว และความกังขาของมหาชนต่อการสนับสนุนของ “จังหวัด ธรรมวัฒนะ” ลูกชาย “ห้างทอง” เอง ว่าอาตัวเองไม่ได้ฆ่าพ่อ?!? หลังจากนั้นไม่ได้นาน “จังหวัด” ได้ยื่นเรื่องขอถอดนายปริญญา ธรรมวัฒนะ นางนฤมล มังกรพานิช และนางคนึงนิตย์ ธรรมวัฒนะ พี่น้องฝ่ายตรงข้ามนายนภดล จากการเป็นผู้จัดการมรดก และระงับการขอพระราชทานเพลิงศพพ่อบังเกิดเกล้า นอกจากนี้ กรณีการสืบสวนความจริงจากการเสียชีวิตของ "ห้างทอง" ก็เป็นจุดเริ่มของปมขัดแย้งระหว่าง "คุณหญิงพรทิพย์" กับนายนพดล ซึ่งต่อมานายนภดล ได้ยื่นฟ้อง “ คุณหญิงหมอ” ทั้งคดีหมิ่นประมาท และเรื่องจรรยาบรรณแพทย์อีกหลายคดี
นายนพดล ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ฐานฆ่านายห้างทอง โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน โดยใช้เวลาในการสืบพยานโจทก์ และจำเลยยาวนานกว่า 3 ปี สุดท้าย ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง แต่สำหรับ 8 ปีเต็ม กับการเสียชีวิตปริศนา “ห้างทอง” ถูกใครฆ่า หรือเขาเป็นผู้ปลิดชีวิตตัวเอง กฎแห่งกรรมเท่านั้น จะเป็นเครื่องพิสูจน์...