.
เรื่องที่น่าสนและควรพูดถึงมากที่สุดในวันนี้ก็คือ ความมืดมิดทางด้านสติปัญญาของรัฐบุรุษไทยที่มีอยู่อย่างมากมายเต็มแผ่นดินในขณะนี้ หรือถ้าจะเรียกให้ชัดหน่อยก็คือนักการเมืองหรือผู้บริหารบ้านเมืองของประเทศทุกคนที่เรามีอยู่หรือที่คนไทยพากันเทิดทูนฝากผีฝากไข้กันอยู่ทุกวันนี้ก็คือ พวกมนุษย์ที่ไม่เอาไหน ไม่มีความคิดความอ่าน ไม่มีความสุจริตใจหรืออาจจะเรียกได้ว่าเมืองไทยเราทุกวันนี้ เรามีแต่เพียงรัฐบุรุษที่มากไปด้วยความไม่มีสติปัญญาด้วยกันทั้งนั้น!
ทุกคนอยากเป็นใหญ่เป็นโต หรือขอเป็นเพียงรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารบ้านเมือง และทุกคนก็พร้อมที่จะพากันนั่งอยู่กับความไม่รู้เรื่องอะไรหรือจะไม่ทำอะไร นอกจากเอะอะโวยวายไปกับความวุ่นวายที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองที่ตนรับผิดชอบ
ปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในบ้านเมืองทับถมกันขึ้นแต่ละวันนั้น แน่นอนทีเดียวมันสามารถแก้กันได้ด้วยเงิน เรื่องลับหรือไม่ลับปกปิดหรือเปิดเผยก็จะกลบจะแก้มันด้วยเงิน และการโกหกหลอกลวงเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงการเตรียมตัวของนักการเมืองในขณะนี้ แต่ละคนหรือทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองชั่วดีขนาดไหนก็ตาม ทุกคนจะไม่พูดถึงหรือไม่แสดงออกว่าเมืองไทยที่เขาจะเตรียมขึ้นไปบริหารและปกครองนั้น มันมีอะไรที่เป็นปัญหาที่จะต้องแก้?
จะทำอะไรได้ขนาดไหน?
หรือจะทำอย่างไร?
ทุกคนจะไม่รู้อะไรมากนัก นอกจากจำมาจากใบปลิวโฆษณาที่เก็บมาจากที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนว่าการเข้ามาปกครองและบริหารประเทศที่จะต้องลงทุนกันขนาดขายความเป็นคนเดิมพันกันทีเดียว!
การแถลงการณ์หรือการบอกกล่าวเรื่องใดเป็นเหตุผลที่จะทำ แต่ละคนต้องวิ่งเข้ามาเป็นนักการเมืองตามรัฐธรรมนูญนั้น มักจะเป็นข้อความจากข่าวประจำวันที่เป็นความทุกข์ของชาวบ้านหรือคำเตือนเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน หรือเป็นข้อความที่พวกนักการเมืองนิยมที่จะนำมาพูดถึงกัน
แต่มีปัญหาใหญ่ๆ สองปัญหาที่นักการเมืองเกือบทุกคนจะไม่พูดถึงหรือไม่นำมาพูดนั่นคือ ปัญหาคอร์รัปชันที่มีอยู่ในประเทศไทยและในสังคมไทย และอีกปัญหาหนึ่งคือความยากจนของคนไทยทั่วประเทศ
คอร์รัปชันและความยากจน!
ต่อให้แก้กันให้ตาย จะแก้ยังไงก็ไม่มีวันสำเร็จ
แต่คอร์รัปชันก็จะเจริญงอกงามยิ่งขึ้นตราบใดที่เรายังต้องมีนักการเมืองเพิ่มขึ้นตามรัฐธรรมนูญวิลิศมาหราของเรา
เพราะนักการเมืองจะเป็นทั้งผู้กระทำความชั่วหรือคอร์รัปชันด้วยตัวเอง และจะรวบรวมนักการเมืองเข้ามาไว้ในพรรคในฐานะที่จะต้องเป็นสมาชิกของพรรคซึ่งทุกพรรคส่วนใหญ่จะไม่ใช่คนแปลกหน้า ส่วนมากจะมีคนรู้จักและเห็นหน้ากันอยู่หรือได้ยินเสียงสำรากความคิดความอ่านใดๆ เกี่ยวกับบ้านเมืองนั้น จะมองเห็นได้โดยไม่ต้องคิดก็คือเป็นเพียงการแสดงถึงโอกาสที่จะปล้นบ้านกินเมืองทั้งสิ้น
ผมขอพูดและยืนยันไปทั้งชีวิตว่าปัญหาสองสิ่งนี้เป็นปัญหาของคนไทยและสังคมไทยที่จะเป็นความจริงที่เป็นอมตะ
แก้ไม่ได้และไม่มีใครคิดจะแก้
ถึงแม้ว่าใครที่อยากจะแก้ปัญหาก็เป็นความคิดแวบหนึ่งที่เกิดขึ้นในความรู้สึกแล้วก็จะผ่านไป หน้าที่ที่เป็นคนไทยและการเกิดมาเป็นคนไทย และเป็นนักการเมืองของไทยนั้น จุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือคอร์รัปชัน และการคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสุดยอดของชีวิตของคนไทยพวกที่เข้ามีอำนาจปกครองบ้านเมือง
แต่ทุกวันนี้ คุณธรรมหรือข้อยกเว้นเหล่านี้ไม่มีในวิญญาณของนักการเมืองไทยเราพร้อมที่จะทำทุกอย่างที่เป็นความชั่วและเรื่องชั่วร้ายต่างๆ ที่เราจะมีโอกาสทำอย่างการเตรียมซื้อคนเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคหรือสมัครเป็นผู้แทนราษฎรของพรรคคนละ 30 ล้านบาท หรือ 40 ล้านบาท ถึงแม้ว่าราคามันจะสูงกว่าราคาวัวควายที่ซื้อขายกันทั่วไปก็ตาม แต่เงินจำนวนนี้จะไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายและการซื้อเสียงจากประชาชน ซึ่งผู้แทนแต่ละคนนั้นจะต้องใช้เงินถึงคนละ 100 ล้านขึ้นไป เพราะการเลือกตั้งคราวนี้จะต้องทุ่มเทกันอย่างไม่กลัวตาย คอร์รัปชันแต่ละครั้งที่จะมีโอกาสทำมาหากินได้ของนักการเมืองทุกคนทุกพรรคจะต้องเป็นร้อยล้านขึ้นไป ซึ่งเมื่อลงทุนขนาดนั้น เงินที่จะได้จากพรรคหรือจากการรีดไถอย่างใดอย่างหนึ่ง นักการเมืองทุกคนจะต้องแสวงหาทางที่จะคอร์รัปชันหรือคดโกงบ้านเมืองจากจุดไหนได้บ้าง?
อีกไม่กี่วันก็คาดกันว่าจะต้องมีการเลือกตั้ง ซึ่งการซื้อเสียงและการคดโกงจะดังกระหึ่มไปทั้งประเทศเป็นที่หวังได้โดยไม่ต้องคิด เพราะการใช้เหตุผลและการต้มประชาชนต่างๆ ได้จัดการทำกันไว้เรียบร้อยแล้วในบางส่วน เฉพาะอย่างยิ่งการที่จะมีโอกาสทำเงินได้มากพอที่จะนำมาแจกกันอย่างทั่วถึงนั้นก็อยู่ที่จะต้องมีโครงการใหญ่ๆ ถูกสร้างขึ้น ซึ่งการสร้างโครงการแต่ละโครงการจะมาจากเงินกู้ยืมจากต่างประเทศ เงินช่วยเหลือหรือเงินตามข้อตกลงต่างๆ เท่าที่จะหาเหตุผลมาอ้างได้ โครงการเหล่านี้จะมีการลงทุนเป็นหมื่นล้านพันล้านในแต่ละโครงการ ตอนนี้ก็เริ่มต้นด้วยโครงการรถไฟฟ้า และโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน การซื้อเครื่องบินเก่าหรือเศษเครื่องบินจากต่างประเทศเป็นสิบๆ ลำ มีการวิ่งเต้น รีบร้อนตลอดเวลาไม่ได้หยุด เพราะถ้ามีการตัดสินใจทำกันเสียก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่จะมาถึง ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ นักการเมืองและผู้มีอำนาจในการรีบร้อนดำเนินการโครงการเหล่านี้ก็จะได้ค่าวางแผนและการดำเนินงานเพื่อให้มีการคอร์รัปชันขึ้น ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ หรือว่ากันว่าบางโครงการอาจจะได้ถึง 38 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว (ตามอัตราสากล)
แต่ละโครงการนักการเมือง ข้าราชการ หรือผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีอำนาจในการวางแผนในการตัดสินใจจะมีความเป็นสุขไปมากกว่าเจ็ดชั่วโคตรโดยไม่ต้องสงสัย
ไม่เพียงแต่การนำทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของชาติที่เรียกว่ารัฐวิสาหกิจถูกนำไปขายให้พ่อค้านายทุนเหลวแหลกไปทั้งชาติแล้ว การคอร์รัปชันที่น่าอัปยศอดสูอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ นั่นคือการคอร์รัปชันในวงการทหารของชาติคือการเลื่อนย้ายตำแหน่งหน้าที่ และการเล่นพรรคเล่นพวกที่หวังผลเพียงอย่างเดียวคือคอยทำหน้าที่ประสานการคอร์รัปชันที่ประชาชนจะหวังอะไรไม่ได้จากสถาบันของบ้านเมืองแห่งนี้อีกต่อไป
นั่นคือรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับถึงการเล่นพรรคเล่นพวกของนายทหารผู้มีอำนาจในบ้านเมืองในกรณีการเลื่อนตำแหน่ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร
ความจริงเรื่องนี้ก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งในวงการเมืองของไทยที่การเลือกที่รักมักที่ชังหรือการเล่นพรรคเล่นพวกที่อุบาทว์ที่สุดของประเทศไทย แต่การเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งนายทหารระดับสูงปีนี้ ผู้ที่ได้ดูรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการโทรทัศน์ ASTV เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา และรายงานต่อมาของหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่เผยวิธีการคอร์รัปชันทางด้านตัวบุคคลหรือเครื่องมือของการขายบ้านขายเมืองในอนาคต และความหน้าด้านของคนไทยที่ทำหน้าที่ป้องกันชาติอย่างน่าสะพรึงกลัว หนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” ฉบับวันที่ 25 กันยายน ที่โปรยหัวว่า “บรรณวิทย์” ฉะสนธิ “แทนสพรั่ง" โดยมีรายละเอียดว่า สำหรับควันหลงจากการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีนั้น พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ปลัดกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงวิธีการวางตัวบุคคลในกระทรวงกลาโหมว่า
“พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ว่า 2 วันมานี้เท่าที่ได้พูดคุยกับพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ที่ถูกย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม รู้สึกเหมือนคนจิตใจวูบๆ วาบๆ ในฐานะเพื่อนยากจะถามว่าคนที่อุตส่าห์ทำงานมาถึงขนาดนี้แล้วได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ขอให้ไปพิจารณาเอาเอง พล.อ.สพรั่งเล่าให้ฟังว่า ก่อนโยกย้ายประจำปี 1 เดือน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ไม่พูดด้วยเลย ไม่เคยเรียกไปหาหรือพูดคุยเหมือนก่อน พล.อ.สพรั่งก็รู้ตัวล่วงหน้าการบอกสัญญาณอันตรายบางอย่าง” (ไทยรัฐ 25 กันยายน 2550) ซึ่งมันก็เป็นความจริงทุกประการ
สำหรับคนไทยที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวเกี่ยวกับวงการทหารที่มาคอยทำหน้าที่ป้องกันชาติ ควรจะดูรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ประจำวันที่ 25 กันยายนนี้ จะได้ฟังเรื่องการเตรียมการผูกขาดประเทศชาติทำมาหากินทางการทหารของผู้มีอำนาจที่ปราศจากยางอายในวงการนี้ ที่เชื่อกันได้เลยว่าจะมีการกระทำสืบทอดเป็นวัฒนธรรมอุบาทว์และเป็นตัวอย่างสำหรับเมืองไทยอีกต่อไป
และอีกเรื่องหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะการคอร์รัปชันในบ้านเมืองระดับสูงที่รุนแรงไม่เพียงแต่การขายบ้านขายเมืองกัน แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อนำเอาชาติบ้านเมืองไปทำมาหากินโดยการวางตัวบุคคลประจำไว้ในหน่วยงานส่วนต่างๆ ของขุมอำนาจ นั่นคือข่าวชิ้นเดียวกันแต่เป็นคนละเรื่องมีข้อความว่า “แฉวินัยเล่นพวก ช่วยพ่อของลูกสะใภ้” พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมเสนอแต่งตั้ง พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล ขึ้นเป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นความสกปรกทางการเมืองและการทหารที่คนไทยควรจะรู้เอาไว้เพื่อให้รู้จักการเมืองไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเราจะอยู่กันอย่างไรต่อไป
ผมอาจจะเขียนเรื่องเหล่านี้รุนแรงหรือก็ตรงไปตรงมาไปสักหน่อย แต่ผมก็อยากจะสารภาพว่าเรื่องราวในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ไม่น่าที่เราจะยอมอดทนในสิ่งที่มันจะฉุดกระชากประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ลงไปสู่นรกขุมต่างๆ เพราะคนไทยอย่างเราอดทนมาแล้วมากมายก็ขอให้เรารู้ความจริงกันว่า เรากำลังอยู่ที่ปากนรกขุมไหนไม่ดีกว่าหรือ?
เรื่องที่น่าสนและควรพูดถึงมากที่สุดในวันนี้ก็คือ ความมืดมิดทางด้านสติปัญญาของรัฐบุรุษไทยที่มีอยู่อย่างมากมายเต็มแผ่นดินในขณะนี้ หรือถ้าจะเรียกให้ชัดหน่อยก็คือนักการเมืองหรือผู้บริหารบ้านเมืองของประเทศทุกคนที่เรามีอยู่หรือที่คนไทยพากันเทิดทูนฝากผีฝากไข้กันอยู่ทุกวันนี้ก็คือ พวกมนุษย์ที่ไม่เอาไหน ไม่มีความคิดความอ่าน ไม่มีความสุจริตใจหรืออาจจะเรียกได้ว่าเมืองไทยเราทุกวันนี้ เรามีแต่เพียงรัฐบุรุษที่มากไปด้วยความไม่มีสติปัญญาด้วยกันทั้งนั้น!
ทุกคนอยากเป็นใหญ่เป็นโต หรือขอเป็นเพียงรัฐมนตรี เป็นผู้บริหารบ้านเมือง และทุกคนก็พร้อมที่จะพากันนั่งอยู่กับความไม่รู้เรื่องอะไรหรือจะไม่ทำอะไร นอกจากเอะอะโวยวายไปกับความวุ่นวายที่มันเกิดขึ้นในบ้านเมืองที่ตนรับผิดชอบ
ปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในบ้านเมืองทับถมกันขึ้นแต่ละวันนั้น แน่นอนทีเดียวมันสามารถแก้กันได้ด้วยเงิน เรื่องลับหรือไม่ลับปกปิดหรือเปิดเผยก็จะกลบจะแก้มันด้วยเงิน และการโกหกหลอกลวงเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงการเตรียมตัวของนักการเมืองในขณะนี้ แต่ละคนหรือทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองชั่วดีขนาดไหนก็ตาม ทุกคนจะไม่พูดถึงหรือไม่แสดงออกว่าเมืองไทยที่เขาจะเตรียมขึ้นไปบริหารและปกครองนั้น มันมีอะไรที่เป็นปัญหาที่จะต้องแก้?
จะทำอะไรได้ขนาดไหน?
หรือจะทำอย่างไร?
ทุกคนจะไม่รู้อะไรมากนัก นอกจากจำมาจากใบปลิวโฆษณาที่เก็บมาจากที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนว่าการเข้ามาปกครองและบริหารประเทศที่จะต้องลงทุนกันขนาดขายความเป็นคนเดิมพันกันทีเดียว!
การแถลงการณ์หรือการบอกกล่าวเรื่องใดเป็นเหตุผลที่จะทำ แต่ละคนต้องวิ่งเข้ามาเป็นนักการเมืองตามรัฐธรรมนูญนั้น มักจะเป็นข้อความจากข่าวประจำวันที่เป็นความทุกข์ของชาวบ้านหรือคำเตือนเล็กๆ น้อยๆ ของชาวบ้าน หรือเป็นข้อความที่พวกนักการเมืองนิยมที่จะนำมาพูดถึงกัน
แต่มีปัญหาใหญ่ๆ สองปัญหาที่นักการเมืองเกือบทุกคนจะไม่พูดถึงหรือไม่นำมาพูดนั่นคือ ปัญหาคอร์รัปชันที่มีอยู่ในประเทศไทยและในสังคมไทย และอีกปัญหาหนึ่งคือความยากจนของคนไทยทั่วประเทศ
คอร์รัปชันและความยากจน!
ต่อให้แก้กันให้ตาย จะแก้ยังไงก็ไม่มีวันสำเร็จ
แต่คอร์รัปชันก็จะเจริญงอกงามยิ่งขึ้นตราบใดที่เรายังต้องมีนักการเมืองเพิ่มขึ้นตามรัฐธรรมนูญวิลิศมาหราของเรา
เพราะนักการเมืองจะเป็นทั้งผู้กระทำความชั่วหรือคอร์รัปชันด้วยตัวเอง และจะรวบรวมนักการเมืองเข้ามาไว้ในพรรคในฐานะที่จะต้องเป็นสมาชิกของพรรคซึ่งทุกพรรคส่วนใหญ่จะไม่ใช่คนแปลกหน้า ส่วนมากจะมีคนรู้จักและเห็นหน้ากันอยู่หรือได้ยินเสียงสำรากความคิดความอ่านใดๆ เกี่ยวกับบ้านเมืองนั้น จะมองเห็นได้โดยไม่ต้องคิดก็คือเป็นเพียงการแสดงถึงโอกาสที่จะปล้นบ้านกินเมืองทั้งสิ้น
ผมขอพูดและยืนยันไปทั้งชีวิตว่าปัญหาสองสิ่งนี้เป็นปัญหาของคนไทยและสังคมไทยที่จะเป็นความจริงที่เป็นอมตะ
แก้ไม่ได้และไม่มีใครคิดจะแก้
ถึงแม้ว่าใครที่อยากจะแก้ปัญหาก็เป็นความคิดแวบหนึ่งที่เกิดขึ้นในความรู้สึกแล้วก็จะผ่านไป หน้าที่ที่เป็นคนไทยและการเกิดมาเป็นคนไทย และเป็นนักการเมืองของไทยนั้น จุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือคอร์รัปชัน และการคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสุดยอดของชีวิตของคนไทยพวกที่เข้ามีอำนาจปกครองบ้านเมือง
แต่ทุกวันนี้ คุณธรรมหรือข้อยกเว้นเหล่านี้ไม่มีในวิญญาณของนักการเมืองไทยเราพร้อมที่จะทำทุกอย่างที่เป็นความชั่วและเรื่องชั่วร้ายต่างๆ ที่เราจะมีโอกาสทำอย่างการเตรียมซื้อคนเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคหรือสมัครเป็นผู้แทนราษฎรของพรรคคนละ 30 ล้านบาท หรือ 40 ล้านบาท ถึงแม้ว่าราคามันจะสูงกว่าราคาวัวควายที่ซื้อขายกันทั่วไปก็ตาม แต่เงินจำนวนนี้จะไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายและการซื้อเสียงจากประชาชน ซึ่งผู้แทนแต่ละคนนั้นจะต้องใช้เงินถึงคนละ 100 ล้านขึ้นไป เพราะการเลือกตั้งคราวนี้จะต้องทุ่มเทกันอย่างไม่กลัวตาย คอร์รัปชันแต่ละครั้งที่จะมีโอกาสทำมาหากินได้ของนักการเมืองทุกคนทุกพรรคจะต้องเป็นร้อยล้านขึ้นไป ซึ่งเมื่อลงทุนขนาดนั้น เงินที่จะได้จากพรรคหรือจากการรีดไถอย่างใดอย่างหนึ่ง นักการเมืองทุกคนจะต้องแสวงหาทางที่จะคอร์รัปชันหรือคดโกงบ้านเมืองจากจุดไหนได้บ้าง?
อีกไม่กี่วันก็คาดกันว่าจะต้องมีการเลือกตั้ง ซึ่งการซื้อเสียงและการคดโกงจะดังกระหึ่มไปทั้งประเทศเป็นที่หวังได้โดยไม่ต้องคิด เพราะการใช้เหตุผลและการต้มประชาชนต่างๆ ได้จัดการทำกันไว้เรียบร้อยแล้วในบางส่วน เฉพาะอย่างยิ่งการที่จะมีโอกาสทำเงินได้มากพอที่จะนำมาแจกกันอย่างทั่วถึงนั้นก็อยู่ที่จะต้องมีโครงการใหญ่ๆ ถูกสร้างขึ้น ซึ่งการสร้างโครงการแต่ละโครงการจะมาจากเงินกู้ยืมจากต่างประเทศ เงินช่วยเหลือหรือเงินตามข้อตกลงต่างๆ เท่าที่จะหาเหตุผลมาอ้างได้ โครงการเหล่านี้จะมีการลงทุนเป็นหมื่นล้านพันล้านในแต่ละโครงการ ตอนนี้ก็เริ่มต้นด้วยโครงการรถไฟฟ้า และโครงการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน การซื้อเครื่องบินเก่าหรือเศษเครื่องบินจากต่างประเทศเป็นสิบๆ ลำ มีการวิ่งเต้น รีบร้อนตลอดเวลาไม่ได้หยุด เพราะถ้ามีการตัดสินใจทำกันเสียก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่จะมาถึง ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ นักการเมืองและผู้มีอำนาจในการรีบร้อนดำเนินการโครงการเหล่านี้ก็จะได้ค่าวางแผนและการดำเนินงานเพื่อให้มีการคอร์รัปชันขึ้น ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ หรือว่ากันว่าบางโครงการอาจจะได้ถึง 38 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว (ตามอัตราสากล)
แต่ละโครงการนักการเมือง ข้าราชการ หรือผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีอำนาจในการวางแผนในการตัดสินใจจะมีความเป็นสุขไปมากกว่าเจ็ดชั่วโคตรโดยไม่ต้องสงสัย
ไม่เพียงแต่การนำทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของชาติที่เรียกว่ารัฐวิสาหกิจถูกนำไปขายให้พ่อค้านายทุนเหลวแหลกไปทั้งชาติแล้ว การคอร์รัปชันที่น่าอัปยศอดสูอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ นั่นคือการคอร์รัปชันในวงการทหารของชาติคือการเลื่อนย้ายตำแหน่งหน้าที่ และการเล่นพรรคเล่นพวกที่หวังผลเพียงอย่างเดียวคือคอยทำหน้าที่ประสานการคอร์รัปชันที่ประชาชนจะหวังอะไรไม่ได้จากสถาบันของบ้านเมืองแห่งนี้อีกต่อไป
นั่นคือรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับถึงการเล่นพรรคเล่นพวกของนายทหารผู้มีอำนาจในบ้านเมืองในกรณีการเลื่อนตำแหน่ง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร
ความจริงเรื่องนี้ก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งในวงการเมืองของไทยที่การเลือกที่รักมักที่ชังหรือการเล่นพรรคเล่นพวกที่อุบาทว์ที่สุดของประเทศไทย แต่การเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งนายทหารระดับสูงปีนี้ ผู้ที่ได้ดูรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการโทรทัศน์ ASTV เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา และรายงานต่อมาของหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่เผยวิธีการคอร์รัปชันทางด้านตัวบุคคลหรือเครื่องมือของการขายบ้านขายเมืองในอนาคต และความหน้าด้านของคนไทยที่ทำหน้าที่ป้องกันชาติอย่างน่าสะพรึงกลัว หนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” ฉบับวันที่ 25 กันยายน ที่โปรยหัวว่า “บรรณวิทย์” ฉะสนธิ “แทนสพรั่ง" โดยมีรายละเอียดว่า สำหรับควันหลงจากการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีนั้น พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ปลัดกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงวิธีการวางตัวบุคคลในกระทรวงกลาโหมว่า
“พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ว่า 2 วันมานี้เท่าที่ได้พูดคุยกับพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ที่ถูกย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม รู้สึกเหมือนคนจิตใจวูบๆ วาบๆ ในฐานะเพื่อนยากจะถามว่าคนที่อุตส่าห์ทำงานมาถึงขนาดนี้แล้วได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ขอให้ไปพิจารณาเอาเอง พล.อ.สพรั่งเล่าให้ฟังว่า ก่อนโยกย้ายประจำปี 1 เดือน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ไม่พูดด้วยเลย ไม่เคยเรียกไปหาหรือพูดคุยเหมือนก่อน พล.อ.สพรั่งก็รู้ตัวล่วงหน้าการบอกสัญญาณอันตรายบางอย่าง” (ไทยรัฐ 25 กันยายน 2550) ซึ่งมันก็เป็นความจริงทุกประการ
สำหรับคนไทยที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวเกี่ยวกับวงการทหารที่มาคอยทำหน้าที่ป้องกันชาติ ควรจะดูรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ประจำวันที่ 25 กันยายนนี้ จะได้ฟังเรื่องการเตรียมการผูกขาดประเทศชาติทำมาหากินทางการทหารของผู้มีอำนาจที่ปราศจากยางอายในวงการนี้ ที่เชื่อกันได้เลยว่าจะมีการกระทำสืบทอดเป็นวัฒนธรรมอุบาทว์และเป็นตัวอย่างสำหรับเมืองไทยอีกต่อไป
และอีกเรื่องหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะการคอร์รัปชันในบ้านเมืองระดับสูงที่รุนแรงไม่เพียงแต่การขายบ้านขายเมืองกัน แต่เป็นการเตรียมตัวเพื่อนำเอาชาติบ้านเมืองไปทำมาหากินโดยการวางตัวบุคคลประจำไว้ในหน่วยงานส่วนต่างๆ ของขุมอำนาจ นั่นคือข่าวชิ้นเดียวกันแต่เป็นคนละเรื่องมีข้อความว่า “แฉวินัยเล่นพวก ช่วยพ่อของลูกสะใภ้” พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมเสนอแต่งตั้ง พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล ขึ้นเป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นความสกปรกทางการเมืองและการทหารที่คนไทยควรจะรู้เอาไว้เพื่อให้รู้จักการเมืองไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเราจะอยู่กันอย่างไรต่อไป
ผมอาจจะเขียนเรื่องเหล่านี้รุนแรงหรือก็ตรงไปตรงมาไปสักหน่อย แต่ผมก็อยากจะสารภาพว่าเรื่องราวในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ไม่น่าที่เราจะยอมอดทนในสิ่งที่มันจะฉุดกระชากประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ลงไปสู่นรกขุมต่างๆ เพราะคนไทยอย่างเราอดทนมาแล้วมากมายก็ขอให้เรารู้ความจริงกันว่า เรากำลังอยู่ที่ปากนรกขุมไหนไม่ดีกว่าหรือ?