xs
xsm
sm
md
lg

บทบาทของผู้พิพากษาอาวุโส ตามรัฐธรรมนูญ

เผยแพร่:   โดย: สราวุธ เบญจกุล

มีหลายคนคงสงสัยว่า ผู้พิพากษาอาวุโสคือใคร มีบทบาทหน้าที่อะไรบ้าง แล้วทำไมถึงต้องมีผู้พิพากษาอาวุโส

ผู้พิพากษาอาวุโส คือใคร

เนื่องจากผู้พิพากษาในปัจจุบันยังมีจำนวนน้อยไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับปริมาณคดีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจส่งผลกระทบต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้พิพากษาที่มีอายุครบ 60 ปีแล้วแต่ยังมีศักยภาพในการปฎิบัติหน้าที่ผู้พิพากษา มาดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในการพิจารณาคดีของผู้พิพากษา อีกทั้งผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษามาจนอายุครบ 60 ปีแล้วย่อมมีความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และประสบการณ์ในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนทั้งสิ้น จึงถือได้ว่าผู้พิพากษาอาวุโสนั้นถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าซึ่งควรได้รับการบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโส ตามรัฐธรรมนูญปี 2540

ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 334 (2) ที่บัญญัติให้มีการตรากฎหมายเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งผู้พิพากษาอาวุโสขึ้นมา

จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส พ.ศ. 2542 ขึ้นมา โดยสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้อยู่ที่ “การกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมซึ่งจะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณใด ไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสเพื่อนั่งพิจารณาพิพากษาคดีในศาลชั้นต้น ตั้งแต่วันถัดจากวันสิ้นปีงบประมาณที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ จนถึงวันสิ้นปีงบประมาณที่ผู้พิพากษาผู้นั้นมีอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์

ซึ่งผู้พิพากษาอาวุโสผู้ที่อายุครบ 65 ปีบริบรูณ์จะถูกทำการประเมินสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) กำหนดและหากผู้พิพากษาอาวุโสผู้ใดผ่านการประเมินตามที่กฎหมายกำหนดว่ายังมีสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ก็ให้ดำรงตำแหน่งต่อไปจนถึงวันสิ้นปีงบประมาณที่ผู้พิพากษาผู้นั้นมีอายุครบ 70 ปี”

การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยผู้พิพากษาอาวุโส

หลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่ง
ผู้พิพากษาอาวุโส พ.ศ. 2542 ได้ไม่นานศาลยุติธรรมตระหนักว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้
ผู้พิพากษาอาวุโสดำรงตำแหน่งได้ในศาลชั้นต้นนั้นไม่เหมาะสมเท่าที่ควร เนื่องจากผู้พิพากษาอาวุโสเป็นผู้ที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านภูมิความรู้และความเป็นผู้มีประสบการณ์ ซึ่งควรนำศักยภาพดังกล่าวไปใช้อย่างเต็มที่ จึงเห็นควรให้ผู้พิพากษาอาวุโสสามารถดำรงตำแหน่งในศาลสูงได้ด้วย

นอกจากนั้นยังปรากฎว่าหลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวปริมาณคดีที่ขึ้นสู่ศาลสูงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถิติคดีในศาลฎีกาปี 2547 มีคดีค้างมา 3,844 คดี และในปี 2548 มีคดีค้างมา 5,323 คดี นอกจากนี้เพื่อรองรับคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ศาลฎีกาเป็นจำนวนมากและจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีด้วยความถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม

การแก้ไขให้ผู้พิพากษาอาวุโสสามารถนั่งพิจารณาคดีในศาลสูงคณะอนุกรรมการพิจารณาผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการแยกศาลจากกระทรวงยุติธรรม ได้พิจารณาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 หลังจากที่รัฐธรรมนูญปี 2540 ใช้มาแล้ว 5 ปี ที่ประชุมมีมติ เห็นควรให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ผู้พิพากษาอาวุโสปฏิบัติหน้าที่ในศาลสูงได้ แต่มีปัญหาข้อกฎหมายว่าหากมีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือไม่

ต่อมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ได้ถูกยกเลิกแล้ว สำนักงานศาลยุติธรรมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส (ฉบับที่..) พ.ศ. ....ต่อคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมและคณะรัฐมนตรี โดยพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2550

บทบาทที่เพิ่มขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550

สาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ การขยายขอบเขตอำนาจหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสให้สามารถดำรงตำแหน่งในศาลสูงได้ จากเดิมซึ่งมีอยู่แต่เฉพาะในศาลชั้นต้นเท่านั้น เนื่องจากอัตรากำลังผู้พิพากษาศาลสูงที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่เพียงพอที่จะรองรับปริมาณคดีรวมทั้งภารกิจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เพิ่มขึ้นได้ สมควรให้ผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและมีประสบการณ์ในการพิจารณาพิพากษาคดีมาเป็นเวลานานสามารถดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลสูงได้ ซึ่งจำนวนข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรรมที่จะอายุครบ 60 ปีในปี 2550 นี้มีจำนวน 40 ท่าน

บทบาทของผู้พิพากษาอาวุโสตามรัฐธรรมนูญปี 2550

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ประกาศใช้ โดยได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้พิพากษาอาวุโสไว้ในมาตรา 306 วรรคสอง ความว่า “ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ให้ตรากฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมดำรงตำแหน่งได้จนถึงอายุครบเจ็ดสิบปีและผู้พิพากษาศาลยุติธรรมซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไปในปีงบประมาณใดซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่มาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบปีและผ่านการประเมินสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ สามารถขอไปดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสในศาลซึ่งไม่สูงกว่าขณะดำรงตำแหน่งได้”

จะเห็นได้ว่า ถึงแม้พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโส (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 จะประกาศใช้ก่อนรัฐธรรมนูญก็มิได้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นหากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้มีแนวทางสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ทั้งกฎหมายฉบับนี้มิใช่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและการเสนอแก้ไขกฎหมายสำนักงานศาลยุติธรรมก็ไม่เคยทราบว่าจะมีการบัญญัติเรื่องนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 การแก้ไขกฎหมายผู้พิพากษาอาวุโสจึงมิได้เป็นการแสวงหาประโยชน์ใดๆ จากการร่างรัฐธรรมนูญตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าวแต่อย่างใด

สรุป

การที่กฎหมายกำหนดให้มีผู้พิพากษาอาวุโสพิจารณาคดีได้ทุกชั้นศาล ก็เนื่องจากในปัจจุบันผู้พิพากษามีจำนวนไม่เพียงพอ ประกอบกับเห็นว่าผู้พิพากษาอาวุโสเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและการพิจารณาคดี ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่การอำนวยความยุติธรรมและลดปริมาณคดีที่ค้างอยู่ในศาลโดยถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

สราวุธ เบญจกุล
รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
และโฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม

กำลังโหลดความคิดเห็น