xs
xsm
sm
md
lg

ธอส.สวนกระแสคงดอกเบี้ยกู้ หวั่นกำไรหด-ภาระกันสำรองพุ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - "ขรรค์ ประจวบเหมาะ" หวั่นกำไรหดประกาศไม่ลดดอกเบี้ยกู้ ระบุต้องเตรียมเงินไว้กันสำรองตามมาตรฐาน IAS 39 ชี้หากลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% กำไรสูญทันที 400 ล้านบาทต่อปี ล่าสุดฉลองครบรอบ 54 ปี ทุ่มงบเกือบ 1,300 ล้านบาทปรับรูปโฉมธนาคาร พร้อมนำระบบ Core Banking มาใช้หวังเพิ่มศักยภาพการปล่อยสินเชื่อ-ลดการเกิดหนี้เอ็นพีแอล

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ภายในปี 2550 ธอส.จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แม้ว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะมีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในวันการประชุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ เนื่องจากปีนี้ธนาคารต้องการทำกำไร เพื่อนำส่วนหนึ่งไปกันสำรองหนี้ตามมาตรฐานทางบัญชี IAS 39 เพื่อจำเป็นจะได้ไม่ต้องเพิ่มทุน ซึ่ง ณ สิงหาคม 50 ทางธนาคารได้ตั้งสำรองไปแล้ว 1,900 ล้านบาท มีกำไร 1,400 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีน่าจะมีกำไร 1,800 ล้านบาท

"ธอส.ต้องมีภาระกันเงินบางส่วนไว้รองรับการกันสำรองตามมาตรฐาน IAS 39 ซึ่งหากมีกำไรเพียงพอก็จะไม่ต้องเพิ่มทุน ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ และถ้าหากลดดอกเบี้ยกู้ 0.25% จะทำให้สูญเสียกำไร 400 ล้านบาทต่อปี"

สำหรับสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยของไทยในขณะนี้ เชื่อว่า จะยังไม่ปรับขึ้น เนื่องจากภายหลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว 0.50% และมีแนวโน้มว่าจะปรับลดลงอีก 0.50% ภายในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง ทำให้มีเงินไหลเข้ามายังภูมิภาคเอเชีย ทำให้เงินสกุลเอเชียแข็งค่าขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะไม่ปรับลดลงตามดอกเบี้ยของเฟด แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นอาจปรับลดลงได้อีก แต่อัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจะยังไม่ลดลง โดยอัตราดอกเบี้ย 1 ปีอยู่ที่ 3% ระยะ 5-10 ปี อยู่ที่ 5% นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังได้ออกพันธบัตรออมทรัพย์เกือบ 90,000 ล้านบาท และปลายปียังมีแผนที่จะออกมาอีกรอบ เพื่อดูดทรัพย์สภาพคล่อง ทำให้ความต้องใช้เงินในประเทศมีสูงขึ้นจึงไม่จำเป็นที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก

นอกจากนี้ นายขรรค์กล่าวยอมรับว่า หนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภูมิภาค เนื่องจากในช่วงรัฐบาลที่แล้วมีเงินอัดฉีดของรัฐบาลลงสู่ท้องถิ่นหลายโครงการ ทำให้ประชาชนมีรายได้หมุนเวียน แต่ขณะนี้เงินอัดฉีดดังกล่าวถูกตัดไป ทำให้สถานภาพด้านรายได้ของประชาชนในท้องถิ่นได้รับผลกระทบด้วย

อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ให้นโยบายกับสาขาให้ติดตามหนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อใหม่ก็ต้องลงรายละเอียดมากหน่อย เพราะปัจจุบันหากลูกหนี้ค้างชำระ 3 เดือนถือเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ซึ่งธนาคารต้องกันสำรอง 100% ดังนั้น หากปล่อยให้เป็นหนี้เอ็นพีแอล ก็เท่ากับเพิ่มภาระธนาคารมากขึ้น พร้อมยืนยันว่า ลูกค้าที่ขอกู้ผ่านธนาคาร หากเอกสารหลักฐานครบถ้วนและมีเครดิตที่น่าเชื่อถือได้ มีสัดส่วนการได้รับอนุมัติสินเชื่อ 70% ของจำนวนผู้ขอกู้

นายขรรค์ กล่าวต่อว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 54 ปี ธอส. ได้ปฏิรูปองค์กรใหม่ โดยใช้สโลแกนว่า "เปลี่ยน...เพื่อสิ่งที่ดีขึ้น" โดยการปรับระบบการทำงาน ปรับรูปโฉมของธนาคารให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น และลดข้อบกพร่องโดยเฉพาะขั้นตอนการอนุมัติสินเชื่อ ระยะเวลาให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

สำหรับการปรับภาพลักษณ์ดังกล่าว ธนาคารได้ใช้งบประมาณเกือบ 1,300 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในระบบ Core Banking ซึ่งเป็นระบบที่ธอส.ซื้อมาจากประเทศอินเดียจำนวน 589 ล้านบาท ในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ และปรับปรุงสาขาจำนวน 700 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนในระบบ Core Banking จะทำให้ระบบการทำงานของ ธอส.มีความรวดเร็วขึ้น

นอกจากการลงทุนในระบบ Core Banking แล้วธอส.ยังได้นำระบบ Credit Processing Center หรือ CPC มาใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยระบบดังกล่าวเป็นระบบการอนุมัติสินเชื่อจากส่วนกลาง ซึ่งการใช้ระบบดังกล่าว จะทำให้ธอส.ลดการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอนพีแอล) ลงได้ประมาณ 20-30% ทำให้สินเชื่อที่เข้ามาใหม่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

"การลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ก็เหมือนเราได้เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ วิ่งได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้ธอส.ปล่อยสินเชื่อได้มากกว่าแสนล้าน จากเดิมที่เราปล่อยไม่ถึงแสนล้าน กับจำนวนพนักงานเท่าเดิม กำไรเพิ่ม โบนัสก็เพิ่มตาม" นายขรรค์กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น