“บรรณวิทย์” หงุดหงิดแทน “สพรั่ง” ได้รับแต่งตั้งเป็นรองปลัดฯ กห.เหมือนถูกลงโทษ ทั้งที่เป็นแนวหน้ารบกับ “ทักษิณ” แฉแหลกยุค คมช.เล่นพรรคเล่นพวกยิ่งกว่าสมัย“แม้ว” ปชป.เชียร์ “สนธิ” นั่งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อสานงานต่อ แม้เป็นประธาน คมช.ที่มีอำนาจปลดนายกฯได้ถ้าไม่ถือมั่นเกินไปก็ไม่น่ามีปัญหาเพราะต้องเอาประโยชน์ประเทศชาติเป็นสำคัญ ระบุที่ผ่านมารัฐบาลถูกวิจารณ์ทำงานไม่เต็มที่ ไม่เหมือน คมช. หาก “บิ๊กบัง” ไปนั่งร่วมบริหารก็จะโทษใครไม่ได้ถ้างานแย่
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งนายทหารรับราชการ ถึงกรณีที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.เพื่อนร่วมรุ่น(ตท.7) ถูกย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงหลาโหม ว่า หากถามว่า พล.อ.สพรั่ง ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ตรงนี้เราพูดไม่ได้ แต่เห็นว่า คนที่อุตส่าห์ทำงานมาถึงขนาดนี้แล้วได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ไปพิจารณากันเอาเอง เพราะได้รับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม แม้จะได้อัตราจอมพล แต่ถ้าดูกันจริงๆ แล้วเหมือนโดนลงโทษ ก็ไม่รู้ว่า ไปลงโทษ พล.อ.สพรั่ง ทำไมเขาทำอะไรผิดหรือ แม้จะได้อัตราจอมพล ขยับขึ้นสูงกว่าพลเอกก็จริงอยู่ แต่ตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงกลาโหมเหมือนไม่มีอะไรทำ เปรียบเสมือนเสมียนสำนักงานคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องแคบๆ วันๆ ไม่มีอะไรทำ เพราะรองปลัดกระทรวงกลาโหมขณะนี้มีถึง 4 คนแต่ละคนก็ว่างงาน ถ้าให้พล.อ.สพรั่ง ไปเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด ดูจะมีศักดิ์ศรีเสียกว่า เพราะคนเป็นนักรบจะให้มาเป็นเสมียนมันเสียความรู้สึก ซึ่งดูแล้วแย่มากๆ
“วันนี้ผมกล้าพูดได้เลยว่า พล.อ.สพรั่ง เป็นคนเดียวที่ต่อสู้มาตั้งแต่แรก ก่อนทำการปฎิวัติรัฐประหาร ตั้งแต่เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นคนเดียวที่ออกมาด่าไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เสียด้วยซ้ำ
"ถ้าเทียบกันระหว่าง 3 คน พล.อ.สพรั่ง พล.อ.อนุพงษ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ผมเห็นว่า พล.อ.สพรั่ง เป็นคนแรกและเป็นกองหน้าที่กล้าชนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอด ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ ยังมาทีหลัง ส่วน พล.อ.มนตรี มาทีหลังเพื่อนซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วจะมาเทียบแคนดิเดตกับคนอื่นเขา จริงๆ แล้ว พล.อ.สพรั่ง ต้องได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ทบ.เพราะเหลือเวลาราชการอีกแค่ปีเดียว แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้ เขาทำผิดอะไรหรือ ผมสงสัยจริงๆ”
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวอีกว่า ก่อนแต่งตั้งโยกย้ายประมาณหนึ่งเดือน พล.อ.สพรั่ง ได้พูดกับตนว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช. ไม่พูดด้วยเลย ไม่เคยเรียกไปหารือหรือพูดคุยเหมือนแต่ก่อน ซึ่ง พล.อ.สพรั่ง ก็รู้ตัวล่วงหน้าเป็นการบอกสัญญาณอันตรายบางอย่างว่าจะไม่ได้รับการพิจารณาตำแหน่ง ผบ.ทบ.แน่นอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่า พล.อ.สนธิ ไม่ชอบขี้หน้าเรื่องอะไร เขาก็ไม่ยอมบอก และ พล.อ.สพรั่ง ก็ไม่ปริปากถามสักนิด เก็บความรู้สึกไว้คนเดียวเพิ่งจะมาเล่าให้ตนฟังภายหลัง
ส่วนขณะนี้ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า พล.อ.สพรั่ง ยอมรับกับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงฯ ได้อยู่แล้ว เพราะเรามีวินัยคุมอยู่ ส่วน พล.อ.สพรั่ง เท่าที่รู้เขาเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็ง แต่ส่วนตัว ก็ต้องมีความรู้สึกบ้าง ทำไมถึงทำอย่างนี้ กับเขา ทั้งหมดต้องโทษ พล.อ.สนธิ น่าจะละอายใจ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ตั้งความหวังว่า พล.อ.สพรั่ง จะได้เป็น ผบ.ทบ.เพราะสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ หากเกิดเลือกตั้งขึ้นมีปัญหาอะไร พล.อ.สพรั่ง ก็พร้อมจะเดินหน้าชนไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว
ถึงวันนี้ พล.อ.สพรั่ง บ่นให้ฟังว่า เขามี นายคนเดียวคือ พล.อ.สนธิ ใครจะด่าจะว่า พล.อ.สนธิ เขาก็เถียงแทนแก้ต่างแทนออกรับหน้าแทนทุกเรื่อง แม้ใครจะมาพูดในแง่ไม่ดีถึง พล.อ.สนธิ ให้ฟัง ก็จะไม่ฟัง พร้อมกับพูดอยู่เสมอว่า ผบ.ทบ.เป็นคนดี มีความเป็นธรรม แต่วันนี้ตนเริ่มสงสัยแล้วว่า คงไม่ใช่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดกับตัวพล.อ.สนธิ ในขณะนี้
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม แต่งตั้ง พล.ต.สราวุธ ชลออยู่ ซึ่งเป็นน้องเมียขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และขยับเอา พล.อ.จงศักดิ์ พานิช กุล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำงานปลัดกระทรวงกลาโหมขึ้นเป็น หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำปลัดกระทรวงกลาโหม ว่า มันน่าทุเรศจริงๆ เป็นการเล่นพรรคเล่นพวกมากเกินไป โดยเฉพาะ พล.อ.จงศักดิ์ ที่จะเสนอต่อที่ประชุมสภากลาโหมให้ไปเป็น ผอ.องค์การทหารผ่านศึก(อผศ.)อีกตำแหน่งหนึ่ง แทน พล.อ.ทสรฐ เมืองอ่ำ ผอ.อผศ. ที่ถูกขยับขึ้นมากินอัตราจอมพลในตำแหน่ง ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ก่อนเกษียณ ทำกันอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง แล้วจะมาบอกว่า พล.อ.ทสรฐใกล้เกษียณจะต้องได้อัตราจอมพลซึ่งคงไม่ใช่ อยากถามจริงๆ แต่งตั้งเขามา วันนี้ห้องทำงานของ พล.อ.ทสรฐ อยู่ที่ไหนในกระทรวงกลาโหมก็ยังไม่รู้เลย น่าสงสารจริงๆ
“เรื่องอย่างนี้มันยิ่งกว่าสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เสียอีก เพราะใครๆ ในกระทรวงกลาโหมก็รู้กันดีว่า ลูกสาวของ พล.อ.จงศักดิ์ แต่งงานกับลูกชาย พล.อ.วินัย ซึ่งก็หมายความว่าเป็นดองกัน แล้วทำไม พล.อ.วินัย จะผลักดันให้พล.อ.จงศักดิ์ มีตำแหน่งดีๆ ไม่ได้
"ถึงวันนี้พวกเรากว่าจะต่อสู้ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกไปได้ วันนี้มาเจออย่างนี้เสียเองคงไม่ไหว เพราะมันไม่ต่างอะไรกันเเลยทำแบบเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำ ซึ่งมันไม่หนีกันเลย ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง คือเอาพรรคพวก เครือญาติ เพื่อนฝูงเข้ามาหาตำแหน่งในกองทัพ การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นยุคนี้แล้ว ผมรู้สึกละอายใจแทน ซึ่งหากผมพูดออกไปมากนี้ก็จะกลายเป็น ว่าไปเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ เขาจะดีใจ เห็นพวกเราทะเลาะกันแล้ว”พล.ร.อ.บรรณวิทย์กล่าว
“สุเทพ”เชียร์“สนธิ”นั่งรองนายกฯ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวการตั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะภารกิจ คมช. ที่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงยังทำไม่สำเร็จ ทั้งปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการก่อกวนจากกลุ่มผู้เสียอำนาจ หาก พล.อ.สนธิ เข้ามาอยู่ใน คณะรัฐมนตรีจะสามารถดูแลให้กระบวนการต่างๆ เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม และทำงานได้ดีกว่าการเป็นประธาน คมช. เพียงตำแหน่งเดียว
ส่วนที่กังวลกันว่า ประธาน คมช. มีอำนาจในการปลดนายกรัฐมนตรี แต่กลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นลูกน้องของนายกรัฐมนตรี เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากไม่ถือมั่นมากเกินไป ก็ไม่มีปัญหา วันนี้ต้องเอาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ เชื่อว่าการเป็นประธานคมช. ควบกับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีด้วยถือเป็นเรื่องดี เพราะสองเรื่องได้เข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบ ของคน ๆ เดียวกัน ซึ่งจะทำให้งานเป็นเอกภาพ เพราะเดิม คมช.ก็อยู่ส่วนหนึ่ง รัฐบาล ก็อีกส่วนหนึ่ง ทำให้การทำงานยังไม่ไปในแนวทางเดียวกัน
“เวลาที่เหลือไม่มากก็จริง แต่ถ้าท่านมาเป็นรองนายกฯ แล้วตั้งใจทำ จะทำได้มาก สมัยรัฐบาลของนายกฯ อานันท์ (ปันยารชุน) อยู่แค่ปีเดียวก็ทำอะไรได้ตั้งเยอะ ต้องทำอย่างจริงจัง ผมเคยได้ยินประชาชนวิจารณ์ว่า คมช. ตั้งใจทำงาน แต่รัฐมนตรีบางคนทำได้ไม่เต็มที่ ถ้า คมช.มาอยู่ในรัฐบาลก็ชัดเจนขึ้น คราวนี้จะโทษใครไม่ได้” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวว่า การตั้ง พล.อ.สนธิ ให้มารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ทำเพื่อหาตำแหน่งมารองรับหลังพล.อ.สนธิ เกษียณอายุราชการ เพราะถึงอย่างไร พล.อ.สนธิ ก็ยังเป็นประธาน คมช.อยู่ ดังนั้น หาก พล.อ.สนธิ ยอมรับตำแหน่ง ก็ต้องขอบคุณที่เข้ามารับผิดชอบงานที่ยังไม่สำเร็จ
ส่วนถ้างานด้านความมั่นคงยังไม่สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ หากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลในสมัยหน้าจะตั้งพล.อ.สนธิ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ต่อหรือไม่ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่ารัฐบาลสมัยหน้าหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงหรือไม่คงไม่มีใครทราบดีเท่ากับนายกรัฐมนตรีว่าการทำงานของรัฐบาลขณะนี้จำเป็นต้องมีคนมาเสริมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ 3-4 เดือน ก่อนมีรัฐบาลใหม่ เป็นช่วงสำคัญของ การเปลี่ยนผ่านจากการเมืองที่มีรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง ไปสู่รัฐบาลที่มาจาก การเลือกตั้ง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ
“พล.อ.สนธิ ถือว่าเป็นคนมีความรู้ความสามารถ ทำหน้าที่มาหลายด้าน อีกทั้งเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก และเป็นทหารอาชีพ จึงไม่น่าจะมีอะไรเป็นอุปสรรค ในการเข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง และเชื่อว่าคงไม่สับสนกับตำแหน่งประธาน คมช. เพราะแม้ คมช.จะดูแลความมั่นคง แต่ภาระหน้าที่การบริหารยังเป็นของรัฐบาลอยู่ดี” นายองอาจ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก พล.อ.สนธิ รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีแล้ว ต้องลาออก จากประธาน คมช.หรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องไปดูรายละเอียดในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ว่าประธาน คมช.จะพ้นจากตำแหน่งด้วยวิธีการใดบ้าง และประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ ประธาน คมช.สามารถปลดนายกรัฐมนตรีได้ แต่ต้องมาเป็น รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี และกำลังเป็นข้อ วิพากษ์วิจารณ์พอสมควร แต่ต้องขึ้นอยู่กับการจัดการที่เหมาะสม และต้องให้ประชาชนเห็นว่าการเข้ามาทำงานในตำแหน่งดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
ส่วนกรณีที่มีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากปัญหาการถือครองหุ้น จะเป็นจังหวะที่ควรปรับ พล.อ.สนธิ เข้ามาในคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ไม่ได้คิดว่าการปรับคณะรัฐมนตรีที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ พล.อ.สนธิ เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีจะปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อใดก็ได้ ถือเป็นสิทธิที่ดำเนินการได้อยู่แล้ว
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งนายทหารรับราชการ ถึงกรณีที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.เพื่อนร่วมรุ่น(ตท.7) ถูกย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงหลาโหม ว่า หากถามว่า พล.อ.สพรั่ง ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ตรงนี้เราพูดไม่ได้ แต่เห็นว่า คนที่อุตส่าห์ทำงานมาถึงขนาดนี้แล้วได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ไปพิจารณากันเอาเอง เพราะได้รับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม แม้จะได้อัตราจอมพล แต่ถ้าดูกันจริงๆ แล้วเหมือนโดนลงโทษ ก็ไม่รู้ว่า ไปลงโทษ พล.อ.สพรั่ง ทำไมเขาทำอะไรผิดหรือ แม้จะได้อัตราจอมพล ขยับขึ้นสูงกว่าพลเอกก็จริงอยู่ แต่ตำแหน่ง รองปลัดกระทรวงกลาโหมเหมือนไม่มีอะไรทำ เปรียบเสมือนเสมียนสำนักงานคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องแคบๆ วันๆ ไม่มีอะไรทำ เพราะรองปลัดกระทรวงกลาโหมขณะนี้มีถึง 4 คนแต่ละคนก็ว่างงาน ถ้าให้พล.อ.สพรั่ง ไปเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด ดูจะมีศักดิ์ศรีเสียกว่า เพราะคนเป็นนักรบจะให้มาเป็นเสมียนมันเสียความรู้สึก ซึ่งดูแล้วแย่มากๆ
“วันนี้ผมกล้าพูดได้เลยว่า พล.อ.สพรั่ง เป็นคนเดียวที่ต่อสู้มาตั้งแต่แรก ก่อนทำการปฎิวัติรัฐประหาร ตั้งแต่เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นคนเดียวที่ออกมาด่าไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เสียด้วยซ้ำ
"ถ้าเทียบกันระหว่าง 3 คน พล.อ.สพรั่ง พล.อ.อนุพงษ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ผมเห็นว่า พล.อ.สพรั่ง เป็นคนแรกและเป็นกองหน้าที่กล้าชนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอด ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ ยังมาทีหลัง ส่วน พล.อ.มนตรี มาทีหลังเพื่อนซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วจะมาเทียบแคนดิเดตกับคนอื่นเขา จริงๆ แล้ว พล.อ.สพรั่ง ต้องได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ทบ.เพราะเหลือเวลาราชการอีกแค่ปีเดียว แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้ เขาทำผิดอะไรหรือ ผมสงสัยจริงๆ”
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวอีกว่า ก่อนแต่งตั้งโยกย้ายประมาณหนึ่งเดือน พล.อ.สพรั่ง ได้พูดกับตนว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช. ไม่พูดด้วยเลย ไม่เคยเรียกไปหารือหรือพูดคุยเหมือนแต่ก่อน ซึ่ง พล.อ.สพรั่ง ก็รู้ตัวล่วงหน้าเป็นการบอกสัญญาณอันตรายบางอย่างว่าจะไม่ได้รับการพิจารณาตำแหน่ง ผบ.ทบ.แน่นอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่า พล.อ.สนธิ ไม่ชอบขี้หน้าเรื่องอะไร เขาก็ไม่ยอมบอก และ พล.อ.สพรั่ง ก็ไม่ปริปากถามสักนิด เก็บความรู้สึกไว้คนเดียวเพิ่งจะมาเล่าให้ตนฟังภายหลัง
ส่วนขณะนี้ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวว่า พล.อ.สพรั่ง ยอมรับกับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงฯ ได้อยู่แล้ว เพราะเรามีวินัยคุมอยู่ ส่วน พล.อ.สพรั่ง เท่าที่รู้เขาเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็ง แต่ส่วนตัว ก็ต้องมีความรู้สึกบ้าง ทำไมถึงทำอย่างนี้ กับเขา ทั้งหมดต้องโทษ พล.อ.สนธิ น่าจะละอายใจ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ตั้งความหวังว่า พล.อ.สพรั่ง จะได้เป็น ผบ.ทบ.เพราะสถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในภาวะไม่ปกติ หากเกิดเลือกตั้งขึ้นมีปัญหาอะไร พล.อ.สพรั่ง ก็พร้อมจะเดินหน้าชนไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว
ถึงวันนี้ พล.อ.สพรั่ง บ่นให้ฟังว่า เขามี นายคนเดียวคือ พล.อ.สนธิ ใครจะด่าจะว่า พล.อ.สนธิ เขาก็เถียงแทนแก้ต่างแทนออกรับหน้าแทนทุกเรื่อง แม้ใครจะมาพูดในแง่ไม่ดีถึง พล.อ.สนธิ ให้ฟัง ก็จะไม่ฟัง พร้อมกับพูดอยู่เสมอว่า ผบ.ทบ.เป็นคนดี มีความเป็นธรรม แต่วันนี้ตนเริ่มสงสัยแล้วว่า คงไม่ใช่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดกับตัวพล.อ.สนธิ ในขณะนี้
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม แต่งตั้ง พล.ต.สราวุธ ชลออยู่ ซึ่งเป็นน้องเมียขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร และขยับเอา พล.อ.จงศักดิ์ พานิช กุล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำงานปลัดกระทรวงกลาโหมขึ้นเป็น หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำปลัดกระทรวงกลาโหม ว่า มันน่าทุเรศจริงๆ เป็นการเล่นพรรคเล่นพวกมากเกินไป โดยเฉพาะ พล.อ.จงศักดิ์ ที่จะเสนอต่อที่ประชุมสภากลาโหมให้ไปเป็น ผอ.องค์การทหารผ่านศึก(อผศ.)อีกตำแหน่งหนึ่ง แทน พล.อ.ทสรฐ เมืองอ่ำ ผอ.อผศ. ที่ถูกขยับขึ้นมากินอัตราจอมพลในตำแหน่ง ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ก่อนเกษียณ ทำกันอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง แล้วจะมาบอกว่า พล.อ.ทสรฐใกล้เกษียณจะต้องได้อัตราจอมพลซึ่งคงไม่ใช่ อยากถามจริงๆ แต่งตั้งเขามา วันนี้ห้องทำงานของ พล.อ.ทสรฐ อยู่ที่ไหนในกระทรวงกลาโหมก็ยังไม่รู้เลย น่าสงสารจริงๆ
“เรื่องอย่างนี้มันยิ่งกว่าสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เสียอีก เพราะใครๆ ในกระทรวงกลาโหมก็รู้กันดีว่า ลูกสาวของ พล.อ.จงศักดิ์ แต่งงานกับลูกชาย พล.อ.วินัย ซึ่งก็หมายความว่าเป็นดองกัน แล้วทำไม พล.อ.วินัย จะผลักดันให้พล.อ.จงศักดิ์ มีตำแหน่งดีๆ ไม่ได้
"ถึงวันนี้พวกเรากว่าจะต่อสู้ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกไปได้ วันนี้มาเจออย่างนี้เสียเองคงไม่ไหว เพราะมันไม่ต่างอะไรกันเเลยทำแบบเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำ ซึ่งมันไม่หนีกันเลย ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง คือเอาพรรคพวก เครือญาติ เพื่อนฝูงเข้ามาหาตำแหน่งในกองทัพ การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นยุคนี้แล้ว ผมรู้สึกละอายใจแทน ซึ่งหากผมพูดออกไปมากนี้ก็จะกลายเป็น ว่าไปเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ เขาจะดีใจ เห็นพวกเราทะเลาะกันแล้ว”พล.ร.อ.บรรณวิทย์กล่าว
“สุเทพ”เชียร์“สนธิ”นั่งรองนายกฯ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวการตั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะภารกิจ คมช. ที่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงยังทำไม่สำเร็จ ทั้งปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการก่อกวนจากกลุ่มผู้เสียอำนาจ หาก พล.อ.สนธิ เข้ามาอยู่ใน คณะรัฐมนตรีจะสามารถดูแลให้กระบวนการต่างๆ เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม และทำงานได้ดีกว่าการเป็นประธาน คมช. เพียงตำแหน่งเดียว
ส่วนที่กังวลกันว่า ประธาน คมช. มีอำนาจในการปลดนายกรัฐมนตรี แต่กลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นลูกน้องของนายกรัฐมนตรี เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หากไม่ถือมั่นมากเกินไป ก็ไม่มีปัญหา วันนี้ต้องเอาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ เชื่อว่าการเป็นประธานคมช. ควบกับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีด้วยถือเป็นเรื่องดี เพราะสองเรื่องได้เข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบ ของคน ๆ เดียวกัน ซึ่งจะทำให้งานเป็นเอกภาพ เพราะเดิม คมช.ก็อยู่ส่วนหนึ่ง รัฐบาล ก็อีกส่วนหนึ่ง ทำให้การทำงานยังไม่ไปในแนวทางเดียวกัน
“เวลาที่เหลือไม่มากก็จริง แต่ถ้าท่านมาเป็นรองนายกฯ แล้วตั้งใจทำ จะทำได้มาก สมัยรัฐบาลของนายกฯ อานันท์ (ปันยารชุน) อยู่แค่ปีเดียวก็ทำอะไรได้ตั้งเยอะ ต้องทำอย่างจริงจัง ผมเคยได้ยินประชาชนวิจารณ์ว่า คมช. ตั้งใจทำงาน แต่รัฐมนตรีบางคนทำได้ไม่เต็มที่ ถ้า คมช.มาอยู่ในรัฐบาลก็ชัดเจนขึ้น คราวนี้จะโทษใครไม่ได้” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวว่า การตั้ง พล.อ.สนธิ ให้มารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ทำเพื่อหาตำแหน่งมารองรับหลังพล.อ.สนธิ เกษียณอายุราชการ เพราะถึงอย่างไร พล.อ.สนธิ ก็ยังเป็นประธาน คมช.อยู่ ดังนั้น หาก พล.อ.สนธิ ยอมรับตำแหน่ง ก็ต้องขอบคุณที่เข้ามารับผิดชอบงานที่ยังไม่สำเร็จ
ส่วนถ้างานด้านความมั่นคงยังไม่สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ หากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลในสมัยหน้าจะตั้งพล.อ.สนธิ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ต่อหรือไม่ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่ารัฐบาลสมัยหน้าหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์จะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงหรือไม่คงไม่มีใครทราบดีเท่ากับนายกรัฐมนตรีว่าการทำงานของรัฐบาลขณะนี้จำเป็นต้องมีคนมาเสริมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ 3-4 เดือน ก่อนมีรัฐบาลใหม่ เป็นช่วงสำคัญของ การเปลี่ยนผ่านจากการเมืองที่มีรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง ไปสู่รัฐบาลที่มาจาก การเลือกตั้ง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ
“พล.อ.สนธิ ถือว่าเป็นคนมีความรู้ความสามารถ ทำหน้าที่มาหลายด้าน อีกทั้งเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก และเป็นทหารอาชีพ จึงไม่น่าจะมีอะไรเป็นอุปสรรค ในการเข้ามาดูแลงานด้านความมั่นคง และเชื่อว่าคงไม่สับสนกับตำแหน่งประธาน คมช. เพราะแม้ คมช.จะดูแลความมั่นคง แต่ภาระหน้าที่การบริหารยังเป็นของรัฐบาลอยู่ดี” นายองอาจ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก พล.อ.สนธิ รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีแล้ว ต้องลาออก จากประธาน คมช.หรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ต้องไปดูรายละเอียดในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ว่าประธาน คมช.จะพ้นจากตำแหน่งด้วยวิธีการใดบ้าง และประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ ประธาน คมช.สามารถปลดนายกรัฐมนตรีได้ แต่ต้องมาเป็น รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี และกำลังเป็นข้อ วิพากษ์วิจารณ์พอสมควร แต่ต้องขึ้นอยู่กับการจัดการที่เหมาะสม และต้องให้ประชาชนเห็นว่าการเข้ามาทำงานในตำแหน่งดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
ส่วนกรณีที่มีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากปัญหาการถือครองหุ้น จะเป็นจังหวะที่ควรปรับ พล.อ.สนธิ เข้ามาในคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ไม่ได้คิดว่าการปรับคณะรัฐมนตรีที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ พล.อ.สนธิ เข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีจะปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อใดก็ได้ ถือเป็นสิทธิที่ดำเนินการได้อยู่แล้ว