xs
xsm
sm
md
lg

กงจักรเก่าๆ น้ำเน่าเดิมๆ นี่หรือจะปฏิรูปการเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ในปี 2534 พี่น้องร่วมท้องของผม 2 คน คือ น.ต.ฐิติ และนายนิตินัย นาครทรรพ เป็นตัวตั้งตัวตีตั้งพรรคสามัคคีธรรม เพื่อสนับสนุนนักเรียนรุ่นพี่ร่วมโรงเรียนหนองคายวิทยาคาร คือ พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี น.ต.ฐิติ ได้รับตำแหน่งสำคัญเป็นเลขาธิการพรรค

ในวันฉลองการเปิดที่ทำการใหญ่พรรคสามัคคีธรรมที่ถนนนางเลิ้ง ผมได้นำรูปใส่กรอบไปมอบเป็นของขวัญ ในรูปนั้นมีคำกลอนว่า

“อย่าหลงลืม ประชาธิปไตย อย่าใหลหลง
อำนาจปืน กับเงิน นั้น ไม่มั่นคง
ประชาชน ดอกดำรง นิรันดร”

ครอบครัวเรายังรักใคร่กันดี เพราะ การเมืองนั้นก็เหมือนกับผู้หญิง เสรีภาพและรสนิยมเป็นเรื่องส่วนตัว

การยึดอำนาจของ รสช.ตระเตรียมกันมาเป็นปี ผมเตือนทั้งนายกฯ ชาติชายและพลเอกอาทิตย์ ในหนังสืออัตชีวประวัติของพลเอกสายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ชื่อ “ชีวิตนี้มีค่านัก” ผมกับคุณหมอประเวศไปขอร้องท่านให้ห้ามปรามลูกศิษย์ ท่านตอบว่า ไม่สำเร็จหรอก ทหารที่ใหญ่โตแล้ว มันบ้าอำนาจ

พี่น้องสองคนของผมคิดในแง่ดีว่าหากระดมสุดยอดของทหารกับสุดยอดของนักการเมืองมารวมกัน แล้วผนึกกำลังกองทัพ นายทุนนักธุรกิจ นักวิชาการ และสื่อ เข้าหนุนเนื่อง ความสำเร็จ และปฏิรูปการเมืองของประเทศจะอยู่แค่เอื้อม

ผมทำนายว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน และจะเกิดนองเลือด ก็ไม่มีใครเชื่อ

คนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่า หากกองทัพเล่นด้วย ส่งตัวแทนออกมาคุมการเมือง แจกจ่ายอำนาจและตำแหน่งให้ผู้นำนักการเมืองให้ลงตัว แล้วการเมืองจะราบรื่น

ลองยกมาดูสักตัวอย่างได้ไหม

ผมจึงตั้งเป็นทฤษฎีว่า พรรคที่ตั้งเพื่อคอยหัวหน้า หรือพรรคหัวหน้าตั้ง ไม่มีวันยั่งยืน ไม่เชื่อนับดูก็ได้ พรรคเสรีมนังคศิลาของ จอมพล ป. พรรคสหภูมิของจอมพลสฤษดิ์ พรรคสหประชาไทยของจอมพลถนอม-ประภาส พรรคชาติประชาธิปไตยของพลเอกเกรียงศักดิ์ พรรคสามัคคีธรรมของพลเอกสุจินดา พรรคความหวังใหม่ของพลเอกชวลิต นี่นับเฉพาะพรรคหลักที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ไม่นับพรรคองค์ประกอบของพลเอกอาทิตย์ พลเอกมานะ พลเอกเทียนชัย และอีกหลายพรรค

พรรคพลเรือนที่ยอดฝีมือเป็นหัวหน้าตั้ง เช่นประสิทธิ กาญจนวัฒน์ เสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ บุญชู โรจนเสถียร อุทัย พิมพ์ใจชน อำนวย วีรวรรณ ฯลฯ อีกนับไม่ถ้วนก็อวสานเหมือนกัน

ทั้งนี้เพราะมันขัดกับกฎวิวัฒนาการ กฎธรรมชาติ และกฎความเป็นอนิจจังของสังคม การรวมตัวกันชั่วคราว ก็จะอยู่ได้อย่างชั่วคราว เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ชั่วคราว ที่ลงตัวชั่วคราวเท่านั้น

แล้วอย่างนี้ระบบพรรคซึ่งเป็นปัจจัยหลักของระบบการเมืองจะมิเป็นระบบชั่วคราวตลอดไปหรือ แน่นอน และที่แน่นอนที่สุดเมืองไทยก็จะต้องด้อยพัฒนา และไร้เสถียรภาพ วนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์และวัฏจักรน้ำเน่าตลอดกาล

บทบัญญัติรัฐธรรมนูญก็ดี เสียงและพฤติกรรมของสื่อและนักวิชาการก็ดี นักการเมืองและทหารก็ดี ล้วนเฮโลไปตามกันว่าขอให้รีบเลือกตั้งเถอะ ลงทหารกับนักการเมืองสมานฉันท์กันซะอย่าง ปฏิรูปแน่ๆ

มะเหงกแน่ะ (สุภาพที่สุดแล้วครับ) ก็ไอ้กงจักรเก่าๆ น้ำเน่าเดิมๆ มันจะปฏิรูปอะไรได้ เพราะในตัวมันเอง หรือภายในองค์กรของมันเอง ก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นในข้อใดๆ เลย

ต่อไปนี้ผมจะชวนให้พวกเราคิดเรื่องยากที่สุดที่เข้าใจง่ายที่สุด

เริ่มต้นด้วยคำถามว่า ศาสนาสำคัญของโลกเวลานี้เช่น คริสต์ อิสลาม และพุทธ หากจะจัดตั้งต้องถูกบังคับให้จดทะเบียนเสียก่อน จะตั้งได้หรือไม่

ถ้าผู้นับถือศาสนาทุกคน ปฏิบัติตามคำสั่งสอนในศาสนาของตน เช่น ชาวพุทธในประเทศไทยพากันถือศีลห้าอย่างเพียงพอทั่วทุกคน ตำรวจ ทหาร ศาล คุก หรือแม้แต่รัฐบาล ก็แทบจะไม่ต้องมีก็ได้ใช่ไหม ถ้ามิใช่ ก็ไม่ต้องใหญ่โตมีอำนาจคับฟ้าใช่ไหม

ฉันใดก็ฉันนั้น กฎหมายบ้านเมืองที่มีอยู่ ทั้งแพ่งและอาญาหรือแม้แต่กฎหมายจราจร หากประชาชนพากันเคารพเชื่อฟัง ตำรวจ ทหาร ศาล คุก หรือแม้แต่รัฐบาล ก็แทบจะไม่ต้องมีก็ได้ใช่ไหม ถ้ามิใช่ ก็ไม่ต้องใหญ่โตมีอำนาจคับฟ้าใช่ไหม

ถามต่อไปว่า ตำรวจ ทหาร ศาล คุก กับ ประชาชนธรรมดา ใครเชื่อฟังกฎหมาย ใครมีอำนาจหรือความสามารถฝ่าฝืนกฎหมาย หรือทำลายกฎหมายมากกว่ากัน

ความจริงในประเทศที่มีอารยะวัฒนธรรมประชาธิปไตย หลักของรัฐธรรมนูญมีอยู่แล้วในร่างกฎหมายธรรมดา ในความประพฤติของประชาชนพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย ในการทำงานของตำรวจ ทหาร ศาล คุก และรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นตัวกฎหมายอีกก็ได้

รัฐธรรมนูญที่ร่างกันออกมาเป็นตัวกฎหมายมิใช่กฎหมายสูงสุด ถ้าใช่จะเอารถถังเหยียบ เอาทอปบูตกระทืบ ฉีกทิ้งไปแล้วตั้ง 17 ฉบับได้หรือ

ตั้งแต่หลังทหารยึดอำนาจปี 2490 เป็นต้นมา ตัวการที่สมคบกันทำลายระบอบประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของปวงชนที่สำคัญที่สุด คือ ทหาร ตำรวจ ระบบราชการ และพรรคการเมือง

ศานติสุข การอยู่ดีกินดี มีความเป็นธรรมและเมตตาต่อกัน ที่นักฝันทั้งหลายพากันเสนอเป็น วาระแห่งชาติ แนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา วัฒนธรรม สื่อ สุขภาพ สารพัดสารพัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าหากเราไม่สามารถปฏิรูปหรือแก้ไของค์กรและพฤติกรรมประจำองค์กรนอกองค์กรหรือเหนือองค์กรของ กองทัพ ตำรวจ ระบบราชการ และพรรคการเมืองเสียก่อน ทั้งนี้จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญเลยก็ได้

ข้าราชการประจำทั้งปวงจะต้องเลิกอยู่ใต้อำนาจมืดของนักการเมือง เลิกเป็นนายประชาชน และเลิกฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือต้องเข้าคุก นักการเมืองยิ่งจะต้องมีมาตรฐานสูงกว่าข้าราชประจำเสียอีก

สภาวะของ 3 สถาบันที่สำคัญในปัจจุบันเป็นอย่างไร ผมไม่อยากพูด ผมเข้าใจดีว่า “การตกเป็นเหยื่อของระบบจนได้ดี” นั้นหมายความว่าอย่างไร

แต่ถ้าเรารักและอยากให้ประเทศไทยเจริญและเป็นประชาธิปไตยเราจะต้องปรับปรุงแก้ไขทั้ง 3 สถาบัน ดังนี้

(1) นำกองทัพออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด พร้อมกับกำจัดระบบเจ้าพ่อและอั้งยี่ของกำลังพลส่วนน้อยที่แอบใช้อำนาจแฝงของกองทัพ

(2) เลิกยศและองค์กรตำรวจที่เสมือนทหาร พร้อมกับกำจัดตำรวจรีดไถ และกระทำการเป็นซ่องโจร

(3) พรรคการเมืองเลิกเป็นแก๊งเลือกตั้งและก๊วนกินเมือง

ผู้นำของแต่ละสถาบันจะต้องไม่ครอบงำซึ่งกันและกัน มีความสัมพันธ์กันอย่างถูกต้องตามระบบและระเบียบของราชการและหลักธรรมาภิบาล ไม่สมคบกันปฏิบัตินอกรีตหาผลประโยชน์ต่างตอบแทน มีพฤติกรรมนอกแบบนอกองค์กรที่เป็นการทำลายเสรีภาพ สาธารณประโยชน์ และความเป็นธรรมในสังคม

เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมเขียนแนะกองทัพว่า (1) ให้การศึกษาทหารให้เข้าใจการเมือง (2) นำเอาทหารออกจากการเมืองให้ได้ (3) สร้างกองทัพให้เป็น (ของ) ทหารอาชีพ ปึกแผ่น ทันสมัยและมีเกียรติศักดิ์

ผมขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติช่วยชาติช่วยกองทัพดังนี้

(1) ออกกฎหมายให้ทหารขอพระราชทานงดใช้ยศชั่วคราวขณะที่รณรงค์หรือดำรงตำแหน่งการเมือง (2) ออกกฎหมายให้เวลาผ่านไปครบหนึ่งปีหลังจากเกษียณหรือพ้นตำแหน่ง นายทหาร ตำรวจหรือข้าราชการสัญญาบัตรจึงจะสมัครหรือรับตำแหน่งการเมืองได้ (3) หนุนให้กองทัพและรัฐบาลตั้งทหารอาชีพเท่านั้นเข้าดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเหล่าทัพ

ไม่มีใครสนใจเลย พวกเรามัวแต่หายใจเข้าออกติดตามข่าว สพรั่ง อนุพงษ์ มนตรี ใครจะได้เป็นผบ.ทบ. สนธิ จะได้เป็นนายกฯ เมื่อไร เกษียณแล้วจะเข้าพรรคไหน เชษฐาจะเป็นหัวหน้ารวมใจไทยหรือไม่ ข่าวการสังวาสระหว่างอำนาจกับเงินอันเป็นยุทธศาสตร์หลักในการรวมตัวของพรรคต่างๆเพื่อเตรียมชิงอำนาจรัฐ ฟังแล้วชวนคลื่นเหียนอาเจียน

ผมเคยเขียนบทความเรื่อง“ปฏิรูปกองทัพ ลดนายพล ไม่สนโผทหาร” ล่าสุดคือเดือนสิงหาคม 2545 ผมอยากเห็นสังคมและสื่อเลิกสนใจ เลิกกระพือข่าว เลิกลือเรื่องโผทหารเสียที ใครจะเป็นอะไรก็ช่างปะไร ยกเว้นแต่เรื่องจะวิเคราะห์การบริหารผู้นำและบุคลากรเพื่อความก้าวหน้าของสถาบัน นั่นซิ ที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

บ่ายแก่วันหนึ่ง ผมมีวาสนาได้ร่วมโต๊ะอาหารกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี 4 คน นายพลเอกอัตราจอมพลถึง 5 คน และอดีตรัฐมนตรีอีกเป็นสิบ ล้วนแต่เป็นผู้มีชื่อเสียงตกอยู่ในข่าวลือประจำวันของสังคมไทยทั้งสิ้น

บุคคลเหล่านี้ เหมือนกันที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความรักชาติเป็นชีวิตจิตใจ จนเกิดข้อยุติว่า “เพื่อชาติกูขาด (หรือกลับกัน)ไม่ได้”

ผมมีโอกาสพูดก่อนว่า “ผมรักและปรารถนาดีต่อทุกคน ถ้าผมมีอำนาจ จะรักษารัฐธรรมนูญไว้ แต่ผมจะแก้บทเฉพาะกาล ไม่ให้อดีต ส.ส.ที่เคยสังกัดเกิน 2 พรรคลงสมัครเลือกตั้งคราวหน้า คนที่เคยเปลี่ยนแล้วเกิน 3 พรรคสมัครไม่เคยได้ก็ต้องห้ามเช่นกัน ใครที่คิดตั้งพรรคไว้คอยหัวหน้าก็ให้เลิกเสีย พรรคหัวหน้าตั้งไม่ยั่งยืนหรอก หรือใครคิดเอากองทัพมาค้ำบัลลังก์ หรือเอาการเมืองมาตั้งแม่ทัพ สร้างวงจรอุบาทว์และวัฏจักรน้ำเน่าให้บ้านเมืองอีก ก็ขอเสียเถิด อย่าทำเลย”

ทุกคนบนโต๊ะเงียบกริบ มองหน้ากันไปมา บัดดลนั้น เสียงโครมครามตุบตับก็เกิดขึ้น ไม่รู้เข่าหรือศอก มือหรือเท้าปลิวว่อน

ผมหล่นจากโต๊ะดังตึง โธ่ มันไม่น่าจะเป็นความฝันเลย ถ้าขอชีวิต ผมยินดีจะปลิดให้ แลกกับการเลิกลดละของท่าน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาธิปไตยอันมีมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นจริงเสียที เลิกเสียทีกงจักรกวนน้ำเน่า

ผมเห็นภาพทับซ้อน เป็นหน้าของบิ๊กสุ บิ๊กเต้ บิ๊กตุ๋ย บิ๊กบัง บิ๊กแอ้ด บิ๊กสุวิทย์ บิ๊กพินิจ บิ๊กสุวัจน์ บิ๊ก ฯลฯ วนเวียนลอยไปลอยมา

กงจักรเก่าๆ น้ำเน่าเดิมๆ นี่หรือจะปฏิรูปการเมืองไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น