ประชุมใหญ่พรรคประชาราช อดีต ส.ส.และส.ว.ร่วมคึกคัก ไร้เงา “พินิจ-ปรีชา-สุวิทย์” แกนนำกลุ่มแนวร่วมสมานฉันฑ์ฯ โดยที่ประชุมลงมติหนุน “เสนาะ” หัวหน้าพรรค ด้าน “มัชฌิมา” ส่ง “อนงค์วรรณ” นั่งเลขาฯ“กร” เผยเชื่อมือ “ป๋าเหนาะ” เลยเข้าร่วม ขณะที่ ปชป.ยินดีดึงร่วมเป็นพันธมิตรฯ ด้านกลุ่มแนวร่วมสมานฉันฑ์ฯ เผยเหตุไม่ร่วมประชาราชเพราะกลัวเป็นศัตรู “ทักษิณ” ส่วน “เฉลิม” ดอดพบ “แม้ว”ที่อังกฤษ ก่อนตัดสินใจซบพรรคพลังประชาชน “บรรหาร” นำทีมลุยอีสาน ชูนโยบายแก้หนี้สินเกษตรกร จัดที่ทำกินให้คนจน แก้ปัญหาน้ำ ประกันผลผลิตทางเกษตร และสวัสดิการเกษียณอายุเกษตรกร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (20 ก.ย.) ที่ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ 9 อิมแพค เมืองทองธานี พรรคประราชได้จัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ที่ปรึกษาพรรคประชาราช พร้อมด้วยกลุ่มมัชฌิมา ซึ่งนำโดย นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน นายโสภณ เพชรสว่าง ร.อ.รชฏ พิสิษฐ์บรรณกร เข้าร่วมประชุมด้วย
นอกจากนี้ยังมีอดีตส.ว.ปี 2543 อาทิ พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย อดีตส.ว.เชียงใหม่ นายการุณ ใสงาม อดีตส.ว.บุรีรัมย์ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีตส.ว.ยโสธร นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตส.ว.ฉะเชิงเทรา นพ.ประสิทธิ์ พิทูรกิจจา อดีตส.ว.นครสวรรค์ นายสมพงษ์ สระกวี อดีตส.ว.สงขลา นางนิพัทธา อมรรัตนเมธา อดีตส.ว.ปทุมธานี นายสามารถ รัตนประทีปพร อดีตส.ว.หนองบัวลำภู ร่วมงานด้วย
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่าไม่มีสมาชิกและแกนนำจากกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ ทางการเมืองของนายพินิจ จารุสมบัติ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และนายสุวิทย์ คุณกิตติ เข้าร่วมประชุมด้วย โดยพรรคประชาราชได้แจกเอกสารแผ่นพับพรรคประชาราช ภายใต้สโลแกน “ประเทศร่มเย็น ประชาเป็นสุข” และ “ประเทศไทย ไม่ได้มีไว้ขาย” ให้กับผู้ที่มาร่วมงานด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงแรกของการประชุมนั้นได้มีการหารือถึง การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค รวมทั้งการพิจารณาคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยนายเสนาะได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค มีผลให้กรรมการบริหารพรรคชุดเดิมสิ้นสภาพลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม นายกฤษฎา สัจกุล สมาชิกกลุ่มมัชฌิมาและสมาชิกพรรคประชาราชได้เสนอต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้ยังไม่มีหัวหน้าพรรคที่เหมาะสมจึงขอให้นายเสนาะทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรคต่อไป ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์
นายเสนาะได้กล่าวขอบคุณสมาชิกที่ยังให้การสนับสนุน และดำเนินการประชุมเพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคและคณะผู้บริหารพรรคชุดใหม่ ตามข้อกำหนดพรรค โดยเสนอตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค 10 คน ประกอบด้วย นายกร ทัพพะรังสี นายอร่ามอาชว์วัต โล่ห์วีระ นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ นายบุญถึง ผลพานิชย์ นายสุนทร วิลาวัลย์ จากพรรคประชาราช นายโสภณ เพชรสว่าง พ.ต.ท.บรรณยิน ตั้งภากรณ์ นายมานพ จรัสดำรงนิตย์ จากกลุ่มมัชฌิมา พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย อดีตส.ว.เชียงใหม่ และนายการุณ ใสงาม อดีตส.ว.บุรีรัมย์ ส่วนนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยานายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรค
สำหรับนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะผู้บริหารพรรคประชาราช
หลังจากนั้น นายเสนาะ นายประชัย นายกร และนางอนงค์วรรณ ร่วมกันแถลงข่าวถึงแนวทางการทำงานของพรรค โดยนายเสนาะเปิดใจว่า ผู้ที่ร่วมงานกันในวันนี้ ไม่มีกลุ่มก้อน ไม่มีสาย แต่มีสติสัมปชัญญะ แยกแยะถูกผิดได้ จึงมาอยู่ในฝ่ายที่ถูกต้อง
“ผมเชื่อมั่นในศักยภาพของบุคลากรที่มาทำงานร่วมกัน และเชื่อมั่นในต้นทุน ของตัวเองและคนที่เคยรับใช้ประชาชนมายาวนาน ขอยืนยัน และประกาศต่อหน้าทุกคนว่า เรามีสัญญาระหว่างกัน ที่ไม่จำเป็นต้องเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นสัญญาที่เป็นสำนึกที่จะต้องให้ไว้แก่แผ่นดิน โดยจะเดินหน้านโยบายเพื่อประชาชน และขอยืนยันว่าจะรักษาเกียรติภูมิเกียรติยศ และปณิธานของผมในการที่จะอยู่ร่วมกัน ด้วยความอบอุ่น จะยืนหยัดยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันในนามพรรคประชาราช”
สำหรับกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ทางการเมืองซึ่งไม่ได้มาร่วมงานนั้น นายเสนาะ กล่าวว่า คงต้องไปถามทางโน้น เพราะก่อนหน้านี้ตนได้ประกาศยกพรรคให้กลุ่ม เพื่อแผ่นดินไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ฯหรือว่ากลุ่มมัชฌิมา หรือพรรคประชาราช ต้องการให้คนในชาติสมานฉันท์เดินทางสายกลาง ซึ่งล้วนเป็นการทำงานเพื่อคนในชาติ ตนไม่อยากให้นำชื่อมาเป็นเงื่อนไข ขอให้มาอยู่ในส่วนของประชาราช คือความสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกัน
ส่วนที่กลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ฯไม่มาทั้งๆที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการทำงานในนามของกลุ่มเพื่อแผ่นดินถือเป็นการยุติบทบาทหรือไม่นั้น นายเสนาะ กล่าวว่า จะเป็นประชาราชหรือกลุ่มอะไรก็แล้วแต่ ก็ทำเพื่อแผ่นดิน ขอให้พี่น้องทบทวน เพราะชื่อนั้นไม่สำคัญ และชื่อประชาราช ก็เป็นมงคลอยู่แล้วที่สำคัญอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยขอให้มาร่วมกันทำงาน มาตอนนี้ก็ยังไม่สาย
ชี้“ประชัย”ร่วมพรรคไม่เกี่ยวพีทีไอ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากได้เป็นรัฐบาลจะเรียกร้องบริษัท ทีพีไอ กลับคืนมาหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า เชื่อว่านายประชัยไม่ติดใจเรื่องดังกล่าว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากพูดไปแล้วต้องมองภาพให้ชัดเจน ก่อนหน้านี้เคยพูดกับนายประชัยว่า หากเป็นของเราและสิ่งที่ได้มาบริสุทธิ์แต่วันหนึ่งมีโจรมาเอาไปและถูกโจรกลั่นแกล้ง ตรงนี้เชื่อว่าบ้านเมืองทีขื่อมีแปร มีกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเมื่อมาทำงานการเมืองตั้งพรรค และถ้าเป็นรัฐบาลจะใช้อำนาจรัฐเพื่อไปนำทีพีไอคืนมา ถ้าจะได้กลับคืนมาต้องเป็นไปด้วยความถูกต้องตามกฎหมาย
ด้าน นายประชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าหลังจากประกาศรวมกลุ่มไปแล้ว ตนใช้เวลาคิด เพราะหากเล่นการเมืองจะต้องเสียสละอย่างแรง ซึ่งการเป็นนักการเมืองยากกว่าเป็นนักธุรกิจ ต้องยอมสละในหลายด้าน อีกทั้งมีคนกล่าวว่ารัฐบาลหน้าจะเหนื่อย แต่คิดว่าเป็นการยอมเพื่อประเทศ และการกลับมาร่วมกันในครั้งนี้เพื่อที่จะฟอร์มรัฐบาลทำงานเพื่อบ้านเมือง และเชื่อว่าการนำเสนอนโยบาย หรือโครงการต่างๆไม่น่าติดขัดเรื่องเงินทุน
“กร”ระบุเชื่อมือ“เสนาะ”จึงเข้าร่วม
ขณะที่นางอนงค์วรรณ กล่าวว่า หลังการรัฐประหารเกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อประเทศทั้งเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งหากไม่มีการรวมตัวของกลุ่มการเมืองเพื่อแก้ปัญหา ประชาชนก็จะไม่มีที่พึ่ง จึงตัดสินใจที่จะร่วมกับพรรคประชาราช เพราะเห็นว่านายเสนาะเป็นคนตรง พูดแล้วไม่ต้องแปล เหมือนเบื้องบนส่งมาหาทางออกให้ และที่สำคัญคือ จุดยืนของพรรคยึดมั่นในความจงรักภักดีต่อสถาบัน รวมทั้งนโยบายต่างๆ ก็สามารถปรับร่วมกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกับใจของเรา
ส่วน นายกร กล่าวว่า ตนเฝ้าดูปัญหาการเมืองมาตลอดก่อนจะได้คุยกับนายเสนาะเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ถึงการร่วมกันทำงานเพื่อประเทศอีกครั้ง ช่วงเวลา 33 ปีของการเล่นการเมือง ตนอยู่มาแล้วทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน นอกจากนี้ต้องไปมอง ย้อนดูประวัติศาสตร์ว่านายเสนาะอยู่พรรคไหน คนพรรคนั้นเป็นนายกฯมาแล้ว 4 ครั้ง และบุคลคลที่เป็นแกนหลักต้องมีความเก่งและความสามารถคนละอย่าง การทำงาน ถึงจะสอดคล้องลุล่วงไปด้วยดี ฉะนั้นจุดนี้จึงไม่ยากที่ตนจะตัดสินใจกลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังการประชุมพรรคประชาราช องค์กรเครือข่ายนักศึกษา 49 สถาบัน นำโดย มหาวิทยาลัยรามคำแหงและประชาชนต่อต้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบจำนวน 50 คน ได้นำป้ายผ้าคัดค้าน การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมาที่บริเวณหน้างาน ซึ่งนายเสนาะพร้อม แกนนำพรรคกล่าวว่า ขอให้นักศึกษาเชื่อมั่นในพรรคประชาราช เพราะเรามีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าว หากเป็นรัฐบาลตนขอต่อต้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ รวมทั้งเรื่องนี้ยังอยู่ในนโยบายพรรคของเราด้วย
มอบ“เสธ.ยอด-อนงค์วรรณ”คุมเหนือ
พล.ต.อินทรัตน์ (เสธ.ยอด) ยอดบางเตย อดีต ส.ว.เชียงใหม่ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายให้ดูแลนโยบายและผู้สมัครส.ส.ในภาคเหนือร่วมกับนางอนงค์วรรณ ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับสมาชิกในกลุ่มมัชฌิมาในบางพื้นที่ที่ทับซ้อน เพราะยังมีอดีต ส.ส.และอดีตส.ว.แสดงความจำนง โดยเฉพาะจ.เชียงใหม่และเชียงรายที่การแบ่งเขตยังไม่ชัดเจน แต่คงไม่มีปัญหา เพราะหากไม่ได้ลงส.ส.ระบบเขตอาจจะให้ลงในระบบสัดส่วนแทน ขณะนี้ทางพรรคจะส่งผู้สมัครส.ส.ลงทุกเขตครบทั้ง400คน และยืนยันว่า เพื่อแผ่นดินไม่ได้แตกไปไหน เพราะพรรคประชาราชยังมีอุดมการณ์เพื่อแผ่นดินจะไม่มีการทำลายล้างแต่เป็นตัวเชื่อมทุกฝ่าย
ส่วนในพื้นที่ภาคเหนือจะต้องแข่งขันกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นฐานเสียง ของพรรคไทยรักไทยเดิมนั้น พล.ต.อินทรัตน์ กล่าวว่า ในทางการเมืองก็ต้องต่อสู้กัน ต้องนำนโยบาย ความตั้งใจมาแข่งขันกันอย่างยุติธรรมส่วนจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ประชาชน โดยพรรคจะชูนโยบายการแก้ไขปัญหาของเกษตร ราคาผลผลิตทางการเกษตร ลำไย และผลไม้อื่นๆ จึงขอให้ประชาชนไว้วางใจพรรคประชาราช เรามั่นใจในการแก้ปัญหาผลผลิตได้อย่างแน่นอน
ปชป.พร้อมร่วมงานพรรคประชาราช
นายการุณ ใสงาม อดีตสว.บุรีรัมย์ กล่าวว่า เหตุที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาราชเพราะได้ร่วมขับไล่ระบอบทักษิณร่วมกับสมาชิกพรรค เช่นนายเสนาะ นายประชัย และเชื่อมั่นในแกนนำที่จะแก้ปัญหาประเทศ รวมทั้งการมาอยู่พรรคนี้เพราะเห็นว่าจะได้ทำงานและมีบทบาทมากกว่าพรรคอื่น เนื่องจากพื้นที่ของตนในอีสานใต้ ทั้ง บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีษะเกษ เป็นฐานเสียงของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่มาอยู่กับพรรคประชาราช จึงเชื่อว่าน่าจะสู้กับคู่แข่งในพื้นที่ได้อย่างสูสี โดยเฉพาะกลุ่มของนายเนวิน และไม่รู้สึกห่วง เพราะเคยสู้กันมาเกือบ10 ครั้ง อย่างไรก็ตาม แม้มาอยู่พรรคนี้ก็ยังจะเดินหน้านโยบายสร้างความปรองดองในชาติซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องดำเนินการต่อไป ส่วนเหตุที่ตนไม่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์นั้น เพราะเคยอยู่มานานกว่า 20 ปีแล้ว
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในส่วนของอดีต 3 พรรคร่วมฝ่ายค้านก็พูดชัดเจนว่า สามารถทำงานได้กับทุกพรรคที่มีแนวทางแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติ ยกเว้นพรรคเดียวคือพรรคพลังประชาชน ส่วนจะไปเชิญพรรคประชาราชมาเป็นพันธมิตรกับอดีต 3 พรรคร่วมฝ่ายค้านหรือไม่ คงต้องดูแนวทางของพรรคประชาราชอีกครั้งหนึ่ง
กลุ่มสมานฉันธ์ฯผวาเป็นศัตรู‘แม้ว”
แหล่งข่าวจากแกนนำกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ทางการเมือง เปิดเผยถึงความชัดเจนทางการเมืองภายหลังตัดสินใจไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคประชาราชว่า ขณะนี้มี 2 แนวทางที่ผู้ใหญ่ได้หารือถึงอนาคตการเมืองคือ 1.อาจไปร่วมงานกับกลุ่มการเมืองใดกลุ่มหนึ่ง หรือ 2.ขอจดตั้งพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยอาจไปเทกโอเวอร์พรรคเล็กเพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองของเราเอง
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 แนวทางขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะอยู่ระหว่างการเดินสายเจรจาการเมืองกับผู้ใหญ่หลายคน ที่ผ่านมายอมรับว่า ผู้ใหญ่ในพรรคทั้ง นายพินิจ จารุสมบัติ และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ได้คุยกับทุกฝ่ายทั้งที่เป็นกลุ่มการเมืองและเป็นพรรคการเมือง เพื่อหารือถึงความชัดเจนทางการเมือง แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกทางใด รวมทั้งยังได้ประสานผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางคน โดยอยากให้เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ หลังจากประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันและตั้งกลุ่มเพื่อแผ่นดินแล้ว ยังยืนยันว่ายังอยู่ด้วยกัน ไม่ไปไหน และถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึงอดีต ส.ส.กว่า 40 คนที่ยังอยู่ในกลุ่มด้วย
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า สำหรับสาเหตุที่ไม่ไปร่วมงานกับพรรคประชาราชและกลุ่มมัชฌิมานั้น ที่ผ่านมาจากการหารือถึงแนวทางการทำงานเป็นการภายใน มีหลายเรื่องที่มีความเห็นไม่ตรงกัน โดยแนวทางของเรานั้นชัดเจนคือไม่ประกาศเป็นศัตรูกับใคร เพราะแม้จะมีการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่หลังจากการเลือกตั้งก็จะมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอยู่ดี ดังนั้นเราไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครทั้งก่อนหรือว่าหลังการเลือกตั้ง รวมถึงพรรคพลังประชาชนด้วย ขณะเดียวกันการส่งผู้สมัครส.ส.ที่ทับซ้อนก็เป็นปัญหาหนึ่งที่เราไม่ได้ไปร่วมกลุ่มด้วย
“เฉลิม”พบ“ทักษิณ”ก่อนซบพลังประชาชน
นายทรงศักดิ์ ทองศรี ประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสาน พรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับจากเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศอังกฤษ ว่า ไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องการเมืองเป็นพิเศษ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กำลังใจอดีต ส.ส.โดยขอให้อยู่กับประชาชน รวมตัวกันไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อต่อสู้ทางการเมืองต่อไป พร้อมกับแสดงความเป็นห่วงปัญหาภายในประเทศไทย ซึ่งการไปเยี่ยมครั้งนี้ในฐานะที่รู้จักคุ้นเคยกัน ถือเป็นเรื่อง ปกติ ไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องตามที่มีข่าวระบุว่าไปเดินทางไปรับเงิน 30 ล้านบาท
นายทรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ระหว่างการพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตหัวหน้าพรรคมวลชน ร่วมพูดคุยอยู่ด้วย ซึ่งร.ต.อ.เฉลิมสนใจแนวทาง ของพรรคพลังประชาชน และยังบอกว่าจะมาอยู่กับพรรคพลังประชาชน แต่ต้องรอดูความชัดเจนในวันที่ ร.ต.อ.เฉลิมสมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้ว ยืนยันว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมจะมาอยู่กับพรรคพลังประชาชนนั้นพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ชักชวน
นายทรงศักดิ์ กล่าวสำหรับความคืบหน้าในการวางตัวผู้สมัครส.ส.ภาคอีสานนั้น ในจังหวัดนครพนมถือว่านิ่งแล้ว ซึ่งในระหว่างนี้จะมีการทำโพลในบางพื้นที่ โดยดูจากตัวเลขการลงประชามติพบว่าร้อยละ 40 ยังเป็นเนื้อแท้ที่ยังนิยมพรรคอยู่ มั่นใจว่าจะได้เป็นรัฐบาลหากเล่นกันตามกติกา เบื้องต้นประเมินจำนวนที่นั่ง ส.ส.ภาคอีสานคาดว่าจะได้ ส.ส.เกิน100 ที่นั่งหรือเกือบ 135 ที่นั่ง และทั่วประเทศนั้นจะเกินครึ่ง คือ 250 เสียง
นายทรงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 25 ก.ย. พรรคพลังประชานจะลงพื้นที่ ปราศรัยใหญ่ในภาคอีสานที่ จ.บุรีรัมย์เป็นจุดแรก โดยนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค จะขึ้นเวทีปราศรัย และจะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.อีสานไปในครั้งเดียวกัน และการจัดปราศรัยครั้งนี้นั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกก็ไม่มีผลต่อการเลือกตั้ง อีกทั้งไม่เกี่ยวกับจ.บุรีรัมย์ เป็นพื้นที่สีเขียวในการลงประชามติจึงต้องรีบชิงปักธงก่อน
“เติ้ง”นำทีมลุยหาเสียงภาคอีสาน
วานนี้ (20 ก.ย.) นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรค เช่นนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย นายจองชัย เที่ยงธรรม นายอนุรักษ์ จุรีมาศ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ลงพื้นที่หาเสียงที่จ.ขอนแก่น โดยเข้าพบกับเครือข่าย สหกรณ์การเกษตร และประชาชน อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ในโอกาสนี้ นายบรรหารได้พบปะหารือกับครูสน รูปสูง สมัชชาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งขึ้นปราศรัยกับกลุ่มตัวแทนเกษตรกร 19 จังหวัดภาคอีสานกว่าสองพันคน ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกโปรยปรายตลอด
นายบรรหาร ปราศรัยว่าว่า การเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ตนขี่ม้าสีหมอก มาหาเสียงในพื้นที่ภาคอีสานหวังว่าจะได้ 40 ที่นั่ง จาก 20 จังหวัดแต่สุดท้าย เจอฝนตกหนัก ไม่มีร่ม ได้เพียง 6 คน แต่ครั้งนี้ไม่มีแล้วคิดว่าจะได้มากกว่าเดิม ซึ่งอยู่ที่ประชาชนทั้งหมด ดังนั้นถ้าเจอพรรคชาติไทยตรงไหนก็กากบาทไปเลย
นายบรรหาร กล่าวว่า การเป็นพรรคการเมืองต้องดูแลคนทั้งประเทศ ทุกภาค จะบอกว่านายกฯเป็นคนภาคไหน ถ้าภาคไหนมีส.ส.มาก หรือเป็นคนของพรรคท่าน แล้วจะนำงบประมาณมาให้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่นำมาให้ สิ่งนี้ไม่อยู่ในความคิดของหัวหน้าพรรคชาติไทย แต่พรรคจะถือว่าประชาชน 60 ล้านคนเป็นข้าของแผ่นดินทั้งหมด
อย่างไรก็ตามพรรคชาติไทยวิตกปัญหาความสามัคคีของคนในชาติ ไม่เคยมียุคใดสมัยใดจะมีความแตกต่างกันอย่างนี้ บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายก็เพราะคน ไม่ได้เกิดจากตัวหนังสือ แต่คนหยิบไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาคนให้มีศิลธรรม จริยธรรม คุณธรรม บ้านเมืองถึงจะเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ พรรคชาติไทยจะทำตรงนี้ ถ้าเป็นรัฐบาลเราจะดูแลลูกตั้งแต่ในท้อง ถึงมัธยมปีหนึ่งต้องใช้เงิน 3 หมื่นล้านบาทพรรคชาติไทยต้องพัฒนาคนก่อน ถ้าพัฒนาคนได้ไม่ต้องไปบอกว่ารัฐมนตรีคนนี้ทำไมไม่ออก ถ้ารัฐมนตรีมีเรื่องอื้อฉาวต้องลาออกไปเลย พรรคชาติไทยจะทำอย่างนี้
วาง 6 นโยบายหลักชาติไทย
นายบรรหาร กล่าวว่า นโยบาย 6 ข้อของพรรคชาติไทยที่จะเสนอคือ หนี้สินเกษตรกร จัดการน้ำเพื่อการเกษตร จัดการที่ดินทำกิน การประกันเสี่ยงภัยผลผลิตทางการเกษตร ปฎิรูปสหกรณ์ และสวัสดิการเกษียณอายุเกษตรกร และถ้านโยบายของรัฐบาลเดิมโครงการไหนดีก็จะทำต่อไป เช่นโครงการบัตรทอง 30 กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเราก็จะเพิ่มให้หมู่บ้านละล้านบาท
จากนั้นครูสน ได้ขึ้นปราศรัยกับประชาชนว่า เวทีแห่งนึ้ครั้งหนึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯก็เคยมาเหยียบและสัญญาว่าจะให้วัว ชาวบ้านก็เฮจนแผ่นดินจะแตก แต่พอเป็นรัฐบาลกลับบอกไม่มีงบประมาณ แต่ให้เอาน้ำเชื้อไปก่อน แต่น้ำเชื้อ หลอดละ 30 บาท นึกว่าจะได้ฟรียังต้องมาเสียตังค์อีก ที่เคยสัญญาให้เป็นตัวก็ได้แค่น้ำเชื้อ นายบรรหารมาตรงนี้และให้สัญญาไว้ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ทำจะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ
ขณะที่ บรรหาร ยืนยันถ้าตนไม่ทำก็แย่ ถ้าไม่ทำก็ต้องใส่หน้ากาก ถ้าคนอย่างตนไม่ใส่หน้ากาก เพราะตนชอบหน้าหล่อๆ คนตนนี้แหละ
"พระเปรมศักดิ์"เทศน์ผู้นำที่ดีต้องเสียสละ
ทั้งนี้ก่อนที่นายบรรหารจะขึ้นปราศรัยกลับกลุ่มตัวแทนเกษตร พระเปรมศักดิ์ เปมสกโก (เปรมศักดิ์ เพียยุระ) ได้บรรยายธรรมว่า วันนี้เราสุดโต่งเกินไป เพราะเรากำลังตกอยู่กับระบบทุนนิยม ตกเป็นทาสวัตถุนิยมในที่สุดกงกรรมกงเกวียนของวัตถุนิยมทำให้บ้านเมืองทรุด เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะต้องตอกเสาเข็มขึ้นมาให้แข็งแรง คือเสาเข็มที่มีศีลธรรมและคุณธรรม วันนี้เราต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งปัญหาของทุนนิยมสุดโต่งเกินไปก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ให้ประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายในกทม.และใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เฉพาะนั้นเราต้องตอกเสาเข็มให้มั่นคง พร้อมทั้งดำเนินตามพระราชดำริของในหลวงในเรื่องความพอเพียง นอกจากนี้เราต้องเดินทางสายกลางตามคำสอนพระพุทธศาสนาในเรื่องมัชฌิมาปะติปะทา
“เราต้องมีคุณธรรมและศีลธรรมเป็นเสาเข็มที่ดี โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือ ของต่างชาติและวัตถุนิยม ที่ผ่านมาสังคมมีแต่ความแตกแยกทำให้ประชาชนแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ดังนั้นผู้นำต้องให้เกียรติประชาชน เราต้องการผู้นำที่เสียสละถ้าบ้านเมืองเราไม่มีผู้นำที่เสียสละแล้วประชาชนจะเสียสละได้อย่างไร จึงทำให้สังคมมีแต่คนเห็นแก่ตัว อย่างคนที่รวยที่สุดในโลกอย่างบิลเกต มีทรัพย์สินมากมายแต่ก็ไม่ได้เก็บไว้ แต่กลับบริจาคเงินให้การกุศลถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ก็เก็บไว้ให้ลูก แล้วอดีตนายกฯของไทยที่เป็นเศรษฐี เคยทำแบบนี้หรือไม่ หรืออย่างนายกฯญี่ปุ่นถ้าเขาหมดอำนาจแล้วและเห็นว่าตัวเองไม่เหมาะสมเขาก็ลาออกจากตำแหน่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ แล้วผู้นำไทยมีหรือไม่ที่เป็นแบบนี้ ที่คนที่มีเงินและอำนาจจะเสียสละเก้าอี้ มีแต่ผู้นำเห็นแก่ตัว ตอนนี้บ้านเมืองอยู่ในวิกฤตการณ์ที่สำคัญ
"ดังนั้นเราต้องกอบกู้ให้บ้านเมืองเราคืนมาเหมือนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้อาศัยการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมและความสามัคคี จึงทำให้กอบกู้เอกราชกลับมาได้ ดังนั้นตอนนี้เราต้องมีจิตใจที่เสียสละและความสามัคคีจึงทำให้บ้านเมืองเดินไปได้"พระเปรมศักดิ์เทศน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (20 ก.ย.) ที่ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ 9 อิมแพค เมืองทองธานี พรรคประราชได้จัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ที่ปรึกษาพรรคประชาราช พร้อมด้วยกลุ่มมัชฌิมา ซึ่งนำโดย นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน นายโสภณ เพชรสว่าง ร.อ.รชฏ พิสิษฐ์บรรณกร เข้าร่วมประชุมด้วย
นอกจากนี้ยังมีอดีตส.ว.ปี 2543 อาทิ พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย อดีตส.ว.เชียงใหม่ นายการุณ ใสงาม อดีตส.ว.บุรีรัมย์ นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีตส.ว.ยโสธร นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตส.ว.ฉะเชิงเทรา นพ.ประสิทธิ์ พิทูรกิจจา อดีตส.ว.นครสวรรค์ นายสมพงษ์ สระกวี อดีตส.ว.สงขลา นางนิพัทธา อมรรัตนเมธา อดีตส.ว.ปทุมธานี นายสามารถ รัตนประทีปพร อดีตส.ว.หนองบัวลำภู ร่วมงานด้วย
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตุว่าไม่มีสมาชิกและแกนนำจากกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ ทางการเมืองของนายพินิจ จารุสมบัติ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และนายสุวิทย์ คุณกิตติ เข้าร่วมประชุมด้วย โดยพรรคประชาราชได้แจกเอกสารแผ่นพับพรรคประชาราช ภายใต้สโลแกน “ประเทศร่มเย็น ประชาเป็นสุข” และ “ประเทศไทย ไม่ได้มีไว้ขาย” ให้กับผู้ที่มาร่วมงานด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงแรกของการประชุมนั้นได้มีการหารือถึง การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรค รวมทั้งการพิจารณาคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยนายเสนาะได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค มีผลให้กรรมการบริหารพรรคชุดเดิมสิ้นสภาพลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม นายกฤษฎา สัจกุล สมาชิกกลุ่มมัชฌิมาและสมาชิกพรรคประชาราชได้เสนอต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้ยังไม่มีหัวหน้าพรรคที่เหมาะสมจึงขอให้นายเสนาะทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรคต่อไป ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์
นายเสนาะได้กล่าวขอบคุณสมาชิกที่ยังให้การสนับสนุน และดำเนินการประชุมเพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคและคณะผู้บริหารพรรคชุดใหม่ ตามข้อกำหนดพรรค โดยเสนอตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค 10 คน ประกอบด้วย นายกร ทัพพะรังสี นายอร่ามอาชว์วัต โล่ห์วีระ นายประมวล เลี่ยวไพรัตน์ นายบุญถึง ผลพานิชย์ นายสุนทร วิลาวัลย์ จากพรรคประชาราช นายโสภณ เพชรสว่าง พ.ต.ท.บรรณยิน ตั้งภากรณ์ นายมานพ จรัสดำรงนิตย์ จากกลุ่มมัชฌิมา พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย อดีตส.ว.เชียงใหม่ และนายการุณ ใสงาม อดีตส.ว.บุรีรัมย์ ส่วนนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยานายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมา ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรค
สำหรับนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะผู้บริหารพรรคประชาราช
หลังจากนั้น นายเสนาะ นายประชัย นายกร และนางอนงค์วรรณ ร่วมกันแถลงข่าวถึงแนวทางการทำงานของพรรค โดยนายเสนาะเปิดใจว่า ผู้ที่ร่วมงานกันในวันนี้ ไม่มีกลุ่มก้อน ไม่มีสาย แต่มีสติสัมปชัญญะ แยกแยะถูกผิดได้ จึงมาอยู่ในฝ่ายที่ถูกต้อง
“ผมเชื่อมั่นในศักยภาพของบุคลากรที่มาทำงานร่วมกัน และเชื่อมั่นในต้นทุน ของตัวเองและคนที่เคยรับใช้ประชาชนมายาวนาน ขอยืนยัน และประกาศต่อหน้าทุกคนว่า เรามีสัญญาระหว่างกัน ที่ไม่จำเป็นต้องเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นสัญญาที่เป็นสำนึกที่จะต้องให้ไว้แก่แผ่นดิน โดยจะเดินหน้านโยบายเพื่อประชาชน และขอยืนยันว่าจะรักษาเกียรติภูมิเกียรติยศ และปณิธานของผมในการที่จะอยู่ร่วมกัน ด้วยความอบอุ่น จะยืนหยัดยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันในนามพรรคประชาราช”
สำหรับกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ทางการเมืองซึ่งไม่ได้มาร่วมงานนั้น นายเสนาะ กล่าวว่า คงต้องไปถามทางโน้น เพราะก่อนหน้านี้ตนได้ประกาศยกพรรคให้กลุ่ม เพื่อแผ่นดินไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ฯหรือว่ากลุ่มมัชฌิมา หรือพรรคประชาราช ต้องการให้คนในชาติสมานฉันท์เดินทางสายกลาง ซึ่งล้วนเป็นการทำงานเพื่อคนในชาติ ตนไม่อยากให้นำชื่อมาเป็นเงื่อนไข ขอให้มาอยู่ในส่วนของประชาราช คือความสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกัน
ส่วนที่กลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ฯไม่มาทั้งๆที่ได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการทำงานในนามของกลุ่มเพื่อแผ่นดินถือเป็นการยุติบทบาทหรือไม่นั้น นายเสนาะ กล่าวว่า จะเป็นประชาราชหรือกลุ่มอะไรก็แล้วแต่ ก็ทำเพื่อแผ่นดิน ขอให้พี่น้องทบทวน เพราะชื่อนั้นไม่สำคัญ และชื่อประชาราช ก็เป็นมงคลอยู่แล้วที่สำคัญอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยขอให้มาร่วมกันทำงาน มาตอนนี้ก็ยังไม่สาย
ชี้“ประชัย”ร่วมพรรคไม่เกี่ยวพีทีไอ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากได้เป็นรัฐบาลจะเรียกร้องบริษัท ทีพีไอ กลับคืนมาหรือไม่ นายเสนาะ กล่าวว่า เชื่อว่านายประชัยไม่ติดใจเรื่องดังกล่าว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากพูดไปแล้วต้องมองภาพให้ชัดเจน ก่อนหน้านี้เคยพูดกับนายประชัยว่า หากเป็นของเราและสิ่งที่ได้มาบริสุทธิ์แต่วันหนึ่งมีโจรมาเอาไปและถูกโจรกลั่นแกล้ง ตรงนี้เชื่อว่าบ้านเมืองทีขื่อมีแปร มีกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเมื่อมาทำงานการเมืองตั้งพรรค และถ้าเป็นรัฐบาลจะใช้อำนาจรัฐเพื่อไปนำทีพีไอคืนมา ถ้าจะได้กลับคืนมาต้องเป็นไปด้วยความถูกต้องตามกฎหมาย
ด้าน นายประชัย กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าหลังจากประกาศรวมกลุ่มไปแล้ว ตนใช้เวลาคิด เพราะหากเล่นการเมืองจะต้องเสียสละอย่างแรง ซึ่งการเป็นนักการเมืองยากกว่าเป็นนักธุรกิจ ต้องยอมสละในหลายด้าน อีกทั้งมีคนกล่าวว่ารัฐบาลหน้าจะเหนื่อย แต่คิดว่าเป็นการยอมเพื่อประเทศ และการกลับมาร่วมกันในครั้งนี้เพื่อที่จะฟอร์มรัฐบาลทำงานเพื่อบ้านเมือง และเชื่อว่าการนำเสนอนโยบาย หรือโครงการต่างๆไม่น่าติดขัดเรื่องเงินทุน
“กร”ระบุเชื่อมือ“เสนาะ”จึงเข้าร่วม
ขณะที่นางอนงค์วรรณ กล่าวว่า หลังการรัฐประหารเกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อประเทศทั้งเรื่องเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งหากไม่มีการรวมตัวของกลุ่มการเมืองเพื่อแก้ปัญหา ประชาชนก็จะไม่มีที่พึ่ง จึงตัดสินใจที่จะร่วมกับพรรคประชาราช เพราะเห็นว่านายเสนาะเป็นคนตรง พูดแล้วไม่ต้องแปล เหมือนเบื้องบนส่งมาหาทางออกให้ และที่สำคัญคือ จุดยืนของพรรคยึดมั่นในความจงรักภักดีต่อสถาบัน รวมทั้งนโยบายต่างๆ ก็สามารถปรับร่วมกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกับใจของเรา
ส่วน นายกร กล่าวว่า ตนเฝ้าดูปัญหาการเมืองมาตลอดก่อนจะได้คุยกับนายเสนาะเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ถึงการร่วมกันทำงานเพื่อประเทศอีกครั้ง ช่วงเวลา 33 ปีของการเล่นการเมือง ตนอยู่มาแล้วทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน นอกจากนี้ต้องไปมอง ย้อนดูประวัติศาสตร์ว่านายเสนาะอยู่พรรคไหน คนพรรคนั้นเป็นนายกฯมาแล้ว 4 ครั้ง และบุคลคลที่เป็นแกนหลักต้องมีความเก่งและความสามารถคนละอย่าง การทำงาน ถึงจะสอดคล้องลุล่วงไปด้วยดี ฉะนั้นจุดนี้จึงไม่ยากที่ตนจะตัดสินใจกลับเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังการประชุมพรรคประชาราช องค์กรเครือข่ายนักศึกษา 49 สถาบัน นำโดย มหาวิทยาลัยรามคำแหงและประชาชนต่อต้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบจำนวน 50 คน ได้นำป้ายผ้าคัดค้าน การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมาที่บริเวณหน้างาน ซึ่งนายเสนาะพร้อม แกนนำพรรคกล่าวว่า ขอให้นักศึกษาเชื่อมั่นในพรรคประชาราช เพราะเรามีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าว หากเป็นรัฐบาลตนขอต่อต้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ รวมทั้งเรื่องนี้ยังอยู่ในนโยบายพรรคของเราด้วย
มอบ“เสธ.ยอด-อนงค์วรรณ”คุมเหนือ
พล.ต.อินทรัตน์ (เสธ.ยอด) ยอดบางเตย อดีต ส.ว.เชียงใหม่ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายให้ดูแลนโยบายและผู้สมัครส.ส.ในภาคเหนือร่วมกับนางอนงค์วรรณ ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับสมาชิกในกลุ่มมัชฌิมาในบางพื้นที่ที่ทับซ้อน เพราะยังมีอดีต ส.ส.และอดีตส.ว.แสดงความจำนง โดยเฉพาะจ.เชียงใหม่และเชียงรายที่การแบ่งเขตยังไม่ชัดเจน แต่คงไม่มีปัญหา เพราะหากไม่ได้ลงส.ส.ระบบเขตอาจจะให้ลงในระบบสัดส่วนแทน ขณะนี้ทางพรรคจะส่งผู้สมัครส.ส.ลงทุกเขตครบทั้ง400คน และยืนยันว่า เพื่อแผ่นดินไม่ได้แตกไปไหน เพราะพรรคประชาราชยังมีอุดมการณ์เพื่อแผ่นดินจะไม่มีการทำลายล้างแต่เป็นตัวเชื่อมทุกฝ่าย
ส่วนในพื้นที่ภาคเหนือจะต้องแข่งขันกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นฐานเสียง ของพรรคไทยรักไทยเดิมนั้น พล.ต.อินทรัตน์ กล่าวว่า ในทางการเมืองก็ต้องต่อสู้กัน ต้องนำนโยบาย ความตั้งใจมาแข่งขันกันอย่างยุติธรรมส่วนจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่ประชาชน โดยพรรคจะชูนโยบายการแก้ไขปัญหาของเกษตร ราคาผลผลิตทางการเกษตร ลำไย และผลไม้อื่นๆ จึงขอให้ประชาชนไว้วางใจพรรคประชาราช เรามั่นใจในการแก้ปัญหาผลผลิตได้อย่างแน่นอน
ปชป.พร้อมร่วมงานพรรคประชาราช
นายการุณ ใสงาม อดีตสว.บุรีรัมย์ กล่าวว่า เหตุที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาราชเพราะได้ร่วมขับไล่ระบอบทักษิณร่วมกับสมาชิกพรรค เช่นนายเสนาะ นายประชัย และเชื่อมั่นในแกนนำที่จะแก้ปัญหาประเทศ รวมทั้งการมาอยู่พรรคนี้เพราะเห็นว่าจะได้ทำงานและมีบทบาทมากกว่าพรรคอื่น เนื่องจากพื้นที่ของตนในอีสานใต้ ทั้ง บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีษะเกษ เป็นฐานเสียงของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่มาอยู่กับพรรคประชาราช จึงเชื่อว่าน่าจะสู้กับคู่แข่งในพื้นที่ได้อย่างสูสี โดยเฉพาะกลุ่มของนายเนวิน และไม่รู้สึกห่วง เพราะเคยสู้กันมาเกือบ10 ครั้ง อย่างไรก็ตาม แม้มาอยู่พรรคนี้ก็ยังจะเดินหน้านโยบายสร้างความปรองดองในชาติซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องดำเนินการต่อไป ส่วนเหตุที่ตนไม่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์นั้น เพราะเคยอยู่มานานกว่า 20 ปีแล้ว
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในส่วนของอดีต 3 พรรคร่วมฝ่ายค้านก็พูดชัดเจนว่า สามารถทำงานได้กับทุกพรรคที่มีแนวทางแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติ ยกเว้นพรรคเดียวคือพรรคพลังประชาชน ส่วนจะไปเชิญพรรคประชาราชมาเป็นพันธมิตรกับอดีต 3 พรรคร่วมฝ่ายค้านหรือไม่ คงต้องดูแนวทางของพรรคประชาราชอีกครั้งหนึ่ง
กลุ่มสมานฉันธ์ฯผวาเป็นศัตรู‘แม้ว”
แหล่งข่าวจากแกนนำกลุ่มแนวร่วมสมานฉันท์ทางการเมือง เปิดเผยถึงความชัดเจนทางการเมืองภายหลังตัดสินใจไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคประชาราชว่า ขณะนี้มี 2 แนวทางที่ผู้ใหญ่ได้หารือถึงอนาคตการเมืองคือ 1.อาจไปร่วมงานกับกลุ่มการเมืองใดกลุ่มหนึ่ง หรือ 2.ขอจดตั้งพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยอาจไปเทกโอเวอร์พรรคเล็กเพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองของเราเอง
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 แนวทางขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะอยู่ระหว่างการเดินสายเจรจาการเมืองกับผู้ใหญ่หลายคน ที่ผ่านมายอมรับว่า ผู้ใหญ่ในพรรคทั้ง นายพินิจ จารุสมบัติ และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ได้คุยกับทุกฝ่ายทั้งที่เป็นกลุ่มการเมืองและเป็นพรรคการเมือง เพื่อหารือถึงความชัดเจนทางการเมือง แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกทางใด รวมทั้งยังได้ประสานผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางคน โดยอยากให้เข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ หลังจากประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันและตั้งกลุ่มเพื่อแผ่นดินแล้ว ยังยืนยันว่ายังอยู่ด้วยกัน ไม่ไปไหน และถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึงอดีต ส.ส.กว่า 40 คนที่ยังอยู่ในกลุ่มด้วย
แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า สำหรับสาเหตุที่ไม่ไปร่วมงานกับพรรคประชาราชและกลุ่มมัชฌิมานั้น ที่ผ่านมาจากการหารือถึงแนวทางการทำงานเป็นการภายใน มีหลายเรื่องที่มีความเห็นไม่ตรงกัน โดยแนวทางของเรานั้นชัดเจนคือไม่ประกาศเป็นศัตรูกับใคร เพราะแม้จะมีการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่หลังจากการเลือกตั้งก็จะมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอยู่ดี ดังนั้นเราไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครทั้งก่อนหรือว่าหลังการเลือกตั้ง รวมถึงพรรคพลังประชาชนด้วย ขณะเดียวกันการส่งผู้สมัครส.ส.ที่ทับซ้อนก็เป็นปัญหาหนึ่งที่เราไม่ได้ไปร่วมกลุ่มด้วย
“เฉลิม”พบ“ทักษิณ”ก่อนซบพลังประชาชน
นายทรงศักดิ์ ทองศรี ประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสาน พรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์หลังเดินทางกลับจากเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศอังกฤษ ว่า ไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องการเมืองเป็นพิเศษ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กำลังใจอดีต ส.ส.โดยขอให้อยู่กับประชาชน รวมตัวกันไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อต่อสู้ทางการเมืองต่อไป พร้อมกับแสดงความเป็นห่วงปัญหาภายในประเทศไทย ซึ่งการไปเยี่ยมครั้งนี้ในฐานะที่รู้จักคุ้นเคยกัน ถือเป็นเรื่อง ปกติ ไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องตามที่มีข่าวระบุว่าไปเดินทางไปรับเงิน 30 ล้านบาท
นายทรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ระหว่างการพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณนั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตหัวหน้าพรรคมวลชน ร่วมพูดคุยอยู่ด้วย ซึ่งร.ต.อ.เฉลิมสนใจแนวทาง ของพรรคพลังประชาชน และยังบอกว่าจะมาอยู่กับพรรคพลังประชาชน แต่ต้องรอดูความชัดเจนในวันที่ ร.ต.อ.เฉลิมสมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้ว ยืนยันว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิมจะมาอยู่กับพรรคพลังประชาชนนั้นพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ชักชวน
นายทรงศักดิ์ กล่าวสำหรับความคืบหน้าในการวางตัวผู้สมัครส.ส.ภาคอีสานนั้น ในจังหวัดนครพนมถือว่านิ่งแล้ว ซึ่งในระหว่างนี้จะมีการทำโพลในบางพื้นที่ โดยดูจากตัวเลขการลงประชามติพบว่าร้อยละ 40 ยังเป็นเนื้อแท้ที่ยังนิยมพรรคอยู่ มั่นใจว่าจะได้เป็นรัฐบาลหากเล่นกันตามกติกา เบื้องต้นประเมินจำนวนที่นั่ง ส.ส.ภาคอีสานคาดว่าจะได้ ส.ส.เกิน100 ที่นั่งหรือเกือบ 135 ที่นั่ง และทั่วประเทศนั้นจะเกินครึ่ง คือ 250 เสียง
นายทรงศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 25 ก.ย. พรรคพลังประชานจะลงพื้นที่ ปราศรัยใหญ่ในภาคอีสานที่ จ.บุรีรัมย์เป็นจุดแรก โดยนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค จะขึ้นเวทีปราศรัย และจะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.อีสานไปในครั้งเดียวกัน และการจัดปราศรัยครั้งนี้นั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกก็ไม่มีผลต่อการเลือกตั้ง อีกทั้งไม่เกี่ยวกับจ.บุรีรัมย์ เป็นพื้นที่สีเขียวในการลงประชามติจึงต้องรีบชิงปักธงก่อน
“เติ้ง”นำทีมลุยหาเสียงภาคอีสาน
วานนี้ (20 ก.ย.) นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรค เช่นนายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทย นายจองชัย เที่ยงธรรม นายอนุรักษ์ จุรีมาศ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ลงพื้นที่หาเสียงที่จ.ขอนแก่น โดยเข้าพบกับเครือข่าย สหกรณ์การเกษตร และประชาชน อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ในโอกาสนี้ นายบรรหารได้พบปะหารือกับครูสน รูปสูง สมัชชาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งขึ้นปราศรัยกับกลุ่มตัวแทนเกษตรกร 19 จังหวัดภาคอีสานกว่าสองพันคน ท่ามกลางบรรยากาศฝนตกโปรยปรายตลอด
นายบรรหาร ปราศรัยว่าว่า การเลือกตั้งเมื่อปี 2548 ตนขี่ม้าสีหมอก มาหาเสียงในพื้นที่ภาคอีสานหวังว่าจะได้ 40 ที่นั่ง จาก 20 จังหวัดแต่สุดท้าย เจอฝนตกหนัก ไม่มีร่ม ได้เพียง 6 คน แต่ครั้งนี้ไม่มีแล้วคิดว่าจะได้มากกว่าเดิม ซึ่งอยู่ที่ประชาชนทั้งหมด ดังนั้นถ้าเจอพรรคชาติไทยตรงไหนก็กากบาทไปเลย
นายบรรหาร กล่าวว่า การเป็นพรรคการเมืองต้องดูแลคนทั้งประเทศ ทุกภาค จะบอกว่านายกฯเป็นคนภาคไหน ถ้าภาคไหนมีส.ส.มาก หรือเป็นคนของพรรคท่าน แล้วจะนำงบประมาณมาให้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่นำมาให้ สิ่งนี้ไม่อยู่ในความคิดของหัวหน้าพรรคชาติไทย แต่พรรคจะถือว่าประชาชน 60 ล้านคนเป็นข้าของแผ่นดินทั้งหมด
อย่างไรก็ตามพรรคชาติไทยวิตกปัญหาความสามัคคีของคนในชาติ ไม่เคยมียุคใดสมัยใดจะมีความแตกต่างกันอย่างนี้ บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายก็เพราะคน ไม่ได้เกิดจากตัวหนังสือ แต่คนหยิบไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาคนให้มีศิลธรรม จริยธรรม คุณธรรม บ้านเมืองถึงจะเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ พรรคชาติไทยจะทำตรงนี้ ถ้าเป็นรัฐบาลเราจะดูแลลูกตั้งแต่ในท้อง ถึงมัธยมปีหนึ่งต้องใช้เงิน 3 หมื่นล้านบาทพรรคชาติไทยต้องพัฒนาคนก่อน ถ้าพัฒนาคนได้ไม่ต้องไปบอกว่ารัฐมนตรีคนนี้ทำไมไม่ออก ถ้ารัฐมนตรีมีเรื่องอื้อฉาวต้องลาออกไปเลย พรรคชาติไทยจะทำอย่างนี้
วาง 6 นโยบายหลักชาติไทย
นายบรรหาร กล่าวว่า นโยบาย 6 ข้อของพรรคชาติไทยที่จะเสนอคือ หนี้สินเกษตรกร จัดการน้ำเพื่อการเกษตร จัดการที่ดินทำกิน การประกันเสี่ยงภัยผลผลิตทางการเกษตร ปฎิรูปสหกรณ์ และสวัสดิการเกษียณอายุเกษตรกร และถ้านโยบายของรัฐบาลเดิมโครงการไหนดีก็จะทำต่อไป เช่นโครงการบัตรทอง 30 กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเราก็จะเพิ่มให้หมู่บ้านละล้านบาท
จากนั้นครูสน ได้ขึ้นปราศรัยกับประชาชนว่า เวทีแห่งนึ้ครั้งหนึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯก็เคยมาเหยียบและสัญญาว่าจะให้วัว ชาวบ้านก็เฮจนแผ่นดินจะแตก แต่พอเป็นรัฐบาลกลับบอกไม่มีงบประมาณ แต่ให้เอาน้ำเชื้อไปก่อน แต่น้ำเชื้อ หลอดละ 30 บาท นึกว่าจะได้ฟรียังต้องมาเสียตังค์อีก ที่เคยสัญญาให้เป็นตัวก็ได้แค่น้ำเชื้อ นายบรรหารมาตรงนี้และให้สัญญาไว้ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ทำจะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ
ขณะที่ บรรหาร ยืนยันถ้าตนไม่ทำก็แย่ ถ้าไม่ทำก็ต้องใส่หน้ากาก ถ้าคนอย่างตนไม่ใส่หน้ากาก เพราะตนชอบหน้าหล่อๆ คนตนนี้แหละ
"พระเปรมศักดิ์"เทศน์ผู้นำที่ดีต้องเสียสละ
ทั้งนี้ก่อนที่นายบรรหารจะขึ้นปราศรัยกลับกลุ่มตัวแทนเกษตร พระเปรมศักดิ์ เปมสกโก (เปรมศักดิ์ เพียยุระ) ได้บรรยายธรรมว่า วันนี้เราสุดโต่งเกินไป เพราะเรากำลังตกอยู่กับระบบทุนนิยม ตกเป็นทาสวัตถุนิยมในที่สุดกงกรรมกงเกวียนของวัตถุนิยมทำให้บ้านเมืองทรุด เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะต้องตอกเสาเข็มขึ้นมาให้แข็งแรง คือเสาเข็มที่มีศีลธรรมและคุณธรรม วันนี้เราต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ซึ่งปัญหาของทุนนิยมสุดโต่งเกินไปก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ให้ประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายในกทม.และใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เฉพาะนั้นเราต้องตอกเสาเข็มให้มั่นคง พร้อมทั้งดำเนินตามพระราชดำริของในหลวงในเรื่องความพอเพียง นอกจากนี้เราต้องเดินทางสายกลางตามคำสอนพระพุทธศาสนาในเรื่องมัชฌิมาปะติปะทา
“เราต้องมีคุณธรรมและศีลธรรมเป็นเสาเข็มที่ดี โดยไม่ตกเป็นเครื่องมือ ของต่างชาติและวัตถุนิยม ที่ผ่านมาสังคมมีแต่ความแตกแยกทำให้ประชาชนแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ดังนั้นผู้นำต้องให้เกียรติประชาชน เราต้องการผู้นำที่เสียสละถ้าบ้านเมืองเราไม่มีผู้นำที่เสียสละแล้วประชาชนจะเสียสละได้อย่างไร จึงทำให้สังคมมีแต่คนเห็นแก่ตัว อย่างคนที่รวยที่สุดในโลกอย่างบิลเกต มีทรัพย์สินมากมายแต่ก็ไม่ได้เก็บไว้ แต่กลับบริจาคเงินให้การกุศลถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 20 เปอร์เซ็นต์ก็เก็บไว้ให้ลูก แล้วอดีตนายกฯของไทยที่เป็นเศรษฐี เคยทำแบบนี้หรือไม่ หรืออย่างนายกฯญี่ปุ่นถ้าเขาหมดอำนาจแล้วและเห็นว่าตัวเองไม่เหมาะสมเขาก็ลาออกจากตำแหน่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ แล้วผู้นำไทยมีหรือไม่ที่เป็นแบบนี้ ที่คนที่มีเงินและอำนาจจะเสียสละเก้าอี้ มีแต่ผู้นำเห็นแก่ตัว ตอนนี้บ้านเมืองอยู่ในวิกฤตการณ์ที่สำคัญ
"ดังนั้นเราต้องกอบกู้ให้บ้านเมืองเราคืนมาเหมือนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้อาศัยการเป็นผู้นำที่มีคุณธรรมและความสามัคคี จึงทำให้กอบกู้เอกราชกลับมาได้ ดังนั้นตอนนี้เราต้องมีจิตใจที่เสียสละและความสามัคคีจึงทำให้บ้านเมืองเดินไปได้"พระเปรมศักดิ์เทศน์


