xs
xsm
sm
md
lg

‘สุรยุทธ์’เปิดทาง 3 รมต.ไขก๊อกหลัง ป.ป.ช.ระบุถือหุ้น 5% ได้แต่ไม่เหมาะสม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ส่อเค้าปรับ ครม.หลัง ป.ป.ช.ตรวจพบ “สิทธิชัย-อารีย์-อรนุช” ถือหุ้นเกินร้อยละ 5 โดยไม่โอนให้นิติบุคคลจัดการแทน ระบุแม้ไม่ผิดกม. ตามบทเฉพาะกาลของ รธน.ใหม่ แต่ถือว่าไม่เหมาะสม เตรียมชงให้ นายกฯพิจารณา ขณะที่ “สุรยุทธ์” โยนให้ 3 รมต.ตัดสินใจเอง ถ้าไม่สบายใจก็ลาออกได้ หลังกลับจากการประชุมยูเอ็นที่ต่างประเทศ

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วานนี้ (20 ก.ย.) นายกล้าณรงค์ จันทิก กรรรมการ ป.ป.ช. แถลงผลการประชุม ป.ป.ช. เกี่ยวกับการถือครองหุ้นของ ครม.ชุดปัจจุบัน ซึ่งได้ยื่น แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน พร้อมเอกสารประกอบต่อป.ป.ช.ซึ่งได้มีการประกาศเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบแล้วนั้น คณะกรรมการป.ป.ช. ได้ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง ของทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าวแล้วปรากฏว่ามีรัฐมนตรีใน ครม.ชุดนี้ได้ถือครองหุ้น ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 ดังนี้

1.นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ถือครองหุ้นในบริษัทต่างๆ ดังนี้ 1 บริษัท วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนานาชาติ จำกัด 59,170 หุ้น (จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 366,000 หุ้น) คิดเป็นร้อยละ 16.17 2.บริษัท อุตสาหกรรมอวกาศไทย จำกัด ถือครอง 49,037 หุ้น (จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 156,500 หุ้น) คิดเป็นร้อยละ 31.33 1.3 บริษัท วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี จำกัด ถือครอง 3,136 หุ้น (จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 10,000 หุ้น)คิดเป็นร้อยละ 31.36

2.นางอรนุช โอสถานนท์ รมช.พาณิชย์ ถือครองหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดและบริษัทต่างๆดังนี้ 1.ห้างหุ้นส่วนจำกัด บ้านดอกพุด ถือครอง 2,000,000 หุ้น (จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 3,000,000 หุ้น) คิดเป็นร้อยละ 66.67 2.บริษัท บุณยพรหม 2548 จำกัด ถือครอง 500,หุ้น (จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 1,000,000 หุ้น)คิดเป็นร้อยละ 50.00 และ 3. บริษัท อุดมแร่มรวย จำกัด ถือครอง 100,000 หุ้น (จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 200,000 หุ้น) คิดเป็นร้อยละ50.00

3.นายอารีย์ ถือครองหุ้นในบริษัท ตรังชัวร์ จำกัด 2,000,000 หุ้น (จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 10,000,000 หุ้น) คิดเป็นร้อยละ 20

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า นายสิทธิชัย นางอรนุช และนายอารีย์ มิได้แจ้งต่อประธานกรรมการป.ป.ช.ว่าประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทในส่วนที่เกินกว่าจำนวนที่กำหนดในห้างหุ้นส่วนและบริษัทต่างๆ ดังกล่าว ที่เกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ รวมทั้งมิได้โอนหุ้นส่วน หรือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้แก่นิติบุคคลที่มีอำนาจจัดการกองทุนส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหักทรัพย์ หรือนิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นตามที่กฎหมายกำหนด แต่อย่างใด ซึ่งเดิมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ได้กำหนดโทษในกรณีรัฐมนตรีถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แล้วไม่โอนไปให้นิติบุคคลตามที่กฎหมายกำหนดจัดการแทน คือให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 209 ประกอบมาตรา 216(6)

อย่างไรก็ตามแต่เนื่องจากประกาศ คปค. ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 19 ก.ย.2549 ให้รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2540 สิ้นสุดลง จึงไม่สามารถนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับได้ ประกอบกับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 ก็มิได้บัญญัติเรื่องความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวในกรณีนี้ไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2540 อีกทั้งรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้บัญญัติบเฉพาะกาลในมาตรา 298 วรรคสาม ที่ระบุว่า “มิให้นำบทบัญญัติเรื่องให้ความรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวในกรณีที่รัฐมนตรีถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วไม่โอนไปให้นิติบุคคลตามที่กฎหมายกำหนดจัดการแทน ตามมาตรา 182(7) มาใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้” ดังนั้นความเป็นรัฐมนตรีของบุคคลทั้ง 3 จึงไม่สิ้นสุดลง

นายกล้าณรงค์ กล่าวว่า กรณีที่บุคคลทั้ง 3 ได้ถือครองหุ้นฯ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้โอนหุ้นไปให้นิติบุคคลตามกฎหมายจัดการแทน หากปรากฏว่าบุคคลทั้ง 3 ได้เข้าไปกระทำการใดันมีลักษณะเป็นการเข้าไปครอบงำ หรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นหรือจัดการจัดการหาผลประโยชน์ในหุ้นจะมีความผิดตามพ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 มาตรา 11 ซึ่งกำหนดห้ามมิให้รัฐมนตรีกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารครอบงำ หรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นหรือจัดหาผลประโยชน์จากหุ้น

ซึ่งมีโทษตามมาตรา 17 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว หรือไม่นั้น คณะกรรมการป.ป.ช. เห็นว่ามาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ต้องเป็นกรณีที่รัฐมนตรีได้โอนหุ้นส่วหรือหุ้น ไปให้นิติบุคคลตามกฎหมายจัดการแทนแล้วรัฐมนตรีเข้าไปบริหารครอบงำ หรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้น หรือจัดหาผลประโยชน์ให้หุ้นส่วน หรือหุ้นนั้น แต่บุคคลทั้ง 3 ได้ถือครองหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้โอนหุ้น ไปให้นิติบุคคลจัดการแทน บุคคลทั้ง 3 จึงไม่อาจกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหารครอบงำ หรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นหรือจัดการผลประโยชน์ให้หุ้นส่วนหรือหุ้นได้ การกระทำของบุคคลทั้งสามจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 11 แห่งพ.ร.บ. ดังกล่าว

อย่างไรก็ดีโดยที่ปรากฏว่ามีรัฐมนตรีในรัฐบาลบางคน ซึ่งถือครองหุ้น เกินกว่า ร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ได้โอนหุ้นไปให้นิติบุคคลจัดการแทนตามกฎหมาย และได้แจ้งให้ประธานกรรมการป.ป.ช.ทราบ อันเป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนของรมต. พ.ศ.2543 ดังนั้นการรัฐมนตรีทั้ง 3 คนนี้มิได้ดำเนินการ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีบางคนดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและขัดต่อหลักการในเรื่องของการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม คณะกรรมการป.ป.ช.จึงมีมติให้รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามควรแก่กรณีต่อไป

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการที่ ป.ป.ช.ระบุว่ามีรัฐมนตรี 3 คนถือหุ้นเกินร้อยละ 5 แล้วไม่โอนหุ้นให้นิติบุคคลจัดการแทนเป็นเรื่องไม่เหมาะสมว่า จะต้องมีการตรวจสอบทางแง่กฎหมาย เพราะว่ารัฐธรรมฉบับชั่วคราวก็ไม่ได้ระบุเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน เมื่อรัฐธรรมนุญฉบับใหม่ที่มีผลใช้บังคับมีข้อยกเว้นอีกเช่นกัน มีบทเฉพาะกาลอีกเช่นกันซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างการปรึกษากันทางด้านกฎหมายว่า หากแต่ละท่านมีความรู้สึกที่ไม่สบายก็ขอให้แจ้งให้ทราบจากที่ตนเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้ว

ส่วนจะเป็นเงื่อนไขในการปรับ ครม.หรือไม่นั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ต้องขอรอฟังการจัดสินใจของรัฐมนตรีทั้ง 3 คนก่อน ซึ่งต้องมองในแง่ของกฎหมาย และแง่ของความสบายใจหรือไม่สบายใจของทั้ง 3 คนก่อน เมื่อถามว่า แล้วถ้าเขาไม่สบายใจ นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ก็อยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน ซึ่งตนให้สิทธิ์ทุกคนอยู่แล้ว เพราะแต่ละท่านเป็นผู้ใหญ่คงพร้อมที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ซึ่งก็ได้บอกนายสิทธิชัย ไปว่าขอให้หารือกันทั้ง 3 ท่านก่อน เมื่อได้ข้อยุติอย่างไร รอให้ตนกลับมาจึงมาหารือร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลหรือไม่ว่าหลายฝ่ายมองว่าเป็น 2 มาตรฐานเพราะเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไล่ดำเนินการแต่พอรัฐมนตรีชุดนี้กลับให้ตัดสินใจเอง นายกรัฐมนตรี กล่าว่วา มิได้ครับ ต้องมองในแง่ของกฎหมายก่อนว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่ผิดแล้วท่านไม่สบายก็ขอให้บอก แต่ถ้าผิดกฎหมายท่านก็ต้องปฏิบัติอยู่แล้ว เมื่อถามว่าการตัดสินใจจากนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่นายกฯตัดสินใจให้ใช่หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ใช่ครับ

ผู้สื่อข่าวถามว่าทางป.ป.ช.เองก็ออกมาระบุว่าทั้ง 3 รัฐมนตรีไม่ไดทำผิด กฎหมายแต่กระทำการที่ไม่เหมาะสม นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ตนก็เปิดโอกาสให้ทั้ง 3 คนมีโอกาสปรึกษากันแล้วแจงให้ตนทราบหลังจากกลับมาจากต่างประเทศ เพราะถ้าทำอะไรในช่วงนี้ก็จะมีช่องว่างในด้านการบริหาร เพียงเวลา 1 สัปดาห์หลังจากนั้นก็คงจะได้มาพูดคุยกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น