xs
xsm
sm
md
lg

ตามรอย ‘สนธิ’ (1)

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


เที่ยวบิน UA214 ของสายการบินยูไนเต็ดเชิดหัวขึ้นจากสนามบินนานาชาติลอสแองเจลิส เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังสนามบิน Dulles ของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นาฬิกาของผมบอกเวลาของเมืองไทยในช่วงสายของวันที่ 20 สิงหาคม 2550 ขณะที่เวลา ณ นครลอสแองเจลิสนั้นคือ 23.30 น. ของวันที่ 19 สิงหาคม 2550

เพื่อนร่วมคณะของเราหอบหายใจอย่างโล่งอกที่ขึ้นเครื่องบินเที่ยวนี้ได้ทัน แม้ว่าจะมีห่วงเรื่องกระเป๋าเดินทางที่ตกค้างอยู่ ณ สนามบินลอสแองเจลิสถึง 14 ใบก็ตาม ...

เราจำใจต้องทิ้งกระเป๋าเดินทางเกือบทั้งหมดของเราไว้ข้างหลัง เพราะเที่ยวบินไปวอชิงตัน ดี.ซี. เที่ยว UA214 นี้เป็นเที่ยวบินสุดท้ายของวัน ถ้าเรามัวแต่อาลัยอาวรณ์กับกระเป๋าเดินทางที่เหลือ เราก็จะต้องนอนรอที่สนามบินอีกอย่างน้อยๆ หกชั่วโมง เพื่อจะจับเครื่องบินเที่ยวเช้าวันพรุ่งนี้และก็คงคลาดกับเจ้านายใหญ่ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่จะบินไปถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในตอนเที่ยงของวันที่ 20 สิงหาคม ที่สำคัญอาจจะทำให้งานใหญ่คือรายการยามเฝ้าแผ่นดินสัญจรฯ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่จะจัดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 20 นั้นเสียกระบวน

ย้อนกลับไปราว 20 ชั่วโมงก่อนหน้า ...

บ่ายสี่โมงเย็นของวันที่ 19 สิงหาคม 2550 คณะของเรารวมสิบคนพอดิบพอดี ซึ่งประกอบไปด้วยพิธีกรระดับแม่เหล็กของเอเอสทีวีและคลื่นยามเฝ้าแผ่นดิน คือ ‘พี่แอน’ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ, ‘พี่ต๋อง’ บัณฑิต ปิ่นมงคลกุล และ ‘พี่ต่อ’ ต่อพงษ์ เศวตามร์ รวมถึงทีมงานอีกชุดใหญ่ ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยเที่ยวบิน BR68 ของสายการบินสัญชาติไต้หวัน EVA Air เพื่อมุ่งหน้าไปยังกรุงไทเป ไต้หวัน เพื่อเปลี่ยนเครื่องและบินต่อไปยังนครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกาโดยเที่ยวบิน BR16

การเดินทางจากกรุงเทพฯ-ไทเป-ลอสแองเจลิส-วอชิงตัน ดี.ซี. ใช้เวลาทั้งสิ้นกว่า 24 ชั่วโมงหรือหนึ่งวันเต็มๆ แม้พวกเราหลายคนหน้าตาดูจะอิดโรยไปบ้างจากการเดินทาง โดยเฉพาะ ‘น้องมิ’ ซาโตมิ กิโนซ่า ลูกพี่ลูกน้องของผมที่ติดคณะของเรามาด้วยเพื่อจะเดินทางไปเรียนต่อ ณ Wellesley College มลรัฐแมสซาชูเซตต์ แต่พวกเราทั้งหมดก็ยังมีอารมณ์พูดคุย เล่นหัวกันได้ตลอด

การเดินทางไกลๆ เช่นนี้ กินเวลายาวนานเช่นนี้ หากขาดเพื่อนร่วมทางดีๆ ความรู้สึกเหงาเศร้าก็มักจะถือโอกาสแทรกตัวเข้ามาเกาะกินพื้นที่ในจิตใจของเราอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

หลังจากที่แอร์โฮสเตสปิดไฟส่องสว่างเพื่อให้ทุกคนได้นอนหลับพักผ่อน เพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมคณะต่างก็คอพับคออ่อนไปตามๆ กัน บรรยากาศบนเที่ยวบิน UA214 เงียบสงัดลงอีกครั้ง มีเพียงไฟหรี่ริมทางเดินระหว่างเก้าอี้และเสียงไอพ่นท้ายเครื่องเท่านั้นที่ยังคงส่องแสงริบหรี่และส่งเสียงคำรามเบาๆ อย่างไม่ขาดสาย ...

ผมกดเปิดไฟเหนือที่นั่งและเอื้อมมือลงไปในกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ข้างในบรรจุสิ่งของไว้สารพัดตั้งแต่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก กล้องถ่ายรูป แฟลช สมุดโน้ต กระเป๋าใส่เครื่องเขียน เครื่องอัดเสียง เครื่องฟังเพลง ฯลฯ เพื่อหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา

..............................

“เอ้า! เอาหนังสือเล่มนี้ไปอ่าน แล้วสรุปมาให้อาอ่านด้วย ... ” วันหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน คุณสนธิเดินเข้ามาในห้องประชุม โยนหนังสือปกแข็งเล่มหนาเล่มหนึ่งมาบนโต๊ะพร้อมกับคำสั่งสั้นๆ

“ครับ” ผมตอบรับแบบสั้นๆ เช่นกัน

คุณสนธิเป็นทั้งญาติสนิท เป็นทั้งเจ้านาย เป็นทั้งอาจารย์ที่ขี้กลัว ... กลัวว่าลูกน้องจะสมองกลวง ... กลัวว่าลูกหลานจะโดนคนอื่นเขาหลอก ... และที่กลัวที่สุดก็คือ กลัวว่าตนเองและคนรอบข้างจะตายอย่างโง่งม!

หากใครเคยเดินเข้ามาในร้านกาแฟบ้านพระอาทิตย์ Coffee & More บนถนนพระอาทิตย์ เมื่อเปิดประตูเข้ามาในร้าน หากสังเกตทางด้านขวามือบริเวณทางเข้าห้องน้ำของร้านจะเห็นว่ามีตู้หนังสือสูงจรดเพดานอยู่หลังหนึ่ง หนังสือในตู้นั้นทั้งหมดเป็นหนังสือของคุณสนธิที่ยกให้กับ ‘พี่เพชร’ พชร สมุทวณิช หุ้นส่วนของร้านกาแฟบ้านพระอาทิตย์เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจสามารถหยิบยืมอ่านได้ตามสะดวก โดยลูกค้าสามารถจิบกาแฟไป อ่านหนังสือไปได้แบบสบายๆ ...

หนังสือในตู้ใหญ่นั้นเกือบทั้งหมดเป็นหนังสือระดับคลาสสิก อย่างเช่น The Lexus and the Olive Tree ของ Thomas L. Friedman, The Soong Dynasty โดย Sterling Seagrave, The Digital Economy โดย Don Tapscott เป็นต้น นอกจากหนังสือเชิงวิชาการแล้ว ในตู้หนังสือเดียวกันก็ยังมีหนังสือชนิดอื่นๆ อย่างเช่น นิยายไทยที่ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษโดยคุณมาร์แซล บารัง นักแปลนิยายไทยชาวฝรั่งเศส นิยายฝรั่ง หนังสือความรู้เกี่ยวกับไวน์ หนังสืออัตชีวประวัติ หนังสือเชิงประวัติศาสตร์ ฯลฯ

นอกจากตู้หนังสือในร้านกาแฟบ้านพระอาทิตย์แล้ว บนชั้นที่ 2 ของอาคาร B บ้านพระอาทิตย์ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานของเครือหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ผู้จัดการ ก็ยังมีห้องหนังสืออยู่อีกหนึ่งห้องใหญ่ที่คุณสนธิยินดีเปิดให้ลูกน้องหยิบยืมไปอ่าน โดยผู้ต้องการยืมเพียงแค่ลงชื่อยืมไว้เท่านั้น

น่าเสียดายที่หนังสือในห้องดังกล่าวไม่ค่อยมีใครสนใจหรือคิดอีกที อาจเป็นเพราะว่ามีพนักงานน้อยคนที่รู้ว่ามีขุมทรัพย์ทางปัญญากองใหญ่วางเรียงรายอยู่ข้างตัว ส่วนผู้ที่รู้ก็อาจไม่กล้าหาญเพียงพอที่จะหยิบยืมไปอ่าน

“อ่านให้ละเอียดนะ ...” แกกล่าวย้ำอีกครั้งระหว่างที่ผมหยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมาพลิกดู ... หนังสือเล่มดังกล่าวชื่อว่า War On The Middle Class เขียนโดย Lou Dobbs

..............................

Lou Dobbs เป็นผู้ดำเนินรายการชื่อดังทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ทั้งยังเป็นบรรณาธิการบริหารของรายการ Lou Dobbs Tonight ซึ่งเป็นรายการที่มีผู้ชมมากเป็นอันดับสองของสถานีซีเอ็นเอ็น โดยเป็นรองเพียงรายการ Larry King Live เท่านั้น

Dobbs เกิดวันที่ 24 กันยายน 2488 (ค.ศ.1945) ที่รัฐเท็กซัส บิดาเป็นนักธุรกิจ เมื่ออายุ 12 ขวบ ครอบครัวของเขาก็ย้ายมาอยู่ที่รัฐไอดาโฮ โดยในเวลาต่อมาด้วยความเฉลียวฉลาดและบุคลิกของความเป็นผู้นำ Dobbs ก็สามารถเข้าศึกษาต่อด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ.1967)

หลังจบการศึกษา Dobbs ทำงานให้กับโครงการต่อต้านความยากจนในบอสตัน และวอชิงตัน ดี.ซี. จากนั้นจึงมาทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการเงินให้กับ Union Bank ในนครลอสแองเจลิส

หลังจากแต่งงาน Dobbs ก็หันเหมาประกอบอาชีพสื่อสารมวลชน โดยย้ายมาอยู่ที่เมืองยูม่า (Yuma) ในรัฐอริโซนาเพื่อรายงานข่าวอาชญากรรมให้กับสถานีวิทยุท้องถิ่น KBLU ทั้งนี้ในช่วงกลางทศวรรษที่ 70 เขาได้รับโอกาสให้เป็นผู้สื่อข่าวและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ที่เมืองฟีนิกซ์ จากนั้นเขาจึงย้ายมาอยู่กับ KING-TV ที่เมืองซีแอตเติลในรัฐวอชิงตัน จนในที่สุดในปี 2522 (พ.ศ.1979) เขาก็รับการติดต่อให้ร่วมงานกับเท็ด เทอร์เนอร์เพื่อก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น

ด้วยพื้นฐานความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่แน่นปึ้ก ทำให้ Dobbs ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจของซีเอ็นเอ็น และเป็นผู้ดำเนินรายการ Moneyline นอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งผู้บริหารของซีเอ็นเอ็น เป็นผู้ก่อตั้ง CNN fn (ข่าวการเงินของ CNN) ทั้งยังเป็นครีเอทีฟและผู้ดำเนินรายการอีกหลายรายการ

Dobbs ลาออกจากซีเอ็นเอ็นพักหนึ่งจากความขัดแย้งกับผู้บริหาร โดยเขาออกไปก่อตั้งเว็บไซต์เกี่ยวกับดาราศาสตร์ชื่อดังที่ชื่อ Space.com อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้บริหารที่เป็นคู่ปรับของ Dobbs ในซีเอ็นเอ็นลาออกไป Dobbs ก็กลับมาทำงานกับซีเอ็นเอ็นอีกครั้ง

ในการทำงานโทรทัศน์, วิทยุ รวมถึงการเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ Dobbs แสดงจุดยืนทางการเมืองออกมาบ่อยครั้งด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ ทุนนิยมสุดขั้ว การค้าเสรี การใช้โลกานุวัตรอย่างฟุ่มเฟือยผ่านการจ้างบริษัทต่างประเทศผลิตสินค้า (Offshore Outsourcing) ที่ส่งผลเสียต่อแรงงานอเมริกัน รวมไปถึงอิทธิพลของบริษัทยักษ์ใหญ่และบรรษัทข้ามชาติที่มีต่อรัฐบาลอเมริกัน

Dobbs กล่าวว่านโยบายการ Outsourcing นโยบายการค้า นโยบายการลดภาษี และนโยบายการขาดดุลการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ส่งผลดีต่อบริษัทยักษ์ใหญ่และบรรษัทข้ามชาตินั้นรังแต่จะเป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นกลางในสหรัฐฯ ทั้งนี้ความคิดของเขาส่วนหนึ่งนั้นก็ถูกบรรจุอยู่ในหนังสือที่ชื่อ “สงครามของชนชั้นกลาง” เล่มที่ผมถืออยู่นี้

...... แล้วความคิดเรื่องเศรษฐกิจ-การเมืองของสหรัฐอเมริกา ชนชั้นกลางอเมริกัน สังคมอเมริกันของผู้ดำเนินรายการของสถานีซีเอ็นเอ็นผู้นี้มีความเกี่ยวพันอย่างไรต่ออนาคตของคนไทย สังคมไทย ประเทศไทย จนถึงขนาดที่คุณสนธิต้องให้ความสนใจมากถึงขนาดนี้?
กำลังโหลดความคิดเห็น