xs
xsm
sm
md
lg

1 ปี : ยึดอำนาจทักษิณ!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

“วันนี้” เป็นวันครบรอบของ “การยึดอำนาจ” หรือจะเรียกว่า “รัฐประหาร” ก็ได้เช่นเดียวกัน แต่คนไทยมักเรียกว่า “ปฏิวัติ” นั้น ไม่น่าจะถูกต้องเท่าใดนัก เนื่องด้วยคำว่า “ปฏิวัติ” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Revolution” แต่ “ยึดอำนาจ-รัฐประหาร” เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสกันทั่วโลกว่า “Coup d’ Etat” ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เรียกกันเป็นภาษาอังกฤษหรือว่า “ไม่มี!”

คำว่า “ปฏิวัติ (Revolution)” เป็นคำที่ถือว่า “แรง” เนื่องด้วยการปฏิวัติเป็น “ปรากฏการณ์” ที่ “เปลี่ยนแปลง” ทั้งหมด ไม่ว่า “โครงสร้าง-ระบอบ-ระบบ” พูดภาษาชาวบ้านหมายความว่า “ล้างบาง-รื้อทิ้ง” ทั้งหมด ตั้งแต่ “โครงสร้างส่วนบน” จนถึง “โครงสร้างส่วนล่าง” จนเลยเถิดไปถึงทุกสถาบันต้องถูก “ยกเลิก” หมด แม้กระทั่ง “วัฒนธรรม-ขนบธรรมเนียมประเพณี-ลัทธิ-ความเชื่อ-ศาสนา” ดั่งเช่นเกิดขึ้นที่ประเทศจีน เมื่อปีค.ศ.1949 ที่เรียกว่า “การปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution)” หรือแม้กระทั่งที่ฝรั่งเศส หรือรัสเซียในอดีต

แต่คำว่า “รัฐประหาร-ยึดอำนาจ (Coup d’ Etat)” นั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ “รัฐบาล” และ “หัวหน้ารัฐบาล” เท่านั้น หรือยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจาก “คณะรัฐมนตรี” ทั้งหมด แต่โครงสร้างการปกครองที่ยังไม่มีการถูกล้างบางหรือรื้อทิ้ง พูดง่ายๆ คือ เปลี่ยนคณะรัฐมนตรี หรือรัฐบาลทั้งชุด โดยที่ “ประธานาธิบดี” หรือ “นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี” ถูก “ยึด-ริบ” อำนาจทั้งหมด แต่สถาบันหลักๆ ของชาติบ้านเมืองยังอยู่

หรืออีกนัยหนึ่งหมายความว่า “ระบอบ” นั้นเปลี่ยนแปลงเมื่อเกิด “การปฏิวัติ” แต่ “การยึดอำนาจ” เปลี่ยนแปลงแต่ “ระบบ” เท่านั้น แต่ “โครงสร้าง-สถาบัน” ส่วนใหญ่ยังอยู่ทั้งหมด

ประเทศไทยเราเกิดการ “รัฐประหาร-ยึดอำนาจ” บ่อยครั้งมาก นับได้ประมาณ 10 กว่าครั้ง ตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” เมื่อปี 2475 ที่รัชกาลที่ 7 ทรงมอบพระราชอำนาจในการปกครองชาติบ้านเมืองสู่ปวงชนชาวไทย ด้วยพระราชประสงค์ต้องการให้ประเทศไทยมีระบอบการปกครองในระบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ปรัชญาและเจตนารมณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัชสมัยที่ 7 นั้น มีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการให้ประเทศไทยก้าวทันโลก ตามนานาอารยประเทศได้ เนื่องด้วยระบบการเมืองการปกครองจากซีกโลกตะวันตกที่เรียกว่า “อารยธรรมตะวันตก (Westernization)” คืบคลานระบาดไปทั่วโลก ด้วยระบบการเมืองการปกครองที่เป็น “ประชาธิปไตย (Democracy)”

ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “ระบบประชาธิปไตย” ตลอด 75 ปีที่ผ่านมานั้น “ล้มลุกคลุกคลาน!” มาโดยตลอด มิได้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งต้องเรียกขานอย่างตรงไปตรงมาว่า“ประชาธิปไตยจอมปลอม (Pseudo-Democracy)”

จากระบอบการปกครองที่เรียกว่า “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” หรือ “Absolute Monarchy” ซึ่งขอเรียกขานทางศัพท์วิชาการว่า “ราชาธิปไตย” มาเป็น “ประชาธิปไตย” แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงของ “ระบบการเมือง” แล้ว “วัฒนธรรมการเมือง” เป็นเรื่องของ “อำนาจ-ผลประโยชน์” ที่ต้องมีการ “แก่งแย่ง-แย่งชิง” กันโดยตลอด แต่ก็เป็นการ “รณรงค์-แข่งขัน-หาเสียง” เพื่อให้ได้ “คะแนนนิยม” จากประชาชน โดยนัยความหมายและปรัชญาของ “ประชาธิปไตย” นั้นคือ “จากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน (From The People by The People and for The People)”

ทั้งนี้ “ประชาธิปไตย” คือ อำนาจจากประชาชนทั้งหมดที่มอบหมายให้ “ผู้แทน-ตัวแทน” จากกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองไปดำเนินการปฏิบัติ เพื่อให้เกิด “ประโยชน์” สูงสุดแก่ประชาชน

“แสงแดด” เองนั้น เฝ้าติดตามทั้งการเมืองไทยและการเมืองต่างประเทศมายาวนานเกือบ 50 ฤดูแล้ว ต้องยอมรับว่า “แนวคิด-ปรัชญา” ข้างต้นนั้น “อุดมคติ” เกินไป แม้แต่ “ประเทศต้นแบบประชาธิปไตย” อย่าง อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้ว บรรลุได้เพียง 75-80 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่า “ดีเลิศ!” แล้ว

บ้านเรานั้น ความจริงที่เราต่างต้องยอมรับว่า “ประชาธิปไตย” บ้านเรานั้น “จอมปลอม” อย่างมาก มิได้เป็น “อำนาจ-ประโยชน์” แก่ประชาชนเลย หลังจาก พ.ศ.2475 เป็นต้นมา เป็นการสลับสับเปลี่ยนระหว่าง “อำนาจใหม่” ในยุคนั้นที่เรียกว่า “อมาตยาธิปไตย” ที่บรรดาเหล่า “ขุนนาง-ข้าราชการ” ต่างเป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจในการปกครองบริหารจัดการประเทศชาติเกือบทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลา 20-30 ปี ช่วงแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความเพียรพยายามที่จะพัฒนาระบบการเมืองการปกครองใน “ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นั้น ก็เกิดขึ้น เพียงแต่ “การแย่งชิงอำนาจ” ระหว่าง “กลุ่มขุนนาง-กลุ่มข้าราชการทหาร” ที่มีหลากหลายกลุ่ม ตลอดจน “กลุ่มการเมือง-พรรคการเมือง” ที่ค่อยๆ ทยอยความแข็งแกร่งมากขึ้น เกิดการปะทะช่วงชิงกันบ่อยครั้ง จน “ประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลาน” เรื่อยมา

“ระบบราชการไทย” เป็นสถาบันหลักในการบริหารจัดการประเทศชาติมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคสมัยสุโขทัยเรื่อยมา จนถึงยุคกรุงศรีอยุธยา ที่เหล่าบรรดาขุนนาง ข้าราชการทั้งหลายล้วนเป็น “ผู้ช่วย” ในการปกครอง บริหารชาติบ้านเมืองจากพระมหากษัตริย์ทุกยุคทุกสมัย จน “บ่มเพาะ” เป็น “กลุ่มอำนาจมหึมา” ที่นักวิชาการเรียกขานว่า “พรรคราชการ” จะเป็นพรรคการเมืองการปกครองที่ “ยิ่งใหญ่-ทรงอำนาจ” มากที่สุด

“อมาตยาธิปไตย” เป็น “อำนาจเก่า” ที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนานนับหลายร้อยปี ทั้งๆ ที่ ปีพ.ศ.2475 ที่รัชกาลที่ 7 ทรงมอบพระราชอำนาจสู่ประชาชนให้เป็นประชาธิปไตย แต่ในทาง “สัจธรรม” ของ “วัฒนธรรมการเมืองไทย” หาเป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องด้วย “กลุ่มอำมาตย์-ขุนนาง” ทั้งหลาย ยังเพียรพยายามที่จะ “ยึดครองอำนาจ” ไว้ให้นานที่สุด

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ปรารถนาที่จะให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน

หลังจากปี พ.ศ.2516 และพ.ศ.2519 เป็นต้นมา ความพยายามในการสถาปนาประชาธิปไตยจริงๆ จังๆ ก็เกิดขึ้นจากทั้งในส่วนของ “กลุ่มอำนาจเก่า-อำมาตย์” ทั้งหลายที่ต่างตระหนักดีว่า ในที่สุดแล้ว ประเทศชาติคงหลีกหนีจากกระแสโลกในระบบการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยไม่ได้

ดังนั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 เรื่อยมา ประชาธิปไตยทั้ง “เบ่งบาน” และ “ล้มลุกคลุกคลาน” มาตลอด โดยเกิดเป็นทั้ง “ประชาธิปไตยครึ่งใบ-ค่อนใบ” แล้วแต่จะเรียกขานกันก็สลับไปสลับมา แต่ “เผด็จการทหาร” เกิดขึ้นน้อยครั้ง จนครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2534 ยุค “รสช.” ที่ถูกกลุ่มทหารจปร.รุ่น 5 นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร “ยึดอำนาจ” จากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เป็น “รัฐบาลบุฟเฟ่ต์” หรือถูกเรียกขานว่า “Buffet Cabinet”

กล่าวคือ เป็นคณะรัฐมนตรีที่มีการทุจริตคอร์รัปชันมากที่สุดเช่นเดียวกัน โดยบรรดารัฐมนตรีต่างทำมาหากินตามสะดวกเสมือนเลือกกินอาหารตามซุ้มอาหารบุฟเฟ่ต์

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นวันสำคัญของระบบการเมืองการปกครองไทยอีกครั้งที่ ใครๆ ต่างนึกว่า “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” จะไม่เกิดขึ้นอีก เนื่องด้วยตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา “ประชาธิปไตย” เบ่งบานอย่างมาก ที่บรรดาพรรคการเมืองต่างมั่นใจว่า “ทหาร” จะไม่มีทางทำการ “รัฐประหาร” อย่างแน่นอน

พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า พรรคการเมืองต่าง “คึกคะนอง” อย่างมากว่า ประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยจะไม่มีทาง “ย้อนรอยอดีต” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พรรคไทยรักไทย” มั่นใจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดว่า “จัดการ-ซื้อ” และไม่สำคัญเท่ากับ “การสยบ” ได้ทุกองค์อณูของสังคม

จนคุณทักษิณ ชินวัตร และองคาพยพที่ใกล้ชิดทั้งหมดต่าง “ฮึกเหิม!” จนถึงขั้น “อหังการ” ว่า “ไม่มีใครกล้าแตะต้องคุณทักษิณ ชินวัตร อย่างเด็ดขาด” เพราะ “คุณทักษิณผูกขาด” ทุกองค์อณูสำคัญของสังคมการเมืองการปกครองไทย

“อำนาจ” ของคุณทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2548 เราต่างต้องยอมรับว่าเป็น “อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” ที่เรียกว่า “Absolute Power” จนทุกองค์กรในภาครัฐและภาคเอกชน “กลัวหัวหด!” ไม่มีใครกล้าแอะกล้าหือกับคุณทักษิณ จนในที่สุด คุณทักษิณก็ “เผลอ!” คิดว่า “ประเทศไทยเป็นของข้าฯ และครอบครัว”

Lord Acton เคยกล่าวว่า “อำนาจเบ็ดเสร็จจะทุจริตเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” หรือ “Absolute Power Corrupt Absolutely” ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าแนวคิดทฤษฎีนี้ได้ถูกพิสูจน์อีกครั้งหนึ่ง

ใครจะเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะถูก “ยึดอำนาจ” จนวันนี้หนึ่งปีเต็ม ก็ยังไม่สามารถกลับมาเยือนแผ่นดินเกิดได้อีก

คำถามสำคัญ “1 ปีเต็ม” เราได้อะไรบ้างกับการกำจัดทุจริต-โกง!
กำลังโหลดความคิดเห็น