คมช.เสนอยกเลิกกฎอัยการศึก 11 จังหวัด เน้นพื้นที่ไม่ติดชายแดน แต่ประกาศใหม่ 3 จังหวัด" นครพนม-หนองคาย-มุกดาหาร" ยันไม่ได้มุ่งหวังใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เตรียมแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีในต้นเดือนหน้า
วานนี้ (17ก.ย.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แถลงผลการประชุม คมช. ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ 11 จังหวัด จากที่ปัจจุบันมีการประกาศใช้ในพื้นที่ 35 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเป็นจังหวัดที่ไม่ติดชายแดน คือ กำแพงเพชร หนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เพชรบุรี ราชบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์
ส่วนพื้นที่จังหวัดตามแนวชายแดน และจ.ปัตตานี ให้คงไว้เหมือนเดิม และประกาศใช้ในจังหวัดที่อยู่ตามแนวชายแดนภาคอีสานเพิ่มอีก 3 จังหวัด คือ จ.นครพนม หนองคาย และ มุกดาหาร โดยปัจจัยในการพิจารณาการคงกฎอัยการศึกไว้ ประเด็นสำคัญคือ การปฏิบัติภารกิจของกองกำลังป้องกันชายแดนโดยเฉพาะการแก้ปัญหายาเสพติด และการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
"มติครั้งนี้เป็นเพียงแนวความคิดของ คมช.โดยจะเสนอต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ ครม.พิจารณาต่อไป เพื่อแสดงออกถึงความเป็นกลางในการเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และนานาประเทศ ให้รับทราบว่า สถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้กำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และกำลังจะมีการเลือกตั้ง คมช.ไม่ได้มุ่งหวังจะใช้กฎอัยการศึก เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสนับสนุน หรือจ้องทำลายล้างพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใด อีกทั้ง ยังไม่ต้องการให้กลุ่มการเมืองนำเหตุผลการประกาศใช้กฎอัยการศึก มากล่าวอ้าง กรณีที่ไม่ประสบผลสำเร็จในการเลืกอตั้ง" โฆษก คมช.กล่าว
ส่วนการแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ของคมช. จะเป็นการแถลงในรูปแบบใหม่ โดยจะเป็นการให้ข้อมูลในลักษณะการสนทนา ระหว่าง พล.อ.สนธิ กับนักวิชาการ นักการเมือง หรือบุคคลในแวดวงต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับจากสังคม เพื่อชี้ให้สังคมได้เห็นว่า การทำงานของ คมช. มีขอบเขตชัดเจน มุ่งหวังเพื่อยุติการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของอดีตรัฐบาล และจัดตั้งองค์กรอิสระ มาทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ ที่ส่อไปในทางทุจริต
"เรามีจุดยืนอยู่ที่ความเป็นกลาง ไม่ใช้อำนาจของ คมช.ชี้นำ หรือกดดันการทำงานขององค์กรอิสระ และกระบวนการยุติธรรมต่างๆ โดยคาดว่าการให้ข้อมูลดังกล่าว จะมีขึ้นในต้นเดือนหน้า โดยจะถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่องใดช่องหนึ่ง และถ่ายทอดเสียงผ่านสถานีวิทยุในเครือของกองทัพด้วย"พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
วานนี้ (17ก.ย.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แถลงผลการประชุม คมช. ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ 11 จังหวัด จากที่ปัจจุบันมีการประกาศใช้ในพื้นที่ 35 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเป็นจังหวัดที่ไม่ติดชายแดน คือ กำแพงเพชร หนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เพชรบุรี ราชบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์
ส่วนพื้นที่จังหวัดตามแนวชายแดน และจ.ปัตตานี ให้คงไว้เหมือนเดิม และประกาศใช้ในจังหวัดที่อยู่ตามแนวชายแดนภาคอีสานเพิ่มอีก 3 จังหวัด คือ จ.นครพนม หนองคาย และ มุกดาหาร โดยปัจจัยในการพิจารณาการคงกฎอัยการศึกไว้ ประเด็นสำคัญคือ การปฏิบัติภารกิจของกองกำลังป้องกันชายแดนโดยเฉพาะการแก้ปัญหายาเสพติด และการหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
"มติครั้งนี้เป็นเพียงแนวความคิดของ คมช.โดยจะเสนอต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ ครม.พิจารณาต่อไป เพื่อแสดงออกถึงความเป็นกลางในการเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และนานาประเทศ ให้รับทราบว่า สถานการณ์ภายในประเทศขณะนี้กำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และกำลังจะมีการเลือกตั้ง คมช.ไม่ได้มุ่งหวังจะใช้กฎอัยการศึก เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสนับสนุน หรือจ้องทำลายล้างพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใด อีกทั้ง ยังไม่ต้องการให้กลุ่มการเมืองนำเหตุผลการประกาศใช้กฎอัยการศึก มากล่าวอ้าง กรณีที่ไม่ประสบผลสำเร็จในการเลืกอตั้ง" โฆษก คมช.กล่าว
ส่วนการแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ของคมช. จะเป็นการแถลงในรูปแบบใหม่ โดยจะเป็นการให้ข้อมูลในลักษณะการสนทนา ระหว่าง พล.อ.สนธิ กับนักวิชาการ นักการเมือง หรือบุคคลในแวดวงต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับจากสังคม เพื่อชี้ให้สังคมได้เห็นว่า การทำงานของ คมช. มีขอบเขตชัดเจน มุ่งหวังเพื่อยุติการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของอดีตรัฐบาล และจัดตั้งองค์กรอิสระ มาทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ ที่ส่อไปในทางทุจริต
"เรามีจุดยืนอยู่ที่ความเป็นกลาง ไม่ใช้อำนาจของ คมช.ชี้นำ หรือกดดันการทำงานขององค์กรอิสระ และกระบวนการยุติธรรมต่างๆ โดยคาดว่าการให้ข้อมูลดังกล่าว จะมีขึ้นในต้นเดือนหน้า โดยจะถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่องใดช่องหนึ่ง และถ่ายทอดเสียงผ่านสถานีวิทยุในเครือของกองทัพด้วย"พ.อ.สรรเสริญ กล่าว