.
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยสามารถนับย้อนกลับได้ยาวไกลถึง 600 ปี แม้จะหยุดชะงักลงบ้างในช่วงที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ แต่ได้เริ่มต้นกันใหม่และได้ลงนามสนธิสัญญาฉบับแรกระหว่างกันเมื่อปี 2430
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยมีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 600 ปี นับตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยมีการติดต่อทางการค้ากับเกาะโอกินาวาของญี่ปุ่น ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา การติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขยายตัวออกไปจากเกาะโอกินาวาไปสู่ภูมิภาคอื่นของญี่ปุ่น โดยอิเอยะสึ โตกุงาวา ซึ่งเป็นโซกุนคนแรกของตระกูลโตกุงาวา ได้ส่งคณะทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี 2149 ในสมัยพระเจ้าเอกาทศรถของไทย
จากการขยายตัวของความสัมพันธ์ในช่วงนี้ ทำให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นชุมชนหรือหมู่บ้านญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณเกาะเมืองริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และจำนวนชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทยเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เป็น 3,000 คน อย่างไรก็ตาม ต่อมาญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ไปสู่การปิดประเทศโดยสิ้นเชิงในปี 2182 โดยห้ามคนญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศ ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาจึงมีจำนวนลดลงโดยลำดับ จนกระทั่งหมู่บ้านญี่ปุ่นสลายไปในที่สุด
ไทยและญี่ปุ่นได้สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศของสยาม เสด็จกลับจากทรงร่วมพิธีเฉลิมฉลองการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติครบ 50 ปี ของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียที่กรุงลอนดอน ในปี 2430 ได้เสด็จเยือนประเทศต่างๆในยุโรปและสหรัฐฯ และได้ทรงแวะเยี่ยมประเทศญี่ปุ่น และได้ใช้โอกาสนี้ลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ระหว่างกัน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2430 ณ กรุงโตเกียว
ภายหลังการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ไทยและญี่ปุ่นได้พัฒนาความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ทั้งในระดับราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน เป็นต้นว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงพระชนมายุ 22 พรรษา เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ภายหลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดแล้ว ได้เสด็จนิวัตประเทศไทยทางเรือ โดยใช้เส้นทางผ่านสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยประทับ ณ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายปี 2445 เป็นเวลาเดือนเศษ
การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธและคณะข้าราชการไทยที่ไปรับเสด็จ ได้เยี่ยมชมการศึกษาของสตรีในญี่ปุ่นและทรงประทับใจมาก เมื่อเสด็จกลับประเทศได้ทรงทราบบังคมทูลรัชกาลที่ 5 และสมเด็จสมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถถึงเรื่องราวที่พบเห็น นับเป็นจุดกำเนิดของการก่อตั้งโรงเรียนราชินีในประเทศไทยโดยใช้บุคลากรจากญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้ทอดพระเนตรโรงพยาบาลของกาชาดญี่ปุ่น ทำให้ทรงพระดำริว่า ถ้าได้จัดโรงพยาบาลของกาชาดขึ้นในเมืองไทย จะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง และเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ขึ้นเมื่อปี 2457 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในพระราชบิดา โดยให้โรงพยาบาลนี้เป็นของสภากาชาดสยาม
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี ได้เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนเมษายน 2474 ซึ่งนับเป็นการเสด็จฯ เยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทย
ภายหลังสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ชาวญี่ปุ่นได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เป็นต้นว่า บริษัทมิตซุยได้เริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2449 โดยได้เปิดสำนักงานตัวแทนทางการค้าขึ้นที่บริเวณใกล้กับโรงแรมโอเรียนเต็ล โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งออกไม้สักจากประเทศไทยไปยังประเทศญี่ปุ่น
ต่อมาได้มีการเปิดเส้นทางเดินเรือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2469 โดยสายการเดินเรือ Osaka Shusen ได้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่การค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ส่งผลทำให้นักธุรกิจญี่ปุ่นได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
แม้ความสัมพันธ์ญี่ปุ่นและไทยได้ขาดช่วงไปภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเมื่อปี 2488 โดยทหารญี่ปุ่นที่ประจำอยู่ในประเทศไทยถูกฝ่ายพันธมิตรปลดอาวุธเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน ส่วนชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ถูกจับกุมและนำมาคุมขังที่ค่ายกักกันเชลยญี่ปุ่นที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี แต่ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นได้รับเอกราช ทั้ง 2 ประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้งหนึ่งในปี 2495 ภายหลังจากที่หยุดชะงักมาเป็นเวลายาวนานถึง 7 ปี
บริษัทญี่ปุ่นซึ่งต้องปิดกิจการในประเทศไทยลงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้เข้ามาก่อตั้งสาขาในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งและฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เป็นต้นว่า บริษัทไดอิจิ (มิตซุย) เปิดสาขาในประเทศไทยเมื่อปี 2494 บริษัทโตโยเมนก้า เมื่อปี 2496 บริษัทอิโตชู (ซีอิโตะ) เมื่อปี 2497 บริษัทมารูเบนีเมื่อปี 2500 ฯลฯ
นักธุรกิจญี่ปุ่นได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ กระจกแผ่น ฯลฯ โดยเดิมการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศและทดแทนการนำเข้าเป็นหลัก ทำให้มีภาพลักษณ์ว่าเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในประเทศไทย จึงมีการเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นขึ้นเมื่อปี 2515
แต่สถานการณ์การลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากภายหลังการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกที่โรงแรม Plaza ในนครนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน 2528 ส่งผลให้มีข้อตกลงที่เรียกว่า Plaza Agreement โดยประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกได้ตกลงที่จะทำให้ค่าเงินของตนเองแข็งตัวขึ้นมาเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่มีมากมายมหาศาลในช่วงนั้น
ข้อตกลงข้างต้นได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนมากมายมหาศาล โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย เนื่องจากค่าเงินของเขาแข็งตัวขึ้นมากจากเดิม 270 เยน/เหรียญสหรัฐ เพิ่มค่าเป็นร้อยกว่าเยนต่อเหรียญสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในขณะนั้นที่ประสบปัญหาต้องขอรับความช่วยเหลือจาก IMF ได้พ้นวิกฤตอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันโครงการของต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย เป็นโครงการของญี่ปุ่นเป็นสัดส่วนสูงถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด โดยแม้ไทยเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2540 ทำให้บริษัทจากยุโรปหรือสหรัฐฯ ถอยการลงทุนระยะสั้นจากประเทศไทยอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทญี่ปุ่นกลับดำเนินการกลยุทธ์ตรงกันข้าม โดยได้อัดฉีดเงินทุนให้แก่บริษัทเครือข่ายหรือสาขาต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งส่งผลช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมา
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่นได้กระชับแน่นยิ่งขึ้นเมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ร่วมลงนามในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (Japan - Thailand Economic Partnership Agreement - JTEPA) เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2550 ณ ทำเนียบรัฐบาลญี่ปุ่น
การลงนามครั้งนี้นอกจากการลดกำแพงภาษีระหว่างไทยกับญี่ปุ่นแล้ว ยังจะก่อให้เกิดความร่วมมือในด้านต่างๆ มากถึง 9 สาขา ประกอบด้วย (1) เกษตร ป่าไม้ และประมง (2)การศึกษา และการพัฒนาทรัพยกรมนุษย์ (3) การสร้างเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (4) บริการการเงิน (5)เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (6) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงาน และสิ่งแวดล้อม (7) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (8)การท่องเที่ยว และ (9) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน
จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ทำให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยจำนวนมากในระยะที่ผ่านมา ทำให้สำหรับบริษัทญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมาชิกของหอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ มีจำนวนมากถึง 1,270 บริษัท และมีการจ้างงานพนักงานคนไทยจำนวนเกือบ 6 แสนคน
สำหรับจำนวนชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากประมาณ 6,000 คน ในปี 2518 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 36,000 คน ในปี 2548 โดยในจำนวนนี้อาศัยในกรุงเทพมหานครมากที่สุด คือ 27,000 คน รองลงมา คือ ชลบุรี 2,100 คน เชียงใหม่ 1,500 คน ปทุมธานี 900 คน และอยุธยา 700 คน
เป็นที่น่าสังเกตว่าชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 7 รองจากอาศัยในสหรัฐฯ 352,000 คน จีน 115,000 คน บราซิล 66,000 คน สหราชอาณาจักร 66,000 คน ออสเตรเลีย 53,000 คน และแคนาดา 46,000 คน ยิ่งไปกว่านั้น กรุงเทพมหานครนับเป็นเมืองในต่างประเทศที่ชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่มากที่สุดเป็นอันดับ 4 รองจากนครนิวยอร์ก นครลอสแองเจลิส และนครเซี่ยงไฮ้
ไม่เพียงแต่คนญี่ปุ่นเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเท่านั้น ปัจจุบันมีคนไทยพำนักอยู่ในญี่ปุ่นมากกว่าคนญี่ปุ่นที่มาอาศัยในประเทศไทยเสียอีก คือ ประมาณ 50,000 คน โดยปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นมากมายกว่า 500 ร้าน และอาหารไทยได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ดังนั้น สถานเอกอัครราชทูตไทยในญี่ปุ่นจึงได้จัดงานเทศกาลไทย (Thai Festival) เป็นประจำทุกปี ณ สวนโยโยกิ ในกรุงโตเกียว นับเป็นกิจกรรมประจำที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากญี่ปุ่นที่ชื่นชอบประเทศไทยและอาหารไทย
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่กองการตลาดเพื่อการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8163 หรือที่ marketing@boi.go.th
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยสามารถนับย้อนกลับได้ยาวไกลถึง 600 ปี แม้จะหยุดชะงักลงบ้างในช่วงที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ แต่ได้เริ่มต้นกันใหม่และได้ลงนามสนธิสัญญาฉบับแรกระหว่างกันเมื่อปี 2430
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยมีประวัติความเป็นมายาวนานถึง 600 ปี นับตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยมีการติดต่อทางการค้ากับเกาะโอกินาวาของญี่ปุ่น ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา การติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขยายตัวออกไปจากเกาะโอกินาวาไปสู่ภูมิภาคอื่นของญี่ปุ่น โดยอิเอยะสึ โตกุงาวา ซึ่งเป็นโซกุนคนแรกของตระกูลโตกุงาวา ได้ส่งคณะทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี 2149 ในสมัยพระเจ้าเอกาทศรถของไทย
จากการขยายตัวของความสัมพันธ์ในช่วงนี้ ทำให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นชุมชนหรือหมู่บ้านญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณเกาะเมืองริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และจำนวนชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทยเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เป็น 3,000 คน อย่างไรก็ตาม ต่อมาญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ไปสู่การปิดประเทศโดยสิ้นเชิงในปี 2182 โดยห้ามคนญี่ปุ่นเดินทางออกนอกประเทศ ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาจึงมีจำนวนลดลงโดยลำดับ จนกระทั่งหมู่บ้านญี่ปุ่นสลายไปในที่สุด
ไทยและญี่ปุ่นได้สถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีว่าการต่างประเทศของสยาม เสด็จกลับจากทรงร่วมพิธีเฉลิมฉลองการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติครบ 50 ปี ของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียที่กรุงลอนดอน ในปี 2430 ได้เสด็จเยือนประเทศต่างๆในยุโรปและสหรัฐฯ และได้ทรงแวะเยี่ยมประเทศญี่ปุ่น และได้ใช้โอกาสนี้ลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ระหว่างกัน เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2430 ณ กรุงโตเกียว
ภายหลังการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ไทยและญี่ปุ่นได้พัฒนาความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ทั้งในระดับราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน เป็นต้นว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงพระชนมายุ 22 พรรษา เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ภายหลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดแล้ว ได้เสด็จนิวัตประเทศไทยทางเรือ โดยใช้เส้นทางผ่านสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยประทับ ณ ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายปี 2445 เป็นเวลาเดือนเศษ
การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธและคณะข้าราชการไทยที่ไปรับเสด็จ ได้เยี่ยมชมการศึกษาของสตรีในญี่ปุ่นและทรงประทับใจมาก เมื่อเสด็จกลับประเทศได้ทรงทราบบังคมทูลรัชกาลที่ 5 และสมเด็จสมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถถึงเรื่องราวที่พบเห็น นับเป็นจุดกำเนิดของการก่อตั้งโรงเรียนราชินีในประเทศไทยโดยใช้บุคลากรจากญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ได้ทอดพระเนตรโรงพยาบาลของกาชาดญี่ปุ่น ทำให้ทรงพระดำริว่า ถ้าได้จัดโรงพยาบาลของกาชาดขึ้นในเมืองไทย จะเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง และเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ขึ้นเมื่อปี 2457 เพื่อเป็นอนุสรณ์ในพระราชบิดา โดยให้โรงพยาบาลนี้เป็นของสภากาชาดสยาม
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี ได้เสด็จฯ เยือนประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนเมษายน 2474 ซึ่งนับเป็นการเสด็จฯ เยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกของพระมหากษัตริย์ไทย
ภายหลังสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ชาวญี่ปุ่นได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เป็นต้นว่า บริษัทมิตซุยได้เริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2449 โดยได้เปิดสำนักงานตัวแทนทางการค้าขึ้นที่บริเวณใกล้กับโรงแรมโอเรียนเต็ล โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งออกไม้สักจากประเทศไทยไปยังประเทศญี่ปุ่น
ต่อมาได้มีการเปิดเส้นทางเดินเรือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2469 โดยสายการเดินเรือ Osaka Shusen ได้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่การค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ส่งผลทำให้นักธุรกิจญี่ปุ่นได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
แม้ความสัมพันธ์ญี่ปุ่นและไทยได้ขาดช่วงไปภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเมื่อปี 2488 โดยทหารญี่ปุ่นที่ประจำอยู่ในประเทศไทยถูกฝ่ายพันธมิตรปลดอาวุธเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน ส่วนชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ถูกจับกุมและนำมาคุมขังที่ค่ายกักกันเชลยญี่ปุ่นที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี แต่ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นได้รับเอกราช ทั้ง 2 ประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้งหนึ่งในปี 2495 ภายหลังจากที่หยุดชะงักมาเป็นเวลายาวนานถึง 7 ปี
บริษัทญี่ปุ่นซึ่งต้องปิดกิจการในประเทศไทยลงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้เข้ามาก่อตั้งสาขาในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งและฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เป็นต้นว่า บริษัทไดอิจิ (มิตซุย) เปิดสาขาในประเทศไทยเมื่อปี 2494 บริษัทโตโยเมนก้า เมื่อปี 2496 บริษัทอิโตชู (ซีอิโตะ) เมื่อปี 2497 บริษัทมารูเบนีเมื่อปี 2500 ฯลฯ
นักธุรกิจญี่ปุ่นได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ กระจกแผ่น ฯลฯ โดยเดิมการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศและทดแทนการนำเข้าเป็นหลัก ทำให้มีภาพลักษณ์ว่าเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ในประเทศไทย จึงมีการเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นขึ้นเมื่อปี 2515
แต่สถานการณ์การลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากภายหลังการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกที่โรงแรม Plaza ในนครนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายน 2528 ส่งผลให้มีข้อตกลงที่เรียกว่า Plaza Agreement โดยประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกได้ตกลงที่จะทำให้ค่าเงินของตนเองแข็งตัวขึ้นมาเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่มีมากมายมหาศาลในช่วงนั้น
ข้อตกลงข้างต้นได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนมากมายมหาศาล โดยเฉพาะจากญี่ปุ่นไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย เนื่องจากค่าเงินของเขาแข็งตัวขึ้นมากจากเดิม 270 เยน/เหรียญสหรัฐ เพิ่มค่าเป็นร้อยกว่าเยนต่อเหรียญสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในขณะนั้นที่ประสบปัญหาต้องขอรับความช่วยเหลือจาก IMF ได้พ้นวิกฤตอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันโครงการของต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย เป็นโครงการของญี่ปุ่นเป็นสัดส่วนสูงถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด โดยแม้ไทยเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2540 ทำให้บริษัทจากยุโรปหรือสหรัฐฯ ถอยการลงทุนระยะสั้นจากประเทศไทยอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทญี่ปุ่นกลับดำเนินการกลยุทธ์ตรงกันข้าม โดยได้อัดฉีดเงินทุนให้แก่บริษัทเครือข่ายหรือสาขาต่างๆ ในประเทศไทย ซึ่งส่งผลช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในเวลาต่อมา
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่นได้กระชับแน่นยิ่งขึ้นเมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ร่วมลงนามในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (Japan - Thailand Economic Partnership Agreement - JTEPA) เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2550 ณ ทำเนียบรัฐบาลญี่ปุ่น
การลงนามครั้งนี้นอกจากการลดกำแพงภาษีระหว่างไทยกับญี่ปุ่นแล้ว ยังจะก่อให้เกิดความร่วมมือในด้านต่างๆ มากถึง 9 สาขา ประกอบด้วย (1) เกษตร ป่าไม้ และประมง (2)การศึกษา และการพัฒนาทรัพยกรมนุษย์ (3) การสร้างเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (4) บริการการเงิน (5)เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (6) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงาน และสิ่งแวดล้อม (7) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (8)การท่องเที่ยว และ (9) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน
จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ทำให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยจำนวนมากในระยะที่ผ่านมา ทำให้สำหรับบริษัทญี่ปุ่นซึ่งเป็นสมาชิกของหอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ มีจำนวนมากถึง 1,270 บริษัท และมีการจ้างงานพนักงานคนไทยจำนวนเกือบ 6 แสนคน
สำหรับจำนวนชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากประมาณ 6,000 คน ในปี 2518 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 36,000 คน ในปี 2548 โดยในจำนวนนี้อาศัยในกรุงเทพมหานครมากที่สุด คือ 27,000 คน รองลงมา คือ ชลบุรี 2,100 คน เชียงใหม่ 1,500 คน ปทุมธานี 900 คน และอยุธยา 700 คน
เป็นที่น่าสังเกตว่าชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 7 รองจากอาศัยในสหรัฐฯ 352,000 คน จีน 115,000 คน บราซิล 66,000 คน สหราชอาณาจักร 66,000 คน ออสเตรเลีย 53,000 คน และแคนาดา 46,000 คน ยิ่งไปกว่านั้น กรุงเทพมหานครนับเป็นเมืองในต่างประเทศที่ชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่มากที่สุดเป็นอันดับ 4 รองจากนครนิวยอร์ก นครลอสแองเจลิส และนครเซี่ยงไฮ้
ไม่เพียงแต่คนญี่ปุ่นเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยเท่านั้น ปัจจุบันมีคนไทยพำนักอยู่ในญี่ปุ่นมากกว่าคนญี่ปุ่นที่มาอาศัยในประเทศไทยเสียอีก คือ ประมาณ 50,000 คน โดยปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นมากมายกว่า 500 ร้าน และอาหารไทยได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ดังนั้น สถานเอกอัครราชทูตไทยในญี่ปุ่นจึงได้จัดงานเทศกาลไทย (Thai Festival) เป็นประจำทุกปี ณ สวนโยโยกิ ในกรุงโตเกียว นับเป็นกิจกรรมประจำที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากญี่ปุ่นที่ชื่นชอบประเทศไทยและอาหารไทย
ติดต่อขอข้อมูล ติชม และเสนอแนะความคิดเห็นได้ที่กองการตลาดเพื่อการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 0-2537-8163 หรือที่ marketing@boi.go.th