"สดศรี"จนแต้ม โดนพีเน็ต ฉะหนัก กล่าวหาไม่โปร่งใส ยอมรับข้อมูลผิดพลาด แต่ไม่กล่าวขอโทษด้วยตนเอง ดึง "สุเมธ-สมชัย" เป็นตัวกลางร่วมเคลียร์ ด้านพีเน็ตไม่ยอมง่ายๆ เรียกร้อง 3 ข้อทำหนังสือชี้แจงทุกองค์กร หากไม่ทำตาม เตรียมฟ้องเรียก 80 ล้าน
เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (12 ก.ย.) มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล รองประธานมูลนิธิองค์กรกลาง นายวรินทร์ เทียมจรัส เลขานุการองค์กรกลาง นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ประสานงานองค์กรกลาง และคณะเดินทางมายังสำนักงาน กกต. เพื่อขอพบ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. เพื่อให้ชี้แจง กรณีที่ออกมาระบุว่า พีเน็ต ได้รับเงินจาก กกต.ในการตรวจสอบการเลือกตั้งในปี 49 จำนวน 80 ล้านบาท แต่ยังชำระบัญชีค่าใช้จ่าย
นายสมชัย กล่าวว่า องค์กรพีเน็ต ไม่เคยของบสนับสนุนจากการตรวจสอบการเลือกตั้ง มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 44 ดังนั้นการที่นางสดศรี ออกมาระบุว่า พีเน็ต ยังไม่เคลียร์ค่าใช้จ่าย ทำให้พีเน็ต ถูกมองว่าทำงานอย่างไม่โปร่งใส ซึ่งเป็นการกล่าวเท็จ และเจตนาใส่ร้ายให้เกิดความไม่น่าเชื่อ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่าง กกต. และพีเนต นอกจากนี้ การที่นางสดศรี กล่าวหาว่า ที่ผ่านมาพีเน็ต ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เป็นการเชื่อมโยงกับการกล่าวหาเรื่องที่พีเน็ต ของบสนับสนุนการตรวจสอบการเลือกตั้ง 80 ล้านบาท จึงขอให้นางสดศรีรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย
ทั้งนี้ พีเน็ต ขอเรียกร้องให้กกต. ดำเนินการ 3 ข้อ 1. ขอให้กกต. ขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าที่นางสดศรีให้สัมภาษณ์นั้นไม่เป็นจริง 2. ให้กกต.ตรวจสอบว่าองค์กร 180 องค์กรที่ทำงานร่วมกับ กกต. มีองค์กรไหนบ้างที่มีปัญหา และไม่มีประสิทธิภาพ 3.ใช้กลไกของ กกต.ทำหนังสือชี้แจงไปยัง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พรรคการเมืองทุกพรรค สื่อมวลชน องค์กรเอกชนที่จดทะเบียนร่วมตรวจสอบการเลือกตั้งกับกกต. ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกกต.ทุกระดับ ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์กรพีเน็ต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ พีเน็ต รอพบนางสดศรี อยู่ที่ชั้น 15 โดยมีสื่อมวลชนทุกแขนง รอพบเพื่อแถลงข่าวอยู่ด้วย แต่เจ้าหน้าที่ กกต.ก็ได้มาเชิญตัวแทนพีเน็ตขึ้นไปหารือกับ นางสดศรี ที่ห้องของนายสุเมธ บนชั้น 19 โดยไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปร่วมรับฟังด้วย
ภายหลังการหารือ 30 นาที นางสดศรี สัตยธรรม นายสมชัย จึงประเสริฐ และนายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ร่วมกันแถลงข่าวกับตัวแทนของพีเน็ตทั้งหมด อีกทั้งในการแถลงข่าวกกต.ได้นำเทปวิดิโอสัมภาษณ์นางสดศรี ออกมาเปิดและถอดคำสัมภาษณ์ออกมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย โดยคำสัมภาษณ์นางสดศรีระบุว่า “ในช่วงปีเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พีเน็ต ก็มาช่วย และได้รับเงินอุดหนุน จากกกต.ไป 80 ล้าน เรายังไม่ได้รับเท็จจริงการเคลียร์บัญชีต่างๆ ซึ่งตรงนี้ กกต.ก็ยังไม่ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของพีเน็ต เพราเห็นว่าหลายจังหวัด ก็ยังไม่ได้รับใบเสร็จ"
นางสดศรี กล่าวว่า ในการสัมภาษณ์วันนั้น เป็นการสอบถามของนักข่าวโดยที่ตนไม่ได้เตรียมพร้อม หากได้เตรียมตัวก่อนจะได้นำตัวเลขแท้จริงมาให้ดู ซึ่งยอมรับว่าได้ให้ข้อมูลตัวเลขที่ผิดไปในเรื่องเงินอุดหนุน โดยองค์กรพีเน็ตและองค์กรเอกชนอื่นๆ ได้รับเงินอุดหนุนในการเข้าตรวจสอบการเลือกตั้งทั้งหมด 92 ล้านบาทโดยเป็นการพูดในลักษณะที่เร่งรีบ ซึ่งชัดเจนว่า เป็นการเลือกตั้งในปี 43 และปี 44 ที่ยังไม่ได้มีการชำระบัญชี
ซึ่งทางพีเน็ตก็ได้โต้แย้งขึ้นมาทันทีว่า การเลือกตั้งในปี 43 และ 44 พีเน็ตได้มีการชำระบัญชีครบถ้วน มีหลักฐานเอกสารยืนยันชัดเจน ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ กกต.ชี้แจงขึ้นมาว่าเป็นการเลือกตั้งในปี ปี 48 และปี 49 ที่ยังไม่ได้รับการชำระบัญชี และนายสมชัย จากพีเน็ต ก็กล่าวยืนยันว่า การเลือกตั้งเมื่อปี 49 พีเน็ตไม่ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม โดย กกต.ขณะนั้นไม่มีความเป็นกลาง จึงบอยคอตไม่ร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้ง
ทั้งนี้ นายสุเมธ กกต. ซึ่งดูแลด้านการมีส่วนร่วม ได้ชี้แจงคำพูดนางสดศรี ว่า เมื่อตรวจสอบคำสัมภาษณ์และเอกสารของกกต.แล้ว ไม่มีคำพูด ตรงไหนของการถอดคำสัมภาษณ์ ที่พีเน็ตติดใจ รวมถึงในส่วนอื่นๆ กกต.ก็ขอโทษทั้งสองกรณี และขอแก้ข่าวว่า พีเน็ตไม่ได้รับเงิน 80 ล้านบาท และในการเลือกตั้งเมื่อปี 48 และ 49 พีเน็ต ไม่ได้ร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้ง จึงไม่ได้รับเงินอุดหนุนจาก กกต. ดังนั้นจึงไม่ต้องทำเอกสารชำระบัญชี
โดยหลังจากนายสุเมธ ได้กล่าวขอโทษ นายสมชัย จากพีเน็ตก็ได้สอบถามว่าการกล่าวขอโทษกล่าวแทนนางสดศรีใช่หรือไม่ นายสุเมธก็ตอบว่า “ใช่”
นอกจากนี้ กรณีที่พีเน็ตเรียกร้องให้กกต.ทำหนังสือชี้แจงไปยัง 5 องค์กรนั้น นายสมชัย จากกกต.กล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเฉพาะส่วนตัวของนางสดศรี แต่เมื่อพีเน็ตต้องการให้กกต.ทำเอกสารชี้แจงเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องขององค์กร ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว จึงต้องมีการหารือกันใน กกต. ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไรนั้น ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้
ทั้งนี้ นายสมชัย พีเน็ต กล่าวว่า เมื่อ กกต.ขอเวลาในการหารือเพื่อพิจารณาในการทำหนังสือถึง 5 องค์กร ซึ่งพีเน็ตก็เชื่อว่าน่าจะได้คำตอบในไม่นานนี้ โดยข้อเสนอทั้งหมดพีเน็ต จะไม่ลดหย่อนให้แม้แต่ข้อเดียว โดยหากกกต.ไม่ทำตามข้อเสนอของพีเน็ต คาดว่าจะต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 80 ล้านบาท โดยพีเน็ต จะมีการประชุมกรรมการภายในองค์กรในสัปดาห์หน้า และรอดูท่าทีของ กกต.อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเวลาที่กกต.และพีเน็ตทำความเข้าใจกันนั้น นางสดศรีไม่ได้กล่าวขอโทษหรือชี้แจงความเข้าใจแต่อย่างใด แต่ก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียด โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายสมชัย และนายสุเมธ เป็นฝ่ายทำความเข้าใจแทน
เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (12 ก.ย.) มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) นำโดย พล.อ.สายหยุด เกิดผล รองประธานมูลนิธิองค์กรกลาง นายวรินทร์ เทียมจรัส เลขานุการองค์กรกลาง นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้ประสานงานองค์กรกลาง และคณะเดินทางมายังสำนักงาน กกต. เพื่อขอพบ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. เพื่อให้ชี้แจง กรณีที่ออกมาระบุว่า พีเน็ต ได้รับเงินจาก กกต.ในการตรวจสอบการเลือกตั้งในปี 49 จำนวน 80 ล้านบาท แต่ยังชำระบัญชีค่าใช้จ่าย
นายสมชัย กล่าวว่า องค์กรพีเน็ต ไม่เคยของบสนับสนุนจากการตรวจสอบการเลือกตั้ง มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 44 ดังนั้นการที่นางสดศรี ออกมาระบุว่า พีเน็ต ยังไม่เคลียร์ค่าใช้จ่าย ทำให้พีเน็ต ถูกมองว่าทำงานอย่างไม่โปร่งใส ซึ่งเป็นการกล่าวเท็จ และเจตนาใส่ร้ายให้เกิดความไม่น่าเชื่อ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่าง กกต. และพีเนต นอกจากนี้ การที่นางสดศรี กล่าวหาว่า ที่ผ่านมาพีเน็ต ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เป็นการเชื่อมโยงกับการกล่าวหาเรื่องที่พีเน็ต ของบสนับสนุนการตรวจสอบการเลือกตั้ง 80 ล้านบาท จึงขอให้นางสดศรีรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วย
ทั้งนี้ พีเน็ต ขอเรียกร้องให้กกต. ดำเนินการ 3 ข้อ 1. ขอให้กกต. ขอโทษต่อหน้าสื่อมวลชน ว่าที่นางสดศรีให้สัมภาษณ์นั้นไม่เป็นจริง 2. ให้กกต.ตรวจสอบว่าองค์กร 180 องค์กรที่ทำงานร่วมกับ กกต. มีองค์กรไหนบ้างที่มีปัญหา และไม่มีประสิทธิภาพ 3.ใช้กลไกของ กกต.ทำหนังสือชี้แจงไปยัง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พรรคการเมืองทุกพรรค สื่อมวลชน องค์กรเอกชนที่จดทะเบียนร่วมตรวจสอบการเลือกตั้งกับกกต. ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกกต.ทุกระดับ ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์กรพีเน็ต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ พีเน็ต รอพบนางสดศรี อยู่ที่ชั้น 15 โดยมีสื่อมวลชนทุกแขนง รอพบเพื่อแถลงข่าวอยู่ด้วย แต่เจ้าหน้าที่ กกต.ก็ได้มาเชิญตัวแทนพีเน็ตขึ้นไปหารือกับ นางสดศรี ที่ห้องของนายสุเมธ บนชั้น 19 โดยไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปร่วมรับฟังด้วย
ภายหลังการหารือ 30 นาที นางสดศรี สัตยธรรม นายสมชัย จึงประเสริฐ และนายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ร่วมกันแถลงข่าวกับตัวแทนของพีเน็ตทั้งหมด อีกทั้งในการแถลงข่าวกกต.ได้นำเทปวิดิโอสัมภาษณ์นางสดศรี ออกมาเปิดและถอดคำสัมภาษณ์ออกมา เพื่อให้เกิดความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย โดยคำสัมภาษณ์นางสดศรีระบุว่า “ในช่วงปีเลือกตั้งครั้งที่แล้ว พีเน็ต ก็มาช่วย และได้รับเงินอุดหนุน จากกกต.ไป 80 ล้าน เรายังไม่ได้รับเท็จจริงการเคลียร์บัญชีต่างๆ ซึ่งตรงนี้ กกต.ก็ยังไม่ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของพีเน็ต เพราเห็นว่าหลายจังหวัด ก็ยังไม่ได้รับใบเสร็จ"
นางสดศรี กล่าวว่า ในการสัมภาษณ์วันนั้น เป็นการสอบถามของนักข่าวโดยที่ตนไม่ได้เตรียมพร้อม หากได้เตรียมตัวก่อนจะได้นำตัวเลขแท้จริงมาให้ดู ซึ่งยอมรับว่าได้ให้ข้อมูลตัวเลขที่ผิดไปในเรื่องเงินอุดหนุน โดยองค์กรพีเน็ตและองค์กรเอกชนอื่นๆ ได้รับเงินอุดหนุนในการเข้าตรวจสอบการเลือกตั้งทั้งหมด 92 ล้านบาทโดยเป็นการพูดในลักษณะที่เร่งรีบ ซึ่งชัดเจนว่า เป็นการเลือกตั้งในปี 43 และปี 44 ที่ยังไม่ได้มีการชำระบัญชี
ซึ่งทางพีเน็ตก็ได้โต้แย้งขึ้นมาทันทีว่า การเลือกตั้งในปี 43 และ 44 พีเน็ตได้มีการชำระบัญชีครบถ้วน มีหลักฐานเอกสารยืนยันชัดเจน ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ กกต.ชี้แจงขึ้นมาว่าเป็นการเลือกตั้งในปี ปี 48 และปี 49 ที่ยังไม่ได้รับการชำระบัญชี และนายสมชัย จากพีเน็ต ก็กล่าวยืนยันว่า การเลือกตั้งเมื่อปี 49 พีเน็ตไม่ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม โดย กกต.ขณะนั้นไม่มีความเป็นกลาง จึงบอยคอตไม่ร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้ง
ทั้งนี้ นายสุเมธ กกต. ซึ่งดูแลด้านการมีส่วนร่วม ได้ชี้แจงคำพูดนางสดศรี ว่า เมื่อตรวจสอบคำสัมภาษณ์และเอกสารของกกต.แล้ว ไม่มีคำพูด ตรงไหนของการถอดคำสัมภาษณ์ ที่พีเน็ตติดใจ รวมถึงในส่วนอื่นๆ กกต.ก็ขอโทษทั้งสองกรณี และขอแก้ข่าวว่า พีเน็ตไม่ได้รับเงิน 80 ล้านบาท และในการเลือกตั้งเมื่อปี 48 และ 49 พีเน็ต ไม่ได้ร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้ง จึงไม่ได้รับเงินอุดหนุนจาก กกต. ดังนั้นจึงไม่ต้องทำเอกสารชำระบัญชี
โดยหลังจากนายสุเมธ ได้กล่าวขอโทษ นายสมชัย จากพีเน็ตก็ได้สอบถามว่าการกล่าวขอโทษกล่าวแทนนางสดศรีใช่หรือไม่ นายสุเมธก็ตอบว่า “ใช่”
นอกจากนี้ กรณีที่พีเน็ตเรียกร้องให้กกต.ทำหนังสือชี้แจงไปยัง 5 องค์กรนั้น นายสมชัย จากกกต.กล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเฉพาะส่วนตัวของนางสดศรี แต่เมื่อพีเน็ตต้องการให้กกต.ทำเอกสารชี้แจงเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องขององค์กร ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว จึงต้องมีการหารือกันใน กกต. ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไรนั้น ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้
ทั้งนี้ นายสมชัย พีเน็ต กล่าวว่า เมื่อ กกต.ขอเวลาในการหารือเพื่อพิจารณาในการทำหนังสือถึง 5 องค์กร ซึ่งพีเน็ตก็เชื่อว่าน่าจะได้คำตอบในไม่นานนี้ โดยข้อเสนอทั้งหมดพีเน็ต จะไม่ลดหย่อนให้แม้แต่ข้อเดียว โดยหากกกต.ไม่ทำตามข้อเสนอของพีเน็ต คาดว่าจะต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 80 ล้านบาท โดยพีเน็ต จะมีการประชุมกรรมการภายในองค์กรในสัปดาห์หน้า และรอดูท่าทีของ กกต.อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเวลาที่กกต.และพีเน็ตทำความเข้าใจกันนั้น นางสดศรีไม่ได้กล่าวขอโทษหรือชี้แจงความเข้าใจแต่อย่างใด แต่ก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียด โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายสมชัย และนายสุเมธ เป็นฝ่ายทำความเข้าใจแทน