ในบรรดาผู้ที่มีรายได้ในรูปของเงิน รวมถึงผู้มีรายได้ในรูปของค่าจ้างเป็นรายเดือน หรือที่เรียกกันว่ามนุษย์เงินเดือนนั้น ข้าราชการประจำรวมไปถึงลูกจ้างและพนักงานในองค์กรของรัฐทุกประเภทที่มีรายได้เพิ่มขึ้นปีละครั้ง ด้วยการขึ้นเงินเดือนและค่าจ้างประจำปี ซึ่งปกติจะมีการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนในเดือนกันยายน อันเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ
นอกจากมีการขึ้นเงินเดือนและค่าจ้างประจำปีแล้ว เดือนกันยายนจะเป็นฤดูกาลแห่งการโยกย้ายและแต่งตั้งข้าราชการ และพนักงานในองค์กรของรัฐด้วย
ดังนั้นจึงถือได้ว่าเดือนกันยายนของทุกปีเป็นเดือนแห่งความสุขและความทุกข์ของข้าราชการ และพนักงานในองค์กรของรัฐ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ในการเลื่อนขั้นเงินเดือนจะมีคนที่ได้รับผลทั้งในด้านลบและบวก สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ได้รับการขึ้นเงินเดือน และไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน
ในกลุ่มที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนก็ยังมีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ได้รับการขึ้น 1 ขั้น และเกิน 1 ขั้น คือ ขั้นครึ่ง และ 2 ขั้น กลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีความสุขกับเดือนกันยายน
ในทำนองเดียวกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อยตามเหตุแห่งการไม่ได้ขึ้นเงินเดือน เนื่องจากเงินเดือนตันหรือเต็มขั้นสูงสุดของตำแหน่งที่ดำรงอยู่ และไม่ได้ขึ้นเงินเดือนเนื่องจากมีความผิดหรืออยู่ในระหว่างถูกสอบสวน เพราะถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด คนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีความทุกข์ในเดือนกันยายน
2. ในเดือนกันยายนนอกจากจะเป็นเดือนที่มีการเลื่อนขั้นเงินเดือนแล้ว ยังเป็นเดือนแห่งการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อไปรับตำแหน่งใหม่ของข้าราชการ และพนักงานในองค์กรของรัฐด้วย
ดังนั้นเดือนกันยายน จึงเป็นเดือนแห่งความสุขและความทุกข์ของผู้ที่ถูกโยกย้าย และได้รับการแต่งตั้งด้วย ในทำนองเดียวกันกับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในการโยกย้ายและแต่งตั้งบุคคลในภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือแม้กระทั่งองค์กรของรัฐอื่นใดนอกจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ก็จะมีทั้งระบบอุปถัมภ์ และระบบคุณธรรมเข้าไปเกี่ยวข้องผสมผสานปนเปกันไป ส่วนว่าระบบไหนจะมีมากหรือน้อยในองค์กรใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ พฤติกรรมปัจเจกของผู้นำ และวัฒนธรรมองค์กรอันถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมองค์กรโดยรวม
2. บุคคลที่อยู่ในข่ายถูกโยกย้าย และได้รับการแต่งตั้งมีมากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับตำแหน่งที่จะรองรับการโยกย้ายแต่งตั้ง กล่าวคือ ถ้าบุคลากรมีน้อยกว่าตำแหน่งการโยกย้าย และแต่งตั้งให้บุคคลดำรงตำแหน่งสูงขึ้นเป็นการให้รางวัลคนทำดีมีผลงานก็กระทำได้ง่าย
แต่ถ้าจำนวนบุคลากรมีมากกว่าตำแหน่ง ทั้งคุณสมบัติของแต่ละคนใกล้เคียงกับการโยกย้าย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นก็กระทำได้ยาก
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ผู้ที่ได้รับตำแหน่งสูงขึ้นก็จัดอยู่ในกลุ่มของคนมีความสุขในเดือนกันยายน ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้น รวมไปถึงผู้ที่ถูกโยกย้ายและแต่งตั้งในตำแหน่งที่เท่าเดิมหรือแย่กว่าเดิม จะจัดอยู่ในกลุ่มคนที่มีความทุกข์ในเดือนกันยายน
อะไรคือหลักเกณฑ์ในการโยกย้าย และแต่งตั้งบุคคลในส่วนของภาครัฐ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าไปถามท่านที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านบริหารงานบุคคล ไม่ว่าในภาครัฐหรือในภาคเอกชน ก็จะได้รับคำตอบเดียวกันว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ในรอบปีงบประมาณที่ผ่านมา ทำงานมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลเป็นประโยชน์แก่องค์กร และถ้าเป็นภาคเอกชนก็จะพิจารณาความคุ้มค่าแก่เงินลงทุน ทั้งในส่วนของงบทำการ และงบลงทุนเพิ่มเข้ามาด้วย
2. มีความประพฤติดีอยู่ในระเบียบวินัย และข้อบังคับ เช่น ไม่ขาดงาน และไม่มาทำงานสายบ่อยๆ เป็นต้น
จากปัจจัย 2 ข้อดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นการยึดหลักคุณธรรม (Merit System) นั่นเอง
แต่ในความเป็นจริง ทั้งในส่วนของภาครัฐ และเอกชนยังมีระบบอุปถัมภ์เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ นอกจากดูที่ผลงานและความมีระเบียบวินัยแล้ว ยังนำเอาความเป็นพวกพ้องของตนเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และในบางแห่งหรือหลายแห่งในหน่วยงานของรัฐ ความเป็นคนของใครจะมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัย 2 ข้ออันถือได้ว่าเป็นระบบคุณธรรมด้วยซ้ำไป
ดังนั้นถ้าบังเอิญในหน่วยงานใดในเดือนกันยายน 2550 ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ก็คงจะไม่แตกต่างไปจากเดือนกันยายนของทุกๆ ปีที่ผ่านมา
แต่เดือนกันยายนนี้อาจจะมีอะไรแปลกใหม่ และเป็นเดือนที่ทำให้คนไทยที่สนใจเหตุการณ์บ้านเมืองใจจดใจจ่ออยู่กับการโยกย้ายแต่งตั้งในกองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งมีผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการแต่งตั้งเท่าที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้เพียง 3 คน คือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ส่วนว่าใครจะได้รับการแต่งตั้งนั้น คงจะทราบกันในไม่ช้านี้
การพิจารณาความดีความชอบไม่ว่าในเรื่องของการเลื่อนขั้นเงินเดือน หรือโยกย้ายแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นได้ใช้ระบบอุปถัมภ์มากกว่าคุณธรรม เดือนกันยายนจะเป็นเดือนแห่งความทุกข์ใจของคนทำงานดีแต่ไม่มีเส้นสายเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากเดือนกันยายนจะเป็นเดือนแห่งการขึ้นเงินเดือน และการโยกย้ายแต่งตั้งแล้ว ยังเป็นเดือนแห่งการปลดเกษียณของข้าราชการ และพนักงานของรัฐอีกด้วย และมีข้าราชการรวมถึงพนักงานของรัฐจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากออกจากงาน จะด้วยเบื่อที่จะอยู่ว่างๆ หรือจะด้วยเสียดายเงินเดือนค่าจ้างก็ตาม คนเหล่านี้จะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นทุกข์ในเดือนกันยายนเช่นกัน
แต่ที่บอกว่าแปลกก็ด้วยเหตุว่าโดยปกติการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการควรจะลงตัว และนำเสนอเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโยกย้ายตามลำดับขั้นตอน ควรจะเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ และถึงแม้ว่าจะไม่เรียบร้อยก็จะไม่มีข่าวสับสนว่าจะเป็นคนนั้นเป็นคนนี้รายวันเหมือนกับที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ด้วยเหตุและผลในเชิงตรรกศาสตร์ดังต่อไปนี้
1. ในระบบราชการไม่ว่าในส่วนของข้าราชการพลเรือนหรือทหาร การพิจารณาให้ความดีความชอบจะใช้หลักเดียวคือ ดูที่ผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และดูความเป็นคนมีระเบียบวินัยเป็นปัจจัยประกอบ จึงไม่น่าจะเป็นการยากที่จะเลือก 1 ใน 3 ให้ดำรงตำแหน่ง เพราะแต่ละท่านที่เป็นคู่แข่งก็มีผลงาน และความมีระเบียบวินัยให้พิจารณาได้ไม่ยากอยู่แล้ว
2. ถึงแม้จะมีระเบียบและวิธีปฏิบัติในการพิจารณาให้ความดีความชอบอยู่แล้ว
แต่ต้องยอมรับว่าในภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการหรือพนักงานในองค์กรของรัฐอื่นใด ได้ถูกอิทธิพลทางการเมืองเข้าแทรกแซงอย่างมากในบางสมัยอาจเรียกได้ว่าถูกครอบงำด้วยซ้ำไป และนี่เองคือปัจจัยหลักที่ทำให้ระบบคุณธรรมอ่อนด้อยลงไป
อย่างไรก็ตาม ในยุคที่รัฐบาลซึ่งเข้ามาด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และมีการอ้างเหตุในการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมว่าต้องการมาแก้ไขความไม่ชอบธรรม จึงไม่น่าจะปล่อยให้การเมืองเข้าไปครอบงำการแต่งตั้งข้าราชการ และพนักงานในองค์กรของรัฐ จนทำให้ระบบคุณธรรมอ่อนด้อยลงไป
นอกจากมีการขึ้นเงินเดือนและค่าจ้างประจำปีแล้ว เดือนกันยายนจะเป็นฤดูกาลแห่งการโยกย้ายและแต่งตั้งข้าราชการ และพนักงานในองค์กรของรัฐด้วย
ดังนั้นจึงถือได้ว่าเดือนกันยายนของทุกปีเป็นเดือนแห่งความสุขและความทุกข์ของข้าราชการ และพนักงานในองค์กรของรัฐ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ในการเลื่อนขั้นเงินเดือนจะมีคนที่ได้รับผลทั้งในด้านลบและบวก สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ได้รับการขึ้นเงินเดือน และไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน
ในกลุ่มที่ได้รับการขึ้นเงินเดือนก็ยังมีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ได้รับการขึ้น 1 ขั้น และเกิน 1 ขั้น คือ ขั้นครึ่ง และ 2 ขั้น กลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีความสุขกับเดือนกันยายน
ในทำนองเดียวกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อยตามเหตุแห่งการไม่ได้ขึ้นเงินเดือน เนื่องจากเงินเดือนตันหรือเต็มขั้นสูงสุดของตำแหน่งที่ดำรงอยู่ และไม่ได้ขึ้นเงินเดือนเนื่องจากมีความผิดหรืออยู่ในระหว่างถูกสอบสวน เพราะถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด คนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่มีความทุกข์ในเดือนกันยายน
2. ในเดือนกันยายนนอกจากจะเป็นเดือนที่มีการเลื่อนขั้นเงินเดือนแล้ว ยังเป็นเดือนแห่งการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อไปรับตำแหน่งใหม่ของข้าราชการ และพนักงานในองค์กรของรัฐด้วย
ดังนั้นเดือนกันยายน จึงเป็นเดือนแห่งความสุขและความทุกข์ของผู้ที่ถูกโยกย้าย และได้รับการแต่งตั้งด้วย ในทำนองเดียวกันกับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ในการโยกย้ายและแต่งตั้งบุคคลในภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือแม้กระทั่งองค์กรของรัฐอื่นใดนอกจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ก็จะมีทั้งระบบอุปถัมภ์ และระบบคุณธรรมเข้าไปเกี่ยวข้องผสมผสานปนเปกันไป ส่วนว่าระบบไหนจะมีมากหรือน้อยในองค์กรใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ พฤติกรรมปัจเจกของผู้นำ และวัฒนธรรมองค์กรอันถือได้ว่าเป็นพฤติกรรมองค์กรโดยรวม
2. บุคคลที่อยู่ในข่ายถูกโยกย้าย และได้รับการแต่งตั้งมีมากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับตำแหน่งที่จะรองรับการโยกย้ายแต่งตั้ง กล่าวคือ ถ้าบุคลากรมีน้อยกว่าตำแหน่งการโยกย้าย และแต่งตั้งให้บุคคลดำรงตำแหน่งสูงขึ้นเป็นการให้รางวัลคนทำดีมีผลงานก็กระทำได้ง่าย
แต่ถ้าจำนวนบุคลากรมีมากกว่าตำแหน่ง ทั้งคุณสมบัติของแต่ละคนใกล้เคียงกับการโยกย้าย และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นก็กระทำได้ยาก
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ผู้ที่ได้รับตำแหน่งสูงขึ้นก็จัดอยู่ในกลุ่มของคนมีความสุขในเดือนกันยายน ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่สูงขึ้น รวมไปถึงผู้ที่ถูกโยกย้ายและแต่งตั้งในตำแหน่งที่เท่าเดิมหรือแย่กว่าเดิม จะจัดอยู่ในกลุ่มคนที่มีความทุกข์ในเดือนกันยายน
อะไรคือหลักเกณฑ์ในการโยกย้าย และแต่งตั้งบุคคลในส่วนของภาครัฐ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าไปถามท่านที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านบริหารงานบุคคล ไม่ว่าในภาครัฐหรือในภาคเอกชน ก็จะได้รับคำตอบเดียวกันว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. ในรอบปีงบประมาณที่ผ่านมา ทำงานมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลเป็นประโยชน์แก่องค์กร และถ้าเป็นภาคเอกชนก็จะพิจารณาความคุ้มค่าแก่เงินลงทุน ทั้งในส่วนของงบทำการ และงบลงทุนเพิ่มเข้ามาด้วย
2. มีความประพฤติดีอยู่ในระเบียบวินัย และข้อบังคับ เช่น ไม่ขาดงาน และไม่มาทำงานสายบ่อยๆ เป็นต้น
จากปัจจัย 2 ข้อดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นการยึดหลักคุณธรรม (Merit System) นั่นเอง
แต่ในความเป็นจริง ทั้งในส่วนของภาครัฐ และเอกชนยังมีระบบอุปถัมภ์เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ นอกจากดูที่ผลงานและความมีระเบียบวินัยแล้ว ยังนำเอาความเป็นพวกพ้องของตนเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และในบางแห่งหรือหลายแห่งในหน่วยงานของรัฐ ความเป็นคนของใครจะมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัย 2 ข้ออันถือได้ว่าเป็นระบบคุณธรรมด้วยซ้ำไป
ดังนั้นถ้าบังเอิญในหน่วยงานใดในเดือนกันยายน 2550 ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ก็คงจะไม่แตกต่างไปจากเดือนกันยายนของทุกๆ ปีที่ผ่านมา
แต่เดือนกันยายนนี้อาจจะมีอะไรแปลกใหม่ และเป็นเดือนที่ทำให้คนไทยที่สนใจเหตุการณ์บ้านเมืองใจจดใจจ่ออยู่กับการโยกย้ายแต่งตั้งในกองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งมีผู้ที่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการแต่งตั้งเท่าที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้เพียง 3 คน คือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ส่วนว่าใครจะได้รับการแต่งตั้งนั้น คงจะทราบกันในไม่ช้านี้
การพิจารณาความดีความชอบไม่ว่าในเรื่องของการเลื่อนขั้นเงินเดือน หรือโยกย้ายแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นได้ใช้ระบบอุปถัมภ์มากกว่าคุณธรรม เดือนกันยายนจะเป็นเดือนแห่งความทุกข์ใจของคนทำงานดีแต่ไม่มีเส้นสายเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากเดือนกันยายนจะเป็นเดือนแห่งการขึ้นเงินเดือน และการโยกย้ายแต่งตั้งแล้ว ยังเป็นเดือนแห่งการปลดเกษียณของข้าราชการ และพนักงานของรัฐอีกด้วย และมีข้าราชการรวมถึงพนักงานของรัฐจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากออกจากงาน จะด้วยเบื่อที่จะอยู่ว่างๆ หรือจะด้วยเสียดายเงินเดือนค่าจ้างก็ตาม คนเหล่านี้จะเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นทุกข์ในเดือนกันยายนเช่นกัน
แต่ที่บอกว่าแปลกก็ด้วยเหตุว่าโดยปกติการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการควรจะลงตัว และนำเสนอเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโยกย้ายตามลำดับขั้นตอน ควรจะเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ และถึงแม้ว่าจะไม่เรียบร้อยก็จะไม่มีข่าวสับสนว่าจะเป็นคนนั้นเป็นคนนี้รายวันเหมือนกับที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ด้วยเหตุและผลในเชิงตรรกศาสตร์ดังต่อไปนี้
1. ในระบบราชการไม่ว่าในส่วนของข้าราชการพลเรือนหรือทหาร การพิจารณาให้ความดีความชอบจะใช้หลักเดียวคือ ดูที่ผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และดูความเป็นคนมีระเบียบวินัยเป็นปัจจัยประกอบ จึงไม่น่าจะเป็นการยากที่จะเลือก 1 ใน 3 ให้ดำรงตำแหน่ง เพราะแต่ละท่านที่เป็นคู่แข่งก็มีผลงาน และความมีระเบียบวินัยให้พิจารณาได้ไม่ยากอยู่แล้ว
2. ถึงแม้จะมีระเบียบและวิธีปฏิบัติในการพิจารณาให้ความดีความชอบอยู่แล้ว
แต่ต้องยอมรับว่าในภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการหรือพนักงานในองค์กรของรัฐอื่นใด ได้ถูกอิทธิพลทางการเมืองเข้าแทรกแซงอย่างมากในบางสมัยอาจเรียกได้ว่าถูกครอบงำด้วยซ้ำไป และนี่เองคือปัจจัยหลักที่ทำให้ระบบคุณธรรมอ่อนด้อยลงไป
อย่างไรก็ตาม ในยุคที่รัฐบาลซึ่งเข้ามาด้วยการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และมีการอ้างเหตุในการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรมว่าต้องการมาแก้ไขความไม่ชอบธรรม จึงไม่น่าจะปล่อยให้การเมืองเข้าไปครอบงำการแต่งตั้งข้าราชการ และพนักงานในองค์กรของรัฐ จนทำให้ระบบคุณธรรมอ่อนด้อยลงไป