xs
xsm
sm
md
lg

พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

บ้านเมืองของเรามันชักจะไปกันใหญ่แล้ว! ไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว

บางทีบางพวกดูเหมือนจะเป็นเทวดาไปหมด ในขณะที่คนที่มีอำนาจหน้าที่ก็เป็นหัวหลักหัวตอที่พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ ว่าอะไรมันผิดอะไรมันถูกในบ้านนี้เมืองนี้ นอกจากพูดไปบ่นไปตามความคิดเห็นของตัวเอง พูดไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดต้องอ่านอะไร โกหกบ้างตอแหลบ้างก็ว่าไป

เมื่อก่อนนั้นพรรคพวกบางคนก็เป็นคอมมิวนิสต์ ในขณะที่บางคนก็เป็นพวกต่อต้านฆ่าฟันคอมมิวนิสต์ที่มองเห็นว่าจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้ แต่ตอนนี้ทุกฝ่ายก็เหมือนหมูเหมือนหมาที่สุมหัวกันดูดเศษซากอาหารในกระบะเดียวกัน

หนักไปกว่านั้น ก็ดูเหมือนการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งทางทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งจะต้องเลื่อนตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ.มีอยู่ด้วยกัน 3 คน แต่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นว่าคนหนึ่งเป็นไม่ได้ เพราะไม่ใช่พรรคพวกของเจ้านายคนก่อนหรือสมุนของเจ้านายคนก่อน และไม่ได้ตกลงต่อรองกันเอาไว้ก็ถูกเฉดหัวออกไป หรืออ้างว่าถ้าอยู่เพื่อกินตำแหน่งก็ได้เพียงปีเดียว ซึ่งความจริงมันไม่ได้มีปัญหาที่คนจะมีโอกาสได้เป็นอะไรจะกี่ปีหรือไม่กี่วันก็ตาม ถ้าจะให้มันเป็น

พรรคพวกหลายคนพากันบ่นอุบที่บังเอิญพากันเกิดมาอยู่ในยุคนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าอะไรต่ออะไรทุกอย่างที่แวดล้อมตัวอยู่มันไร้สาระเละเทะไปหมด

ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรที่จะเชื่อถือได้ มีแต่อวดวิเศษของคนทุกฝ่าย และทุกคนจ้องกันอยู่ที่ว่าจะมีพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ไหนที่สามารถมีอำนาจ และทำการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อหาเงินหาทองมางาบใช้กันบ้าง เพราะเงินทุกวันนี้เริ่มหาง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อนเพราะเรามีขบวนการมหาโจรที่เกิดมาพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากพร้อมที่จะหลอกลวงและหากินกันได้โดยการเป็นทหารการเมือง และที่สำคัญก็คือการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่ที่สามารถจะหาเงินได้อย่างที่ผู้มีบุญมีอำนาจวุ่นวายกันอยู่ทุกซอกทุกมุมของแผ่นดินไทย

เป็นเรื่องแปลกและมีแบบอย่างมากมายที่ทุกวันนี้จะหาคนเข้ามาจัดการบ้านเมืองของผู้คนที่อยู่กันอย่างมีความหมายไม่ได้ เฉพาะคนที่มีความเป็นลูกผู้ชายอย่างคนสมัยโบราณเคยมี

บางทีบางครั้งก็รู้สึกเหมือนกับว่าคนไทยทุกวันนี้เป็นคนเก่งและดีที่สุด มีความสามารถแทบจะเดินหลีกกันไม่พ้นเอาทีเดียว บางทีก็ดูเหมือนว่าทุกคนที่เดินชนกันอยู่ทุกวันนี้มันชั่วหรือเป็นอ้ายงั่งไปหมด ไม่ใช่ผู้ใช่คน

คนไทยที่รู้จักยางอายพอมองเห็นได้

ไม่ใช่ดื้อด้านและกะล่อนไปวันๆ อย่างที่มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองทุกวันนี้เฉพาะพูดออกมาโดยไม่รับผิดชอบและไม่มีสัตย์!


เมืองไทยเป็นเมืองที่อยู่กันด้วยการปฏิวัติของทหารทุกคนมีอุดมการณ์อย่างเดียวกันคือการหาช่องทางที่จะทำตัวเองให้เป็นใหญ่เป็นโต ซึ่งไม่ว่าจะดีหรือเลวในสายตาของคนไทยคนใดก็ตาม แต่ในกลุ่มคณะปฏิวัติก็ยังพอมีบางคนที่พอหวังพึ่งได้บ้างถึงจะไม่ทำชั่วถึงที่สุด

ในการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันทำปฏิวัติขึ้นมาโดยอาศัยจังหวะที่รัฐบาลชุดเก่ากำลังเตรียมตัวจะฉิบหาย และหาแผ่นดินซุกหัวนอนในฐานะสัมภเวสีที่ต้องแสวงหาที่เกิดไปเรื่อยๆ รายนั้น ปรากฏว่ามีนายทหารที่มียศสูงสุดถึงพลเอกกันดารดาษแผ่นดินไปหมด นักปฏิวัติเหล่านี้ได้สร้างความตื่นเต้นและสร้างความพอใจอันใหญ่หลวงให้แก่คนไทยทั้งชาติ โดยการประกาศออกมาว่าจำเป็นจะต้องโค่นล้มหรือต้องขับไล่มนุษย์พวกนั้นออกไปให้พ้น นอกเหนือจากความทรุดโทรมของบ้านเมืองทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคมทุกด้าน เฉพาะความเลวร้ายของรัฐบาลมหาวิบัตินั้น มีความผิดฉกรรจ์ถึง 4 ประการดังที่รู้กันอยู่ เฉพาะ 2 ประการคือการกระทำอันเป็นเสมือนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกประการหนึ่งก็คือการคอร์รัปชันอันอึกทึกมโหฬารในชาติซึ่งนักปฏิวัติกลุ่มนี้จะต้องจัดการชำระสะสางให้บ้านเมืองสะอาดขึ้นเพราะนักปฏิวัติเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนรักชาติแทบขาดใจ คนไทยต่างก็ตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีหรือทุกคนพร้อมที่จะให้การสนับสนุนด้วยชีวิต

แต่ให้ตายเถอะ หลังจากประชาชนไชโยโห่ร้องให้การสนับสนุนและเห็นชอบชนิดยอมมอบกายถวายชีวิตให้อย่างที่ว่านี้ จนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลาเกือบครบ 1 ปีแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้ำลายที่บุคคลในคณะปฏิวัติพ่นออกมาอย่างไม่อายฟ้าดินนั้น ไม่มีอะไรที่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นสมหวัง

ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจากสิ่งที่มีติดตัวกันมาตั้งแต่ลืมตาเกิดนั่นคือ “ขี้กับไส้!”

ขณะที่ผมกำลังเขียนเรื่องนี้อยู่ ทางด้านหลังโต๊ะทำงานของผมมีเสียงรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งกำลังรายงานข่าวเกี่ยวกับการคอร์รัปชันที่ไม่น่าเชื่อว่าต่อไปนี้เมืองไทยจะปกครองอยู่กินกันอย่างไร เพราะทุกหนทุกแห่งจะเป็นเรื่องการคอร์รัปชันเป็นหมื่นล้านพันล้านทุกวันทุกเวลา

โครงการที่น่าอัศจรรย์ก็คือการขโมยข้าวของทางราชการที่เก็บไว้ในยุ้งฉางของเจ้าของข้าวจำนวนพันๆ หมื่นๆ ตัน โดยนำไปขายติดต่อกันมาเป็นเวลาแรมปี แต่ไม่มีคนรู้คนเห็นว่ามันเอาไปขายได้ยังไง หรือขนออกไปจากยุ้งฉางที่เอาข้าวไปฝากไว้นั้น ไม่ใช่ไม้จิ้มฟัน ไม่ใช่กรวดทราย แต่มันเป็นกระสอบข้าวเป็นร้อยตันพันตันซึ่งจะต้องใช้รถบรรทุก และเราก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นผู้ดูแลรักษา แต่ไม่มีหน่วยงานใดรู้เห็น

ข้าราชการหรือผู้มีบุญวาสนาในบ้านเมืองทุกวันนี้หลับหูหลับตาทำอะไรกันอยู่?

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องใหญ่โตก็คือการเอาแผ่นดิน ท้องทะเล และคนในจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรีไปขายให้นักลงทุนต่างชาติที่พากันเข้ามาทำลายบ้านเมืองและผู้คนเป็นแสนเป็นล้านที่เคยอยู่กินและเกิดในบริเวณนั้น พร้อมกับที่มีชาติไทยเกิดขึ้นมา นั่นคือ การยอมอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในบริเวณจังหวัดระยอง จันทบุรี และภาคตะวันออกทั้งหมด เฉพาะอย่างยิ่งโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันและถ่านหินที่มีจำนวนคนเป็นแสนคนรวมตัวกันเข้ามาประท้วงกันอยู่อึกทึกครึกโครมแถวนั้นแทบจะแตกทลายลงไป เพราะการยอมอนุญาตให้นายทุนต่างชาติเข้ามาสร้างโรงงาน ความเจริญของผู้คนและบ้านเมืองของไทยนั้นมันไม่อยู่ที่การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมอย่างที่ทำกันอยู่และมีปัญหากันอยู่ แต่จำเป็นที่ผู้มีอำนาจวาสนาจะต้องใช้สิทธิและความคิดเห็นของตัวเองอนุมัติให้โรงงานจัดตั้งขึ้น เหตุผลที่เหนือกว่าเหตุผลใดๆ นั้นก็คือการขายชาติไทยและขายคนไทยให้แก่ชาวต่างชาติ อุตสาหกรรมต่างประเทศที่คนอนุญาตและพรรคพวกที่ร่วมหอลงโรงร่วมมือกันก่อกรรมทำเข็ญแก่คนไทยที่กำลังทำอยู่นี้ เช่นเดียวกันกับชาวไร่ชาวนาไทยทั่วประเทศยากจนสาหัส แต่ทางบ้านเมืองบางแห่งก็พร้อมที่จะขวนขวายให้มีการสร้างรถไฟฟ้าขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรอื่นนอกจากได้เงินค่านายหน้าหรือค่าใบอนุญาตถึง 30-38 เปอร์ซ็นต์ทุกโครงการ โครงการฆ่าคนไทยที่มันอนุมัติกันไปแล้วนั้นเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านบาท มันจึงหยุดยั้งไม่ได้ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร

การได้รับอนุญาตให้รีบสร้างมันขึ้นนั้นหมายถึงความร่ำรวยอันมหาศาลของคนไทยเหล่านี้

แต่การทำลายล้างคนไทยและแผ่นดินไทยอันสาหัสเหล่านี้จะไม่มีนักปฏิวัติคนไหนมาคัดค้านหรือเอ่ยปากขัดขวาง ทั้งๆ ที่มีอำนาจล้นฟ้า

ต่อไปเกิดมาเป็นคนไทยจะเกิดมาทำไมกัน

แต่มันก็เกิดกันมาแล้วและยังต้องเป็นคนไทยกันอยู่ ก็จะต้องหาวิธีอยู่กันให้มันมีราคาค่างวดขึ้นมาให้สามารถที่พอจะอยู่กันได้ นั่นคือ บทความชิ้นนี้ที่พยายามให้ความคิดความเห็นและจำเป็นที่จะต้องเอ่ยถึงลูกผู้ชายไทยในคณะปฏิวัติ 2 คนที่ยังเหลืออยู่ นั่นคือ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เ ก่งเรียนกับอีกท่านหนึ่งคือ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่พอจะมีค่าสำหรับคนไทยที่จะพูดถึงกันได้

การปฏิวัติของทหารกลุ่มหนึ่งเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นการปฏิวัติที่มีความหมายมากสำหรับประเทศไทย เพราะได้มีการประกาศบอกกล่าวแก่ปวงชนชาวไทยว่าคณะปฏิวัติและรัฐบาลของคณะปฏิวัติจะแก้ปัญหาอันเป็นอนันตริยกรรม 4 ประการที่จ้องจะทำลายประเทศชาติอยู่ ทำให้คนไทยเกิดความหวังที่จะมีชีวิตใหม่กันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หรือชีวิตที่จะรอดปลอดภัยจากการกินบ้านกินเมืองและความฉิบหายนานาประการที่มันจะเกิดขึ้นจากการปกครองของพวกเดียรัจฉานทางการเมืองที่คนไทยไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเมือง

แต่ปรากฏว่า ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่าการปฏิวัติที่อ้างมานั้นเป็นเรื่องการโกหกพกลมที่ไม่มีผลอะไรเลยต่อประเทศชาติ เพราะเป็นที่แน่ชัดว่าการปฏิวัติขึ้นมานั้นเป็นเพียงการเปลี่ยนบทบาทของนักการเมือง และตัวชนชั้นปกครองที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงการกินบ้านกินเมืองจากคนกลุ่มหนึ่งมาเป็นบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

ความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อนักการเมือง ต่อคณะปฏิวัติวอดวายไปภายในหนึ่งปีโดยไม่มีอะไรเหลือ คณะปฏิวัติที่เต็มไปด้วยนายทหารระดับนายพลในสายตา และความรู้สึกของประชาชนทั้งชาติเพียงเจว็ดที่ไร้ค่าของชาติชิ้นหนึ่งเท่านั้น

ไม่มีอะไรนอกจากโกหก กะล่อน และหน้าด้านด้วยกันทั้งนั้น!

ดูเหมือนคณะปฏิวัติจะมีเหลือเพียงสองท่านเท่านั้น ที่คนไทยจะยอมรับได้คือ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน กับ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร แต่ทั้งสองท่านก็ถูกทำลายเสียผู้เสียคนไปเลย

ทหารไทยทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้นหรือ?
กำลังโหลดความคิดเห็น