เมื่อเย็นวันอังคารที่ 4 กันยายน 2550
ได้ปรากฏข่าวในสื่อสารมวลชนหลายแขนงว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ได้เชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพมาหารือถึงบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารปี 2550 ที่บ้านพักรับรอง เกษะโกมล โดยมีผู้เข้าร่วมหารืออย่างพร้อมเพรียงประกอบไปด้วย พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ
ในการหารือ พล.อ.สนธิ ได้เสนอชื่อ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ เสนาธิการทหารบก ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนต่อไป ให้กับบรรดา ผบ.เหล่าทัพได้รับทราบ โดยมีการหยิบยกชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ว่าจะขยับจากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกมาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก แทน พล.อ.ไพศาล กตัญญูที่เกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้ ขณะที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกถูกโยกพ้นกองทัพบกไปนั่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อครองอัตราจอมพลก่อนเกษียณอายุราชการในปี 2551
ชื่อของ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ว่าจะเป็นตัวเต็งจากการที่ได้มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ว่า “พล.อ.มนตรี” จะมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ ตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปที่บทความของ เซี่ยงเส้าหลง เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2550 ได้เขียนหัวข้อเรื่อง ผบ.ทบ.อาจไม่ใช่ พล.อ.สพรั่ง โดยระบุความตอนหนึ่งว่า:
“ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่จะมารับหน้าที่แทน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2550 ซึ่งโดยทั่วไปตามกระบวนการปกติก็น่าจะเริ่มเป็นข่าวกันตั้งแต่มิถุนายน 2550 วันนี้ใครๆ ก็คิดว่ามีแคนดิเดตเพียง 2 คน หรืออาจจะ 3 คน
กล่าวคือถ้าไม่ใช่ เต็ง 1 พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ก็ต้องเป็น เต็ง 2 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นายทหารที่มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือถ้าจะมีพลิกล็อก ก็น่าจะเป็นเต็ง 3 พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล
แต่วันนี้ (15 มีนาคม 2550) ในแวดวงภายในลึกๆ เริ่มมีการพูดถึงคนที่ 4 ก็ขอรายงานไว้เลยว่าท่านคือ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ - เสนาธิการทหารบก ท่านเป็น 1 ใน 5 เสือ ทบ.ที่ไม่ได้มีข้อเสียหาย
แถมมีข้อดีตรงที่ไม่ได้แสดงตัวชัดเจนไม่ว่าด้วยวาจาหรือการกระทำในลักษณะ เป็นปฏิปักษ์ชนิดอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้กับระบอบทักษิณ เหมือนอย่าง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ท่านจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือก และน่าจะได้เปรียบตัวเลือกอื่น หากการตัดสินใจขั้นสุดท้ายยึดหลัก “สมานฉันท์” จำเป็นต้องบอกกล่าวกันไว้ล่วงหน้าก็เพื่อจะให้แฟนานุแฟนที่ ยังไม่ซึ้งกับสัจธรรมของการเมืองไทย ได้เตรียมตัวเตรียมใจ ทำใจ ไว้ล่วงหน้า โลกในความเป็นจริงโหดร้ายกว่าโลกในอุดมคติ เสมอมาอย่างไรก็อย่างนั้น”
นั่นเป็นกระแสข่าวในแวดวงภายในลึกๆที่ “เซี่ยงเส้าหลง” นำมาบอกกล่าวเอาไว้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2550 หลังจากที่รัฐบาลได้แสดงท่าทีที่จะสมานฉันท์จากกรณีของการอุ้มพนักงานไอทีวี และการนำเอานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์มาช่วยงานรัฐบาลอย่างมีพิรุธ
ยังไม่นับการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้ส่งสัญญาณออกมาอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ว่ากำลังจะต้องการความสมานฉันท์แบบที่รัฐบาลต้องการ ถึงขนาดที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินพูดถึงคำว่าเราต้องพูดเรื่องความเสียสละและการให้อภัยกันบ้าง?
อีกทั้ง พล.อ.สนธิ ยังแสดงอาการตำหนิการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าเป็นความอีนุงตุงนัง ต่อกรณีที่นักข่าวถามถึงกระแสข่าวว่าจะมีการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหากมีการแต่งตั้ง ผบ.ทบ.อย่างไม่เหมาะสม
ต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤตและมีอริราชศัตรูที่เข้มแข็ง และยังมีภัยอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงท่าทีต่อการต่อต้านระบอบทักษิณอย่างชัดเจนในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 และปกป้องราชบัลลังก์ด้วยชีวิต คุ้มครองความปลอดภัยให้กับการเคลื่อนไหวของนายสนธิ ลิ้มทองกุลและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในยามวิกฤตที่สุด โดยที่ไม่แสดงท่าที่หวั่นเกรงต่ออนาคตทางราชการในสมัยที่ระบอบทักษิณยังเรืองอำนาจ
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้เป็นผลสำเร็จ และเป็นสมาชิกใน คมช. ที่มีมวลชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณสนับสนุนมากที่สุด
การที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร จะไม่ได้ตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก เป็นปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและน่าเห็นใจอย่างมากสำหรับทหารที่รับใช้ประเทศชาติอย่างกล้าหาญเช่นนี้
แต่ที่น่าเสียดายมากกว่าก็คือประเทศชาติจะไม่ได้มีผู้บัญชาการทหารบกที่มีจะสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกที่คิดร้ายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหลังจากนี้
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 1 ที่เป็นกำลังสำคัญหลักทำให้เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้เป็นผลสำเร็จ เป็นบุคคลที่มีความสุขุมนุ่มลึก ลงรายละเอียดในเนื้องานและมีการบริหารการจัดการที่เป็นระบบอย่างยอดเยี่ยม
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นสุภาพบุรุษพูดมาเสมอว่าต้องการให้ “พี่พรั่ง” เป็นก่อน และยังเหลือเวลาราชการอีก 3 ปี แต่หากมองในด้านการสร้างความมั่นคงในสถาบันทหารและการป้องการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหลังการเกษียณอายุของ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร การให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขึ้นในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกโดยยังเหลืออายุราชการอีก 3 ปี แม้จะเสียดายพล.อ.สพรั่งอยู่มาก แต่ก็พอจะทำใจกับเหตุผลนี้ได้
แต่เมื่อทั้งพล.อ.สพรั่ง และพล.อ.อนุพงษ์ ไม่ได้ถูกเสนอชื่อโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกด้วยกันทั้งคู่ แต่กลับเลือกคนสนิทกับตัวเองที่ตัวเองไว้ใจเป็นที่ตั้ง ก็ย่อมเท่ากับว่า พล.อ.สนธิ มองผลประโยชน์ตัวเองเป็นใหญ่ และหักหาญน้ำใจมิตรผู้ร่วมรบจนเกินไป
ความผิดพลาดในช่วงเวลาที่ผ่านมาของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ได้อยู่ที่การบริหารจัดการ แต่เป็นวิธีคิดในการเลือกคน
พล.อ.สนธิ เลือกคนอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะความคุ้นเคย แม้ว่าจะเป็นคนดีแต่ก็ไม่ได้มีความเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาวิกฤตชาติบ้านเมืองในช่วงเวลานี้แต่ประการใด
พล.อ.สนธิ เลือกแม่ทัพภาคที่ 2 จากคนที่สนิทกับตัวเอง จนล้มเหลวในการทำความเข้าใจกับประชาชนในภาคอีสานและกลายเป็นพื้นที่สีแดงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญอย่างถล่มทลาย
และ พล.อ.สนธิ ก็กำลังเลือกคนสนิทกับตัวเองให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกสมานฉันท์ ที่ตกหลุมพรางหลงเชื่อไปว่าระบอบทักษิณพร้อมที่จะสมานฉันท์ด้วยเมื่อกลับมามีอำนาจ
แต่งานนี้คงไม่ใช่แค่ พล.อ.สนธิ เพียงผู้เดียว เพราะบังเอิญการเสนอชื่อครั้งนี้ก็ไปสอดคล้องกับกระแสข่าวตั้งแต่ต้นปีที่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะสนับสนุนผู้บัญชาการทหารบกแบบสมานฉันท์ด้วย
คำถามในวันนี้อยู่ตรงที่ว่า การเสนอชื่อตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในครั้งนี้ที่ล่าช้านั้น พล.อ.สนธิ ได้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยนกับรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งว่าที่รองนายกรัฐมนตรี, หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อหาที่ยืนชั่วคราวหลังการเกษียณอายุอีกไม่กี่วัน ก่อนจะรอเทียบเชิญจากฝ่ายการเมืองในรัฐบาลชุดใหม่ ใช่หรือไม่?
และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หากมีความเห็นพ้องต้องกันที่จะเลือก พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ไปกับ พล.อ.สนธิด้วยแล้ว ก็ต้องมีคำถามต่อมาว่า รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ได้อะไร?
เพราะคนที่กำลังมีความสุขที่สุดที่ตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบกไม่ใช่ ทั้งพล.อ.สพรั่ง และพล.อ.อนุพงษ์ ก็คงจะเป็นคนในระบอบทักษิณทั้งหมด!
เพราะฉะนั้นที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลออกมาพูดวิเคราะห์หลายครั้งว่า มีการสมรู้ร่วมคิดหรือสมยอมกันกับระบอบทักษิณนั้น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยไป
แต่อย่าเผลอคิดไปว่า ประธาน คมช., รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, หรือนายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแต่งตั้งข้าราชการเป็นอันขาด
เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2550 ที่ผ่านการลงประชามติจากประชาชนชาวไทยทั้งประเทศแล้วนั้น ได้บัญญัติเอาไว้ว่า:
มาตรา 10พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย และ
มาตรา 193 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า และทรงให้พ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่กรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย
ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกจึงยังไม่สามารถสรุปในวันนี้ได้หรอกครับ!
ได้ปรากฏข่าวในสื่อสารมวลชนหลายแขนงว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ได้เชิญผู้บัญชาการเหล่าทัพมาหารือถึงบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารปี 2550 ที่บ้านพักรับรอง เกษะโกมล โดยมีผู้เข้าร่วมหารืออย่างพร้อมเพรียงประกอบไปด้วย พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ
ในการหารือ พล.อ.สนธิ ได้เสนอชื่อ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ เสนาธิการทหารบก ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนต่อไป ให้กับบรรดา ผบ.เหล่าทัพได้รับทราบ โดยมีการหยิบยกชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ว่าจะขยับจากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกมาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก แทน พล.อ.ไพศาล กตัญญูที่เกษียณอายุราชการสิ้นเดือนกันยายนนี้ ขณะที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกถูกโยกพ้นกองทัพบกไปนั่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อครองอัตราจอมพลก่อนเกษียณอายุราชการในปี 2551
ชื่อของ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ว่าจะเป็นตัวเต็งจากการที่ได้มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ว่า “พล.อ.มนตรี” จะมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ ตั้งแต่ต้นปี 2550 ที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปที่บทความของ เซี่ยงเส้าหลง เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2550 ได้เขียนหัวข้อเรื่อง ผบ.ทบ.อาจไม่ใช่ พล.อ.สพรั่ง โดยระบุความตอนหนึ่งว่า:
“ผบ.ทบ.คนใหม่ ที่จะมารับหน้าที่แทน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2550 ซึ่งโดยทั่วไปตามกระบวนการปกติก็น่าจะเริ่มเป็นข่าวกันตั้งแต่มิถุนายน 2550 วันนี้ใครๆ ก็คิดว่ามีแคนดิเดตเพียง 2 คน หรืออาจจะ 3 คน
กล่าวคือถ้าไม่ใช่ เต็ง 1 พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ก็ต้องเป็น เต็ง 2 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา นายทหารที่มีบทบาทสำคัญในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือถ้าจะมีพลิกล็อก ก็น่าจะเป็นเต็ง 3 พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล
แต่วันนี้ (15 มีนาคม 2550) ในแวดวงภายในลึกๆ เริ่มมีการพูดถึงคนที่ 4 ก็ขอรายงานไว้เลยว่าท่านคือ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ - เสนาธิการทหารบก ท่านเป็น 1 ใน 5 เสือ ทบ.ที่ไม่ได้มีข้อเสียหาย
แถมมีข้อดีตรงที่ไม่ได้แสดงตัวชัดเจนไม่ว่าด้วยวาจาหรือการกระทำในลักษณะ เป็นปฏิปักษ์ชนิดอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้กับระบอบทักษิณ เหมือนอย่าง พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ท่านจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือก และน่าจะได้เปรียบตัวเลือกอื่น หากการตัดสินใจขั้นสุดท้ายยึดหลัก “สมานฉันท์” จำเป็นต้องบอกกล่าวกันไว้ล่วงหน้าก็เพื่อจะให้แฟนานุแฟนที่ ยังไม่ซึ้งกับสัจธรรมของการเมืองไทย ได้เตรียมตัวเตรียมใจ ทำใจ ไว้ล่วงหน้า โลกในความเป็นจริงโหดร้ายกว่าโลกในอุดมคติ เสมอมาอย่างไรก็อย่างนั้น”
นั่นเป็นกระแสข่าวในแวดวงภายในลึกๆที่ “เซี่ยงเส้าหลง” นำมาบอกกล่าวเอาไว้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2550 หลังจากที่รัฐบาลได้แสดงท่าทีที่จะสมานฉันท์จากกรณีของการอุ้มพนักงานไอทีวี และการนำเอานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์มาช่วยงานรัฐบาลอย่างมีพิรุธ
ยังไม่นับการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้ส่งสัญญาณออกมาอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ว่ากำลังจะต้องการความสมานฉันท์แบบที่รัฐบาลต้องการ ถึงขนาดที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินพูดถึงคำว่าเราต้องพูดเรื่องความเสียสละและการให้อภัยกันบ้าง?
อีกทั้ง พล.อ.สนธิ ยังแสดงอาการตำหนิการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าเป็นความอีนุงตุงนัง ต่อกรณีที่นักข่าวถามถึงกระแสข่าวว่าจะมีการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหากมีการแต่งตั้ง ผบ.ทบ.อย่างไม่เหมาะสม
ต้องไม่ลืมว่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤตและมีอริราชศัตรูที่เข้มแข็ง และยังมีภัยอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงท่าทีต่อการต่อต้านระบอบทักษิณอย่างชัดเจนในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 และปกป้องราชบัลลังก์ด้วยชีวิต คุ้มครองความปลอดภัยให้กับการเคลื่อนไหวของนายสนธิ ลิ้มทองกุลและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในยามวิกฤตที่สุด โดยที่ไม่แสดงท่าที่หวั่นเกรงต่ออนาคตทางราชการในสมัยที่ระบอบทักษิณยังเรืองอำนาจ
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้เป็นผลสำเร็จ และเป็นสมาชิกใน คมช. ที่มีมวลชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณสนับสนุนมากที่สุด
การที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร จะไม่ได้ตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก เป็นปีสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและน่าเห็นใจอย่างมากสำหรับทหารที่รับใช้ประเทศชาติอย่างกล้าหาญเช่นนี้
แต่ที่น่าเสียดายมากกว่าก็คือประเทศชาติจะไม่ได้มีผู้บัญชาการทหารบกที่มีจะสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกที่คิดร้ายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหลังจากนี้
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 1 ที่เป็นกำลังสำคัญหลักทำให้เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ได้เป็นผลสำเร็จ เป็นบุคคลที่มีความสุขุมนุ่มลึก ลงรายละเอียดในเนื้องานและมีการบริหารการจัดการที่เป็นระบบอย่างยอดเยี่ยม
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นสุภาพบุรุษพูดมาเสมอว่าต้องการให้ “พี่พรั่ง” เป็นก่อน และยังเหลือเวลาราชการอีก 3 ปี แต่หากมองในด้านการสร้างความมั่นคงในสถาบันทหารและการป้องการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหลังการเกษียณอายุของ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร การให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขึ้นในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกโดยยังเหลืออายุราชการอีก 3 ปี แม้จะเสียดายพล.อ.สพรั่งอยู่มาก แต่ก็พอจะทำใจกับเหตุผลนี้ได้
แต่เมื่อทั้งพล.อ.สพรั่ง และพล.อ.อนุพงษ์ ไม่ได้ถูกเสนอชื่อโดยพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกด้วยกันทั้งคู่ แต่กลับเลือกคนสนิทกับตัวเองที่ตัวเองไว้ใจเป็นที่ตั้ง ก็ย่อมเท่ากับว่า พล.อ.สนธิ มองผลประโยชน์ตัวเองเป็นใหญ่ และหักหาญน้ำใจมิตรผู้ร่วมรบจนเกินไป
ความผิดพลาดในช่วงเวลาที่ผ่านมาของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไม่ได้อยู่ที่การบริหารจัดการ แต่เป็นวิธีคิดในการเลือกคน
พล.อ.สนธิ เลือกคนอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะความคุ้นเคย แม้ว่าจะเป็นคนดีแต่ก็ไม่ได้มีความเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาวิกฤตชาติบ้านเมืองในช่วงเวลานี้แต่ประการใด
พล.อ.สนธิ เลือกแม่ทัพภาคที่ 2 จากคนที่สนิทกับตัวเอง จนล้มเหลวในการทำความเข้าใจกับประชาชนในภาคอีสานและกลายเป็นพื้นที่สีแดงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญอย่างถล่มทลาย
และ พล.อ.สนธิ ก็กำลังเลือกคนสนิทกับตัวเองให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกสมานฉันท์ ที่ตกหลุมพรางหลงเชื่อไปว่าระบอบทักษิณพร้อมที่จะสมานฉันท์ด้วยเมื่อกลับมามีอำนาจ
แต่งานนี้คงไม่ใช่แค่ พล.อ.สนธิ เพียงผู้เดียว เพราะบังเอิญการเสนอชื่อครั้งนี้ก็ไปสอดคล้องกับกระแสข่าวตั้งแต่ต้นปีที่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะสนับสนุนผู้บัญชาการทหารบกแบบสมานฉันท์ด้วย
คำถามในวันนี้อยู่ตรงที่ว่า การเสนอชื่อตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในครั้งนี้ที่ล่าช้านั้น พล.อ.สนธิ ได้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยนกับรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งว่าที่รองนายกรัฐมนตรี, หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อหาที่ยืนชั่วคราวหลังการเกษียณอายุอีกไม่กี่วัน ก่อนจะรอเทียบเชิญจากฝ่ายการเมืองในรัฐบาลชุดใหม่ ใช่หรือไม่?
และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หากมีความเห็นพ้องต้องกันที่จะเลือก พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ ไปกับ พล.อ.สนธิด้วยแล้ว ก็ต้องมีคำถามต่อมาว่า รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ได้อะไร?
เพราะคนที่กำลังมีความสุขที่สุดที่ตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบกไม่ใช่ ทั้งพล.อ.สพรั่ง และพล.อ.อนุพงษ์ ก็คงจะเป็นคนในระบอบทักษิณทั้งหมด!
เพราะฉะนั้นที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลออกมาพูดวิเคราะห์หลายครั้งว่า มีการสมรู้ร่วมคิดหรือสมยอมกันกับระบอบทักษิณนั้น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยไป
แต่อย่าเผลอคิดไปว่า ประธาน คมช., รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, หรือนายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแต่งตั้งข้าราชการเป็นอันขาด
เพราะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2550 ที่ผ่านการลงประชามติจากประชาชนชาวไทยทั้งประเทศแล้วนั้น ได้บัญญัติเอาไว้ว่า:
มาตรา 10พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย และ
มาตรา 193 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า และทรงให้พ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่กรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย
ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกจึงยังไม่สามารถสรุปในวันนี้ได้หรอกครับ!