พุทธศาสตร์ “พุทธ” แปลว่า รู้ ตื่น เบิกบาน อิสระ ส่วน “ศาสตร์” แปลว่า ระบบวิชาความรู้ หรือ แปลว่า คำสั่งสอน คำชี้แจง ว่าด้วยการศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งสัจธรรม และการหลุดพ้นจากความกิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทางใจ ในเชิงปฏิบัติ ใครทำใครได้ ของใครของมัน เป็นเรื่องเฉพาะตัว บริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ (สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง) เป็นเรื่องเฉพาะตน เรียกให้คนมาดู มาชม มาดู บอกให้รู้ด้วยให้เห็นด้วยตา ก็ไม่อาจให้เขารู้แจ้งชัดได้ ต้องลงมือปฏิบัติเอง เห็นเอง รู้แจ้งเอง เท่านั้น
ผลจากการขัดเกลาจิตใจตนตามแนวทางพระพุทธศาสนา ถ้าประชาชนมีการปฏิบัติธรรมกันมากๆ มีความเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อ เอื้ออาทรกันมากๆ ก็จะมีผลทางอ้อมต่อสังคมคือก่อให้เกิดสังคมที่มีอารยธรรม สังคมสันติสุข การเบียดเบียนกันก็จะน้อยถอยลงไป
พระพุทธศาสนามีข้อให้ปฏิบัติตามคือ “ธรรม” ข้อห้ามคือ “วินัย” หรือ “ศีล” การละเมิดข้อปฏิบัติและข้อห้ามเป็นความชั่ว เป็นความผิดทางจิต มโน วิญญาณ และเมื่อปฏิบัติผิด หรือไม่ปฏิบัติ ก็จะได้รับทุกข์ตามกฎแห่งกรรมหรือกฎอิทัปปัจจยตา (กฎความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัย) “ความที่สิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น” ดังเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎนี้จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ พระพรหม ยาจก วณิพก ราชา ใครคิดดีทำดี ได้รับผลดี ใครคิดชั่วทำชั่ว ได้รับผลชั่ว โดยไม่ต้องรอวันพิพากษา เป็นกฎที่ตายตัวเฉียบขาด อันเป็นกฎธรรมชาติที่ให้ความยุติธรรมที่สุด (หรือเรียกว่าศาลกรรมหรือศาลทางใจก็ได้) ศาสนาเป็นเรื่องประโยชน์เฉพาะตัวโดยตรง และเป็นผลดีทางอ้อมต่อครอบครัว สังคมส่วนรวมทุกระดับ จนถึงระดับประเทศชาติและสมาคมโลกเป็นที่สุด
ในอีกด้านหนึ่ง การพยามแสวงหาสัจธรรมเกิดจากพลังดลใจ ที่คิดจะแก้ไขปัญหาเหตุวิกฤตต่างๆ ของประเทศและประชาชน ประกอบด้วยความเมตตาอย่างมหาศาล มีความเพียรอย่างมโหฬาร มีความตั้งใจอันสูงส่ง เสียสละ อุทิศตน มีอุดมการณ์และปณิธานอย่างแน่วแน่ที่จะรู้แจ้งสภาวธรรม ด้วยมีความสำนึกว่า ปัญญาและคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ต้องมาจากสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
จุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่นี้ก็เพื่อที่จะนำสภาวธรรมอันเป็นความจริงแท้ของกฎธรรมชาติ ที่เราสามารถรู้แจ้งความจริงได้จากการวิปัสสนา “วิ” แปลว่า แจ้ง หรือเห็นแจ้ง “ปัสสนา” แปลว่า เห็นทางใจ คือกระบวนการศึกษาให้มีปัญญารู้แจ้งแห่งชีวิตของเราตามที่มันเป็นนั่นเอง หรือเรียกว่ากายกับจิต หรือ รูปกับนาม ด้วยการเรียนรู้จากคัมภีร์พระไตรปิฎก จากพระอาจารย์ผู้รู้แนะนำ และลงมือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจัง ก็จะเป็นเหตุให้รู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งต่อกฎธรรมชาติอันเป็นกฎของความเป็นไปของสรรพสิ่ง ถ้ารู้แจ้งจริงก็สามารถนำสภาวธรรมดังกล่าวไปประยุกต์ เป็นทฤษฎีทางการเมืองทั้งนี้ก็เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติและความมั่งคั่ง ผาสุกของปวงชน
บางคนบอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ เพียงเราเรียนรู้ทฤษฎีจากนักปรัชญาทางการเมืองต่างๆ เอาก็ได้ ส่วนผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าหลักวิธีคิดทฤษฎีทางปรัชญา นั่นไม่ใช่สัจธรรม ไม่ใช่ความจริงแท้ อาจจะนำมาใช้ได้ในบางยุค บางสมัยเท่านั้น นั่นก็คืออาจจะเกิดผลดีในระยะต้น และอาจจะเลวร้ายในบั้นปลาย
สัจธรรมอันเป็นความจริงแท้ตามสภาวะกฎธรรมชาติ ย่อมเป็นสภาวธรรมที่เป็นจริงตลอดไป ไม่มีเงื่อนไขเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเรียกว่าเป็น “อกาลิโก” คือมันเป็นของมันอย่างนั้น มันเป็นเช่นนั้นเองตลอดเวลา ดังนั้น จึงใคร่จะขอเชิญชวนประชาชน ท่านผู้อ่านได้มีภารกิจอันยิ่งเพื่อศึกษาแสวงหาสัจธรรมได้จากการศึกษาตนเอง (ขันธ์ 5) เป็นที่ตั้ง เพิ่มเป็นจำนวนมากขึ้นๆ จะเป็นพลังอันสำคัญยิ่งในการสร้างสรรค์ระบอบการเมืองโดยธรรม อันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ จะเป็นระบอบการเมืองที่เอื้ออำนวยให้ประเทศชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์มั่นคง ประชาชนมั่งคั่งผาสุกเป็นไปอย่างยั่งยืน
วิชารัฐศาสตร์ (Political Science) เป็นศาสตร์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐทั้งองค์รวมบนความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่างๆ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และประชาชนทุกสาขาอาชีพเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเพื่อให้มีหลักประกันความยุติธรรม เสรีภาพ ความเสมอภาคทางโอกาส ความเป็นเอกภาพ ความสงบสุข ความอยู่ดีมีสุข มีความมั่นคง ก้าวหน้า ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน ต่อประชาชนภายในประเทศที่มีความแตกต่างทางศาสนา แนวคิด ความเชื่อ และความหลากหลายในอาชีพ สถานภาพ ผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน และความมั่นคงแห่งรัฐ
รัฐศาสตร์เป็นวิชาว่าด้วยการเมือง การปกครอง การจัดทำนโยบาย การออกกฎหมายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม (ธรรม) เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และข้อห้าม (ศีล) เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การละเมิดอำนาจรัฐ ที่รัฐได้กำหนดในรูปของกฎหมายต่างๆ เมื่อทำผิดจะต้องถูกลงโทษตามที่รัฐได้กำหนดไว้ตามกฎหมาย การจัดระเบียบให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขทางกาย หรือทางโลกิยธรรม เป็นรากฐานให้มนุษย์มีความอุดมสมบูรณ์ในปัจจัย 4 (เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค) ถ้าประชาชนมีปัจจัย 4 พร้อมมูลแล้ว จะเป็นเหตุให้ประชาชนแสวงหาความสุขทางจิตใจในการศึกษาและพัฒนาจิต มโน วิญญาณต่อไป รัฐศาสตร์เป็นเรื่องขององค์รวมทั้งประเทศชาติ เป็นเรื่องส่วนรวมโดยตรง ส่วนตัวรับผลทางอ้อม
วิชารัฐศาสตร์เป็นศาสตร์สู่อำนาจทางการเมือง การเมืองโดยธรรมคือหลักการและวิธีการอันสำคัญที่ได้ประยุกต์มาจากกฎธรรมชาติ และการจัดทำนำเสนอเป็นนโยบาย (Policy) การบริหารจัดการ การจัดสรรทรัพยากรหรือทรัพย์สมบัติแห่งชาติให้เกิดความสมดุลและยุติธรรมแก่ปวงชนภายในรัฐ
ทฤษฎีการเมืองที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทยแล้ว ไม่ควรละเลยที่จะนำจุดเด่นของประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาลที่นับถือพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติมาอย่างยาวนาน โดยการประยุกต์เข้ากับทฤษฎีรัฐศาสตร์ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ อย่างถูกต้องสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
(1) พุทธศาสตร์ ว่าด้วยการศึกษา ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าถึงอรรถสภาวะอสังขตธรรม อันเป็นกฎทั่วไป (General Law) และปรากฏการณ์ของสรรพสิ่งคือสังขารทั้งปวง (ขันธ์5 สังขตธรรม กฎอิทัปปัจจยตา กฎปฏิจจสมุปบาท ฯลฯ) เพื่อให้รู้แจ้ง รู้เห็นถึงภูมิจิตหรือภูมิธรรมและกระแสกรรมของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นตามกฎอิทัปปัจจยตา การรู้แจ้งแห่งกองสังขารเพื่อการดับทุกข์ทางจิตใจ เข้าถึงอริยสัจจ์ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) และการจัดความสัมพันธ์ในการดำเนินชีวิตระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ให้อยู่กันด้วยสันติ สงบสุข เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า
การเข้าใจถึงอรรถสภาวะกฎทั่วไป (General Law) และปรากฏการณ์ของสรรพสิ่ง (Individual Law) ตามแนวทางพุทธธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ย่อมเหนือกว่าปรัชญาอื่นๆ ของฝ่ายตะวันตก เช่น ปรัชญาจิตนิยม, ปรัชญาวัตถุนิยม, ปรัชญาทวินิยม, ฯลฯ โดยไม่มีลักษณะ “ธรรมทัศน์” อันสูงส่ง ลึกซึ้ง แต่น่าเสียดายที่ผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างก็ลุ่มหลงปรัชญาตะวันตก โดยเหยียบคบไฟของตนเอง
(2) ทฤษฎีรัฐศาสตร์ ว่าด้วยการจัดระบบการเมืองการปกครอง หลักการใช้อำนาจในการปกครองบนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองหรือรัฐบาลกับประชาชนมีลักษณะแบบใด เช่น
- ลัทธิเผด็จการทุกรูปแบบ ไม่มีหลักการปกครองและอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย
- ลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่มีหลักการปกครองแต่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนใหญ่
- ลัทธิประชาธิปไตย และธรรมาธิปไตย มีหลักการปกครองและอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
จึงมีความเห็นว่า ผู้ที่คิดจะเป็นนักการเมืองโดยธรรม จะต้องเป็นผู้ที่อุทิศตน เสียสละ มีอุดมการณ์ และการเรียนรู้ ไม่ละเลยเกี่ยวกับหลักการเหล่านี้เพิ่มเติมด้วย
1) สัจธรรม และลัทธิทางการเมือง (Doctrine)
2) อุดมคติทางสังคม (Idealistic Society) อุดมคติรวม
(เชิดชูธรรมนำชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์)
3) หลักการปกครอง (Principle of Government)
4) ระบอบ (Regime) หรือหลักการปกครอง
5) รูปการปกครอง (Form of Government)
6) วิธีการปกครอง (Method) หรือมรรควิธีในการปกครอง
7) ระบบการเมือง (Political System)
8) หลักในการจัดความสัมพันธ์ในองค์รวมของประเทศ
9) การสร้างการปกครองใหม่ (Government Construction) เป็นต้น
(3) ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรแห่งชาติอันมีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนอย่างเป็นธรรมได้อย่างไร เช่น การจัดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง การกระจายทุนทางเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศโดยยุติธรรม และว่าด้วยการจัดการรัฐสวัสดิการต่อสังคมหรือต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพทั้งประเทศ ทั้งนี้เพื่อขจัดการรวมศูนย์ทุนของลัทธิเผด็จการลงนั่นเอง
ดังนั้นการนำหลักธรรม หรือกฎธรรมชาติ มาประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทย โดยยกขึ้นเป็นหลักการปกครอง (Principle of Government)ในระบอบการเมืองสมัยใหม่ของโลกย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่ได้ย้ำนำเสนอ คือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่ คือเหตุแห่งความดีทั้งปวง) (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (ทุกวันนี้ พระมหากษัตริย์ได้กลายเป็นประมุขระบอบฯ หลายมาตรา โดยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 40 และ50 ซึ่งเป็นความเห็นผิดของผู้ปกครองและผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญนั้นๆ เป็นการบิดเบือน ลิดรอน พระบรมเดชานุภาพอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้ผู้ปกครองผู้มีอำนาจไตร่ตรองให้ถูกต้องโดยธรรม ก่อนจะสายเกินไป) (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักบุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ (ทางความคิดและทางการเมือง ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ) (5) หลักความเสมอภาค (ประชาชนมีความเสมอภาคทางการเมือง, ทางโอกาสโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ) (6) หลักภราดรภาพ (ไม่แบ่งศาสนา, ชนชั้นวรรณะ) (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม
หลักธรรมสำคัญทั้ง 9 พรรคไหนนำมาเป็นนโยบาย ยกขึ้นหลักการปกครองโดยธรรมต่อประชาชน เชื่อได้ว่าพรรคนั้นๆ จะเป็นพรรคการเมืองที่มีความจริงใจนำพาประเทศชาติและประชาชนไปสู่ชัยชนะ เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าโดยฝ่ายเดียวอย่างแท้จริง ทั้งเป็นการเชื่อได้ว่าเป็นพรรคฯ ที่มีความมุ่งมั่นอันสูงส่งที่จะขจัดเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้ นั้นก็คือการเชิดชูธรรมนำสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีความมั่นคงยั่งยืนสถิตสถาพรตลอดไป ตามที่ปวงชนไทยปรารถนาทุกประการ
ผลจากการขัดเกลาจิตใจตนตามแนวทางพระพุทธศาสนา ถ้าประชาชนมีการปฏิบัติธรรมกันมากๆ มีความเมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อ เอื้ออาทรกันมากๆ ก็จะมีผลทางอ้อมต่อสังคมคือก่อให้เกิดสังคมที่มีอารยธรรม สังคมสันติสุข การเบียดเบียนกันก็จะน้อยถอยลงไป
พระพุทธศาสนามีข้อให้ปฏิบัติตามคือ “ธรรม” ข้อห้ามคือ “วินัย” หรือ “ศีล” การละเมิดข้อปฏิบัติและข้อห้ามเป็นความชั่ว เป็นความผิดทางจิต มโน วิญญาณ และเมื่อปฏิบัติผิด หรือไม่ปฏิบัติ ก็จะได้รับทุกข์ตามกฎแห่งกรรมหรือกฎอิทัปปัจจยตา (กฎความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัย) “ความที่สิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น” ดังเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎนี้จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ พระพรหม ยาจก วณิพก ราชา ใครคิดดีทำดี ได้รับผลดี ใครคิดชั่วทำชั่ว ได้รับผลชั่ว โดยไม่ต้องรอวันพิพากษา เป็นกฎที่ตายตัวเฉียบขาด อันเป็นกฎธรรมชาติที่ให้ความยุติธรรมที่สุด (หรือเรียกว่าศาลกรรมหรือศาลทางใจก็ได้) ศาสนาเป็นเรื่องประโยชน์เฉพาะตัวโดยตรง และเป็นผลดีทางอ้อมต่อครอบครัว สังคมส่วนรวมทุกระดับ จนถึงระดับประเทศชาติและสมาคมโลกเป็นที่สุด
ในอีกด้านหนึ่ง การพยามแสวงหาสัจธรรมเกิดจากพลังดลใจ ที่คิดจะแก้ไขปัญหาเหตุวิกฤตต่างๆ ของประเทศและประชาชน ประกอบด้วยความเมตตาอย่างมหาศาล มีความเพียรอย่างมโหฬาร มีความตั้งใจอันสูงส่ง เสียสละ อุทิศตน มีอุดมการณ์และปณิธานอย่างแน่วแน่ที่จะรู้แจ้งสภาวธรรม ด้วยมีความสำนึกว่า ปัญญาและคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ต้องมาจากสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
จุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่นี้ก็เพื่อที่จะนำสภาวธรรมอันเป็นความจริงแท้ของกฎธรรมชาติ ที่เราสามารถรู้แจ้งความจริงได้จากการวิปัสสนา “วิ” แปลว่า แจ้ง หรือเห็นแจ้ง “ปัสสนา” แปลว่า เห็นทางใจ คือกระบวนการศึกษาให้มีปัญญารู้แจ้งแห่งชีวิตของเราตามที่มันเป็นนั่นเอง หรือเรียกว่ากายกับจิต หรือ รูปกับนาม ด้วยการเรียนรู้จากคัมภีร์พระไตรปิฎก จากพระอาจารย์ผู้รู้แนะนำ และลงมือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจัง ก็จะเป็นเหตุให้รู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งต่อกฎธรรมชาติอันเป็นกฎของความเป็นไปของสรรพสิ่ง ถ้ารู้แจ้งจริงก็สามารถนำสภาวธรรมดังกล่าวไปประยุกต์ เป็นทฤษฎีทางการเมืองทั้งนี้ก็เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติและความมั่งคั่ง ผาสุกของปวงชน
บางคนบอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ เพียงเราเรียนรู้ทฤษฎีจากนักปรัชญาทางการเมืองต่างๆ เอาก็ได้ ส่วนผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่าหลักวิธีคิดทฤษฎีทางปรัชญา นั่นไม่ใช่สัจธรรม ไม่ใช่ความจริงแท้ อาจจะนำมาใช้ได้ในบางยุค บางสมัยเท่านั้น นั่นก็คืออาจจะเกิดผลดีในระยะต้น และอาจจะเลวร้ายในบั้นปลาย
สัจธรรมอันเป็นความจริงแท้ตามสภาวะกฎธรรมชาติ ย่อมเป็นสภาวธรรมที่เป็นจริงตลอดไป ไม่มีเงื่อนไขเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเรียกว่าเป็น “อกาลิโก” คือมันเป็นของมันอย่างนั้น มันเป็นเช่นนั้นเองตลอดเวลา ดังนั้น จึงใคร่จะขอเชิญชวนประชาชน ท่านผู้อ่านได้มีภารกิจอันยิ่งเพื่อศึกษาแสวงหาสัจธรรมได้จากการศึกษาตนเอง (ขันธ์ 5) เป็นที่ตั้ง เพิ่มเป็นจำนวนมากขึ้นๆ จะเป็นพลังอันสำคัญยิ่งในการสร้างสรรค์ระบอบการเมืองโดยธรรม อันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ จะเป็นระบอบการเมืองที่เอื้ออำนวยให้ประเทศชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์มั่นคง ประชาชนมั่งคั่งผาสุกเป็นไปอย่างยั่งยืน
วิชารัฐศาสตร์ (Political Science) เป็นศาสตร์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐทั้งองค์รวมบนความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่างๆ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และประชาชนทุกสาขาอาชีพเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเพื่อให้มีหลักประกันความยุติธรรม เสรีภาพ ความเสมอภาคทางโอกาส ความเป็นเอกภาพ ความสงบสุข ความอยู่ดีมีสุข มีความมั่นคง ก้าวหน้า ปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน ต่อประชาชนภายในประเทศที่มีความแตกต่างทางศาสนา แนวคิด ความเชื่อ และความหลากหลายในอาชีพ สถานภาพ ผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน และความมั่นคงแห่งรัฐ
รัฐศาสตร์เป็นวิชาว่าด้วยการเมือง การปกครอง การจัดทำนโยบาย การออกกฎหมายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม (ธรรม) เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และข้อห้าม (ศีล) เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การละเมิดอำนาจรัฐ ที่รัฐได้กำหนดในรูปของกฎหมายต่างๆ เมื่อทำผิดจะต้องถูกลงโทษตามที่รัฐได้กำหนดไว้ตามกฎหมาย การจัดระเบียบให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขทางกาย หรือทางโลกิยธรรม เป็นรากฐานให้มนุษย์มีความอุดมสมบูรณ์ในปัจจัย 4 (เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค) ถ้าประชาชนมีปัจจัย 4 พร้อมมูลแล้ว จะเป็นเหตุให้ประชาชนแสวงหาความสุขทางจิตใจในการศึกษาและพัฒนาจิต มโน วิญญาณต่อไป รัฐศาสตร์เป็นเรื่องขององค์รวมทั้งประเทศชาติ เป็นเรื่องส่วนรวมโดยตรง ส่วนตัวรับผลทางอ้อม
วิชารัฐศาสตร์เป็นศาสตร์สู่อำนาจทางการเมือง การเมืองโดยธรรมคือหลักการและวิธีการอันสำคัญที่ได้ประยุกต์มาจากกฎธรรมชาติ และการจัดทำนำเสนอเป็นนโยบาย (Policy) การบริหารจัดการ การจัดสรรทรัพยากรหรือทรัพย์สมบัติแห่งชาติให้เกิดความสมดุลและยุติธรรมแก่ปวงชนภายในรัฐ
ทฤษฎีการเมืองที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทยแล้ว ไม่ควรละเลยที่จะนำจุดเด่นของประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาลที่นับถือพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติมาอย่างยาวนาน โดยการประยุกต์เข้ากับทฤษฎีรัฐศาสตร์ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ อย่างถูกต้องสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน
(1) พุทธศาสตร์ ว่าด้วยการศึกษา ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าถึงอรรถสภาวะอสังขตธรรม อันเป็นกฎทั่วไป (General Law) และปรากฏการณ์ของสรรพสิ่งคือสังขารทั้งปวง (ขันธ์5 สังขตธรรม กฎอิทัปปัจจยตา กฎปฏิจจสมุปบาท ฯลฯ) เพื่อให้รู้แจ้ง รู้เห็นถึงภูมิจิตหรือภูมิธรรมและกระแสกรรมของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นตามกฎอิทัปปัจจยตา การรู้แจ้งแห่งกองสังขารเพื่อการดับทุกข์ทางจิตใจ เข้าถึงอริยสัจจ์ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) และการจัดความสัมพันธ์ในการดำเนินชีวิตระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ให้อยู่กันด้วยสันติ สงบสุข เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า
การเข้าใจถึงอรรถสภาวะกฎทั่วไป (General Law) และปรากฏการณ์ของสรรพสิ่ง (Individual Law) ตามแนวทางพุทธธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ย่อมเหนือกว่าปรัชญาอื่นๆ ของฝ่ายตะวันตก เช่น ปรัชญาจิตนิยม, ปรัชญาวัตถุนิยม, ปรัชญาทวินิยม, ฯลฯ โดยไม่มีลักษณะ “ธรรมทัศน์” อันสูงส่ง ลึกซึ้ง แต่น่าเสียดายที่ผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างก็ลุ่มหลงปรัชญาตะวันตก โดยเหยียบคบไฟของตนเอง
(2) ทฤษฎีรัฐศาสตร์ ว่าด้วยการจัดระบบการเมืองการปกครอง หลักการใช้อำนาจในการปกครองบนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองหรือรัฐบาลกับประชาชนมีลักษณะแบบใด เช่น
- ลัทธิเผด็จการทุกรูปแบบ ไม่มีหลักการปกครองและอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย
- ลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่มีหลักการปกครองแต่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนใหญ่
- ลัทธิประชาธิปไตย และธรรมาธิปไตย มีหลักการปกครองและอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
จึงมีความเห็นว่า ผู้ที่คิดจะเป็นนักการเมืองโดยธรรม จะต้องเป็นผู้ที่อุทิศตน เสียสละ มีอุดมการณ์ และการเรียนรู้ ไม่ละเลยเกี่ยวกับหลักการเหล่านี้เพิ่มเติมด้วย
1) สัจธรรม และลัทธิทางการเมือง (Doctrine)
2) อุดมคติทางสังคม (Idealistic Society) อุดมคติรวม
(เชิดชูธรรมนำชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์)
3) หลักการปกครอง (Principle of Government)
4) ระบอบ (Regime) หรือหลักการปกครอง
5) รูปการปกครอง (Form of Government)
6) วิธีการปกครอง (Method) หรือมรรควิธีในการปกครอง
7) ระบบการเมือง (Political System)
8) หลักในการจัดความสัมพันธ์ในองค์รวมของประเทศ
9) การสร้างการปกครองใหม่ (Government Construction) เป็นต้น
(3) ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรแห่งชาติอันมีอยู่อย่างจำกัด ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนอย่างเป็นธรรมได้อย่างไร เช่น การจัดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง การกระจายทุนทางเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศโดยยุติธรรม และว่าด้วยการจัดการรัฐสวัสดิการต่อสังคมหรือต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพทั้งประเทศ ทั้งนี้เพื่อขจัดการรวมศูนย์ทุนของลัทธิเผด็จการลงนั่นเอง
ดังนั้นการนำหลักธรรม หรือกฎธรรมชาติ มาประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทย โดยยกขึ้นเป็นหลักการปกครอง (Principle of Government)ในระบอบการเมืองสมัยใหม่ของโลกย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน ที่ได้ย้ำนำเสนอ คือ (1) หลักธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่ คือเหตุแห่งความดีทั้งปวง) (2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ (ทุกวันนี้ พระมหากษัตริย์ได้กลายเป็นประมุขระบอบฯ หลายมาตรา โดยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 40 และ50 ซึ่งเป็นความเห็นผิดของผู้ปกครองและผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญนั้นๆ เป็นการบิดเบือน ลิดรอน พระบรมเดชานุภาพอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้ผู้ปกครองผู้มีอำนาจไตร่ตรองให้ถูกต้องโดยธรรม ก่อนจะสายเกินไป) (3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน (4) หลักบุคคลมีเสรีภาพบริบูรณ์ (ทางความคิดและทางการเมือง ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ) (5) หลักความเสมอภาค (ประชาชนมีความเสมอภาคทางการเมือง, ทางโอกาสโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ) (6) หลักภราดรภาพ (ไม่แบ่งศาสนา, ชนชั้นวรรณะ) (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม
หลักธรรมสำคัญทั้ง 9 พรรคไหนนำมาเป็นนโยบาย ยกขึ้นหลักการปกครองโดยธรรมต่อประชาชน เชื่อได้ว่าพรรคนั้นๆ จะเป็นพรรคการเมืองที่มีความจริงใจนำพาประเทศชาติและประชาชนไปสู่ชัยชนะ เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าโดยฝ่ายเดียวอย่างแท้จริง ทั้งเป็นการเชื่อได้ว่าเป็นพรรคฯ ที่มีความมุ่งมั่นอันสูงส่งที่จะขจัดเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้ นั้นก็คือการเชิดชูธรรมนำสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีความมั่นคงยั่งยืนสถิตสถาพรตลอดไป ตามที่ปวงชนไทยปรารถนาทุกประการ