xs
xsm
sm
md
lg

พายุฝนห่าใหญ่จากลอนดอน

เผยแพร่:   โดย: การุณ ใสงาม

.
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมวงเสวนาวาดภาพอนาคตประเทศไทย ในหัวข้อ “ฝ่าฝนห่าใหญ่ ซื้อเสียง ซื้อ ส.ส.” โดยมี นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา นางสดศรี สัตยธรรม กกต. นายยุวรัตน์ กมลเวช อดีต กกต. และ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร. เข้าร่วมเสวนา

ตอนแรกที่ผมได้รับหนังสือเชิญเห็นหัวข้อการเสวนา ทำให้ผมอดคิดถึงคนคนหนึ่งไม่ได้ นั่นคือ ฯพณฯ ท่านบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เพราะเมื่อปี 2549 พรรคชาติไทยได้จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี นายบรรหารได้ปาฐกถาพิเศษ “เรื่องเส้นทางเดินพรรคชาติไทย ในกระแสความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง” กล่าวว่า

“ตนมีวิญญาณการต่อสู้ทางการเมืองมาตลอด 30 ปี เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งใด ก็สู้จนสุดความสามารถเท่าที่จะสู้ได้ แม้อายุอีก 20 กว่าปี จะครบ 100 ปี เมื่อได้ยินเสียงปี่เสียงกลอง ก็นึกว่าอายุเพียงแค่ 50 พร้อมที่จะสู้ ที่ผ่านมาตนได้พูดในที่ประชุมพรรคว่า มีฝนตกห่าใหญ่ พรรคชาติไทยไม่สามารถหลบฝนได้เลย รัฐบาลคุมการเลือกตั้ง ใช้อำนาจรัฐทุกวิถีทาง ทั้งข้าราชการระดับสูงถึงระดับล่าง เพื่อช่วยการเลือกตั้ง จนพรรคไทยรักไทยได้ที่นั่ง ส.ส.ถึง 375 ที่นั่ง เพราะมีการโกงกันทุกวิถีทาง เปลี่ยนถุงบัตรลงคะแนน ก็นึกว่าสภาฯ จะมีความมั่นคง จะอยู่ได้ถึง 4 ปี แต่พุทโธ่อยู่ได้แค่ปีกว่าเท่านั้น ที่ผ่านมาเราเป็นฝ่ายค้าน ก็ทำงานอย่างเต็มที่ ยืนหยัดอย่างเหนียวแน่น แต่คิดว่าอำนาจใดก็ตาม ถ้าใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องก็อยู่ไม่นาน”

นั่นเป็นฝนเมื่อปี 2548 ครับ

ปี 2550 การเลือกตั้งที่จะมีขึ้น จะมีปรากฏการณ์ฝนห่าใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง เป็นมรสุมที่พัดพามาจากลอนดอน ฝนนี้สร้างความสุขให้แก่บุคคลในบางพื้นที่โดยเฉพาะพื้นที่สีแดง และทำให้พื้นที่สีเขียวบางพื้นที่อยู่ในสภาวะน้ำท่วมขัง นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอะไรได้

สิ่งที่น่าเศร้าใจ ที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองบางท่านออกมายอมรับว่าการซื้อตัว ส.ส. เป็นเรื่องปกติ เปรียบเหมือนกับการซื้อตัวนักฟุตบอล ให้เข้ามาสังกัดทีม เพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง

สิ่งที่เจ็บช้ำหนักไปยิ่งกว่าคือ กกต. หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลจัดการการเลือกตั้ง และป้องกันการทุจริตการเลือกตั้ง กลับไม่ทันเกมนักการเมืองเหล่านี้ ไม่เคยมีการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ที่เลวร้ายหนักไปกว่านั้น คือนักการเมืองที่ยอมเอาศักดิ์ศรีของตนเองแลกกับเงินจำนวนหนึ่ง เป็นการขายตัวขายความคิดจิตวิญญาณประชาธิปไตย แล้วอย่างนี้ประชาชน ชาวบ้านที่หลับหูหลับตาเลือกไปจะไปหวังอะไรได้ อย่างมากก็ได้เงิน 200 บาทที่เขาจ่ายมาเป็นค่าเสียเวลาไปลงคะแนนเลือก

หว่านพืชย่อมหวังผล คงไม่มีใครที่ลงเล่นการเมืองแล้วบริจาคเงินด้วยใจกุศล เมื่อลงเวทีหรือสนามการเลือกตั้งทุกฝ่ายอยากจะชนะด้วยกันทั้งนั้น ใครที่มีกำลังมากกว่า ทรัพยากรมากกว่าย่อมเป็นผู้ที่ได้เปรียบ

สถานการณ์ขณะนี้ถ้าเป็นนักการเมืองในพื้นที่ที่เสียงดี ยิ่งสามารถอัพค่าตัวเพิ่มขึ้นมาได้ น้ำมันยังขึ้นราคาทุกวันนับประสาอะไรกับค่าตัวนักการเมือง

ผมจะลองยกตัวอย่าง ถ้ามีการจ่ายเงินให้ ว่าที่ ส.ส. คนละ 30 ล้านบาท เงินนี้จะถึงมือประชาชนเพียงคนละ 100 บาทเท่านั้น สมมติว่าพื้นที่หนึ่งมีประชากร 4.5 แสน คน มีสิทธิเลือกตั้ง 2.5 แสนคน คะแนนที่ต้องการจริงๆ จะเพียงแค่ 1 แสนคะแนน ถ้าซื้อ 2 แสนคะแนนตกหัวละ 100 บาทก็จะใช้เงินทั้งหมด 20 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีค่าบริหารจัดการอีกประมาณ 4-5 ล้านบาท จำพวกโปสเตอร์ ป้ายหาเสียง แผ่นพับ ใบปลิว ค่าจ้างหัวคะแนนประจำหน่วยอีกประมาณ 6 พันคน คนละประมาณ 500-1,000 บาท รวมแล้วตกประมาณ 6 ล้านบาท

เรื่องเหล่านี้ เกือบทุกคนทราบดียกเว้นแต่ กกต. ทั้งๆ ที่ กกต. มีดาบอาญาสิทธิ์ที่จะลงโทษเพราะการกระทำแบบนี้เป็นการกระทำที่สัญญาว่าจะให้หรือกระทำอื่นใดที่สามารถคิดเป็นเงินได้ ก็ถือว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง กกต.สามารถเอาผิดได้

หาก กกต. จะดำเนินการก็ทำได้ โดยประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยใช้วิทยุสื่อสารประสานงานกัน โดยตามตั้งแต่การเบิกจ่ายเงินไปจนถึงปลายทางเข้าบ้านนักการเมืองคนใด ก็จะสามารถหาพยานหลักฐานได้แล้ว

การเลือกตั้งครั้งนี้จะมี ส.ส. จากพรรคใหญ่ 2-3 พรรคเท่านั้น จำนวนคนที่แข่งขันกันไม่น่าจะเกินพันคน

สมมติว่าในจำนวนนี้ มี 800 คนที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเช่นนี้ หากใช้คนละ 30 ล้านบาท จะรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2.4 หมื่นล้านบาท ไม่ว่าคนที่แพ้หรือชนะต่างก็เสียเงินด้วยกันทั้งสิ้น

ผมฟันธงได้เลยว่า เราจะเข้าสู่การเมืองแบบเก่าไม่ต่างอะไรจากปี 48 -49 สมัยทักษิณอยู่ในอำนาจ เพราะนักการเมืองถูกซื้อตัวไปหมด ทำให้โดนบิดเบือนเจตนารมณ์หรืออุดมการณ์ที่จะทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

ประชาชนก็จะมีประชาธิปไตยแค่ 4 วินาทีแบบเดิม กาบัตรไปแล้วก็จบกัน

เราควรมาช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรจะให้วงจรอุบาทว์อย่างนี้หมดสิ้นเสียทีจากประเทศไทย เพราะเมื่อเขาซื้อเสียงเข้ามา แล้วได้บริหารประเทศ เขาจะพากันกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องอย่างเต็มที่ กระบวนการตรวจสอบ เครื่องมือต่างๆ จะพิการแบบเดิม ไม่สามารถใช้งานได้

ในเมื่อเรามี รัฐธรรมนูญ 2550 ที่พึ่งประกาศใช้ ทำไมเราไม่นำมาประเดิมเรื่องการซื้อตัว ส.ส. กันก่อน เพราะตามมาตรา 237 ได้ระบุว่า ถ้าการเลือกตั้งส่อว่าไม่สุจริตสามารถยกเลิกเพิกถอนได้ และถ้ามีการทุจริตกรรมการบริหารพรรครู้เห็นเป็นใจ พรรคนั้นจะต้องถูกยุบ

ลองใช้ดูก่อนเลยดีไหมครับ ถือว่าเป็นการประเมินผลรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยอีกทาง แล้วยังช่วยให้นักการเมืองดีๆ ไม่โดนกระแสน้ำฝนพัดพาไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา หรือถ้าเกิดฝนห่าใหญ่น้ำท่วมหนักจริงๆ อาจจะตรงกับเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาที่ว่ากระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจมก็เป็นได้ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น