ข่าวเชิงวิเคราะห์ “เบื้องหลังโรงงานเจ๊ง” ความยาว 2 ตอนจบ
ตอนที่ 1
เจาะลึกต้นตอปัญหาโรงงานปิดกิจการ ปัญหาส่อเค้าจากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว สินค้าโนเนมจากจีนเบียดแบรนด์เนมสหรัฐฯ บริษัทแม่ถอนออเดอร์ซบเวียดนามด้วยค่าแรงล่อใจเพียง 60-70 บาทต่อวัน ส่วนค่าเงินบาทเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง แต่ฟางเส้นสุดท้ายคือสถาบันการเงินขึ้นบัญชีดำ หมวดสิ่งทอ-รองเท้า คุมเข้มแทบไม่ปล่อยกู้ ทำให้โรงงานขาดสภาพคล่องอย่างหนักจนต้องปิดตัวในที่สุด
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเกิดขึ้นพร้อมกับการเข้าสู่การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมของไทยเมื่อกว่า 40 ปีที่ผ่านมา แต่ภาพรวมสถานการณ์การประกอบกิจการของอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยในปัจจุบัน ข้อมูลจากการรายงานของสมาคมเครื่องนุ่งห่มไทย พบว่า โรงงานที่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมสิ่งทอมีทั้งสิ้น 1,780 แห่ง ปิดกิจการจำนวน 123 แห่ง หรือคิดเป็น 6.91% ในจำนวนนี้มีโรงงานขนาดใหญ่ปิดตัว 1 แห่ง หรือ คิดเป็น 3.33% เมื่อเทียบกับโรงงานในขนาดเดียวกัน และโรงงานขนาดเล็กปิดตัว 122 แห่ง หรือคิดเป็น 8.13% เมื่อเทียบกับโรงงานในขนาดเดียวกัน
**แข่งขันแพ้ จีน-เวียดนาม กระจุย
ทั้งนี้ สถานะของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทย ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงทั้งตลาดภายในและตลาดต่างประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอฯของไทย อยู่ระหว่างกลาง(Comparative Nutcracker) ระหว่างสินค้าระดับบนกับระดับล่าง ทำให้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงทั้ง 2 ระดับ โดยสินค้าระดับบนต้องแข่งขันกับประเทศผู้นำแฟชั่น อย่างอิตาลี ฝรั่งเศส และฮ่องกง ในขณะที่ระดับล่างต้องแข่งขันกับคู่แข่งทั้งจากจีนและเวียดนามที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนอย่างมาก
ข้อมูลจากรายงานการวิจัยของกลุ่มบริหารความเสี่ยง ธนาคารไทยพาณิชย์ พบว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยปี 2549 ขยายตัวร้อยละ 2 ชะลอตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 ที่ขยายตัวร้อยละ 5 โดยมีสาเหตุที่สำคัญ จากการชะลอตัวของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น อีกทั้งต้นทุนการผลิตของไทยในปัจจุบันค่อนข้างสูงจากสถานการณ์ราคาน้ำมันและวัตถุดิบ ขณะที่ค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในแถบภูมิภาคเดียวกันจึงทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง
ประกอบกับ รายงานวิจัยชิ้นล่าสุด ของบริษัท GfK Roper Consulting ที่ทำการสำรวจความนิยมในสินค้าแบรนด์เนมของสหรัฐฯ ซึ่งมีฐานการผลิตส่วนหนึ่งอยู่ในประเทศไทย ได้ผลสนับสนุนที่สอดคล้องกัน กล่าวคือ สินค้าแบรนด์เนมจากสหรัฐฯ ได้รับความนิยมลดลงอย่างมาก โดยมีสินค้ามาตรฐานระดับกลางจากประเทศจีนเข้าแย่งตลาด จึงทำให้บริษัทแบรนด์เนมของโลกต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับกลางได้
สอดคล้องกับ รศ.สมภพ มานะรังสรรค์ ผู้อำนวยการสถาบันจีนศึกษา และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ระบุว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยต้องเผชิญการแข่งขันกับจีนและเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนอย่างมาก โดยทางด้านของจีนมีความได้เปรียบจากโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ ทั้งอุตสาหกรรมการผลิตใยฝ้าย ปิโตรเคมี และโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์
ส่วนเวียดนามมีความได้เปรียบจากอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าประเทศไทย 3-4 เท่า โดยมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยประมาณ 55 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือ ประมาณ 60-70 บาทต่อวัน ในขณะที่ไทยมีอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำประมาณ 143-191 บาท/วัน แต่สิ่งที่ทั้งสองประเทศได้เปรียบไทยเหมือนกันคือรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างมาก เพื่อให้อุตสาหกรรมสิ่งทอช่วยรองรับการขยายตัวของภาคแรงงาน ดังจะเห็นได้จาก กรณีของเวียดนามปัจจุบันมีแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอกว่า 1.2 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยที่มีจำนวน 1 ล้านคนเศษ
ขณะเดียวกัน การที่ทั้งสองประเทศมีประชากรจำนวนมาก โดยประเทศจีนมีประชากร 1.3 พันล้านคน และเวียดนาม มีประชากร 80 ล้านคน และด้วยความที่เป็นประเทศเกิดใหม่ยังมีความต้องการใช้สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มอีกมาก จึงทำให้ทั้งสองประเทศก็มีตลาดรองรับที่แน่นอนทั้ง 2 ขา คือ ตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ ทำให้ได้เปรียบประเทศไทยค่อนข้างมาก
ด้าน นายวัลลภ วิตนากร เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นว่า สาเหตุที่โรงงานขนาดเล็กต้องปิดตัวลงเป็นเพราะ การเปิดเสรีการค้าสิ่งทอ ประกอบกับการที่เวียดนาม เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(WTO) ทำให้ผู้ว่าจ้างได้ย้ายฐานการผลิตไปจ้างโรงงานที่เวียดนามแทน เพราะได้เปรียบเรื่องของต้นทุน อีกทั้งประเทศเวียนนามยังได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าและศุลกากร (GSP) อยู่ในระดับที่ดีกว่าประเทศไทย ในฐานะที่เวียดนามยังเป็นประเทศพัฒนาน้อยกว่าไทย ดังนั้น ในอนาคตถ้าโรงงานขนาดเล็กที่เหลืออยู่ยังไม่มีการปรับตัวก็มีโอกาสที่จะปิดตัวลงมากกว่า 40%
**บาทแข็งค่าถล่มซ้ำ
เมื่อพิจารณาผลกระทบในแต่ละประเด็นพบว่าในด้านอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้สถานการณ์การแข่งขันของไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งมากขึ้น ข้อมูลจากการสืบค้นผ่าน http://finance.yahoo.com ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดต่างประเทศพบว่าค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเดียวกัน
ประเด็นค่าเงินบาท นายวัลลภ มองว่ากระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ไทย ถ้าค่าเงินบาทอยู่ในระดับ 34-35 บาท ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ยังสามารถพอรับได้ แต่ถ้าต่ำกว่า 33 บาท แม้จะเป็นโรงงานขนาดใหญ่ก็ไม่ไหวเช่นกัน ซึ่งประเด็นนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องสามารถบริหารจัดการให้ได้ อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทไม่ใช่สาเหตุเดียว ปัญหาที่รุนแรงกว่าคือสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้จึงทำให้โรงงานขนาดสภาพคล่องอย่างหนักในการประกอบกิจการ เช่น กรณีของโรงงานไทยศิลป์ฯ เป็นต้น
**รุนแรงหนักธนาคารงดปล่อยกู้
“ผู้จัดการรายวัน” ตรวจสอบขอมูลการให้สินเชื่อไปยังพนักงานระดับเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ได้ความว่า ทางเศรษฐกิจของธนาคารได้จัดอุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้าให้อยู่ในบัญชีดำ (Black List) ต้องเฝ้าระวังเป็นเป็นพิเศษในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่รับจ้างผลิต (Original Equipment Manufacturing: OEM) ไม่มีแบรนด์เนมเป็นของตนเองทางธนาคารปิดตายไม่ปล่อยกู้เลย เว้นไว้แต่จะเป็นลูกค้าเก่าแก่ของธนาคาร
นายวิรัตน์ ตันเดชานุรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เปิดเผยในงานสัมมนาเรื่อง “สูตรสำเร็จสูตลาดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม” เมื่อเร็วๆ นี้ว่า สถาบันการเงินขาดความเชื่อมั่นในตลาดอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง จึงไม่ปล่อยสินเชื่อ ทำให้โรงงานขาดสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ ดังนั้น สถาบันสิ่งทอจึงเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ให้โอกาสกับผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินการต่อไปได้
**ปิดตำนานไทยศิลป์
ข่าวการปิดตัวของ บริษัทไทยศิลป์ อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กปอร์ต จำกัด โรงงานสิ่งทอฯ ขนาดใหญ่ 1 ใน 30 แห่งของไทย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ปล่อยลอยแพพนักงานร่วม 3 พันคน สร้างความตื่นตะลึงให้กับสังคมไทย เพราะกังวลว่าปัญหาดังกล่าวจะลุกลามขยายวงออกไปยังภาคธุรกิจอื่นๆ
จากการตรวจค้นข้อมูลทางการเงินผ่านกรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ข้อมูลระหว่างปี 2546-2548 ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด เนื่องจาก บริษัทยังคงทำกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2546 กำไรสุทธิ 3,148,466 บาท ปี 2547 กำไรสุทธิ 13,810,388 และ ปี 2548 กำไรสุทธิ 14,949,476 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบข่าวในวงการสิ่งทอ พบว่า บริษัทไทยศิลป์ฯ ประสบปัญหาหนักเมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทำงานของโรงงานทำให้ลูกค้าขาดความมั่นใจในระบบมาตรฐานอุตสาหกรรม จึงลดออเดอร์กับทางบริษัท และอีกเหตุผลหนึ่งคือบริษัทต้องการย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศเวียดนามอยู่ก่อนแล้วจึงไม่พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
**ทางรอดสิ่งทอไทย
รศ.สมภพ แนะนำว่า ทางรอดของอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยต้องปรับตัวเพื่อสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้น เพราะอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ไทยเริ่มดำเนินการมาแล้วกว่า 40 ปี แต่ยังทำได้เพียงรับจ้างผลิต พออยู่ในสถานะเสียเปรียบจะย้ายฐานการผลิตก็ทำไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยก็ยังมีจุดแข็งเช่นกัน ทั้งในในเรื่องของฝีมือแรงงาน มาตรฐานสินค้า และการส่งมอบได้ตรงตามกำหนดนัดหมาย
ทางด้าน เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เสนอแนะแนวทางในการปรับตัวว่า ภาคการผลิตต้องพยายามเร่งขจัดต้นทุนส่วนเกิน(Lean Manufactory) โดยการสร้างระบบบริหารโซ่อุปทาน (Supply Chain) สามารถนำวัตถุดิบป้อนเข้าโรงงานได้ตรงตามออเดอร์และตรงต่อเวลา มีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ลดพนักงานที่ไม่ก่อให้เกิดการผลิตลงโดยเฉพาะกลุ่ม Indirect Labor โดยเฉพาะพนักงานฝ่ายตรวจสอบหรือ QC โดยการโอนย้ายงานไปแพนกอื่นที่ก่อให้เกิดผลผลิตแทน
ส่วนการลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทนั้น นายวัลลภแนะนำว่า ควรหาทางใช้เงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขาย เช่น กรณีที่ผู้ผลิตส่งออกสินค้าไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป(EU) ก็ควรซื้อขายด้วยเงินยูโร (Euro) แทน
ตอนที่ 1
เจาะลึกต้นตอปัญหาโรงงานปิดกิจการ ปัญหาส่อเค้าจากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว สินค้าโนเนมจากจีนเบียดแบรนด์เนมสหรัฐฯ บริษัทแม่ถอนออเดอร์ซบเวียดนามด้วยค่าแรงล่อใจเพียง 60-70 บาทต่อวัน ส่วนค่าเงินบาทเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง แต่ฟางเส้นสุดท้ายคือสถาบันการเงินขึ้นบัญชีดำ หมวดสิ่งทอ-รองเท้า คุมเข้มแทบไม่ปล่อยกู้ ทำให้โรงงานขาดสภาพคล่องอย่างหนักจนต้องปิดตัวในที่สุด
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเกิดขึ้นพร้อมกับการเข้าสู่การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมของไทยเมื่อกว่า 40 ปีที่ผ่านมา แต่ภาพรวมสถานการณ์การประกอบกิจการของอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยในปัจจุบัน ข้อมูลจากการรายงานของสมาคมเครื่องนุ่งห่มไทย พบว่า โรงงานที่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรมสิ่งทอมีทั้งสิ้น 1,780 แห่ง ปิดกิจการจำนวน 123 แห่ง หรือคิดเป็น 6.91% ในจำนวนนี้มีโรงงานขนาดใหญ่ปิดตัว 1 แห่ง หรือ คิดเป็น 3.33% เมื่อเทียบกับโรงงานในขนาดเดียวกัน และโรงงานขนาดเล็กปิดตัว 122 แห่ง หรือคิดเป็น 8.13% เมื่อเทียบกับโรงงานในขนาดเดียวกัน
**แข่งขันแพ้ จีน-เวียดนาม กระจุย
ทั้งนี้ สถานะของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทย ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงทั้งตลาดภายในและตลาดต่างประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอฯของไทย อยู่ระหว่างกลาง(Comparative Nutcracker) ระหว่างสินค้าระดับบนกับระดับล่าง ทำให้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงทั้ง 2 ระดับ โดยสินค้าระดับบนต้องแข่งขันกับประเทศผู้นำแฟชั่น อย่างอิตาลี ฝรั่งเศส และฮ่องกง ในขณะที่ระดับล่างต้องแข่งขันกับคู่แข่งทั้งจากจีนและเวียดนามที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุนอย่างมาก
ข้อมูลจากรายงานการวิจัยของกลุ่มบริหารความเสี่ยง ธนาคารไทยพาณิชย์ พบว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยปี 2549 ขยายตัวร้อยละ 2 ชะลอตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 ที่ขยายตัวร้อยละ 5 โดยมีสาเหตุที่สำคัญ จากการชะลอตัวของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น อีกทั้งต้นทุนการผลิตของไทยในปัจจุบันค่อนข้างสูงจากสถานการณ์ราคาน้ำมันและวัตถุดิบ ขณะที่ค่าเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในแถบภูมิภาคเดียวกันจึงทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง
ประกอบกับ รายงานวิจัยชิ้นล่าสุด ของบริษัท GfK Roper Consulting ที่ทำการสำรวจความนิยมในสินค้าแบรนด์เนมของสหรัฐฯ ซึ่งมีฐานการผลิตส่วนหนึ่งอยู่ในประเทศไทย ได้ผลสนับสนุนที่สอดคล้องกัน กล่าวคือ สินค้าแบรนด์เนมจากสหรัฐฯ ได้รับความนิยมลดลงอย่างมาก โดยมีสินค้ามาตรฐานระดับกลางจากประเทศจีนเข้าแย่งตลาด จึงทำให้บริษัทแบรนด์เนมของโลกต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันในตลาดระดับกลางได้
สอดคล้องกับ รศ.สมภพ มานะรังสรรค์ ผู้อำนวยการสถาบันจีนศึกษา และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ระบุว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยต้องเผชิญการแข่งขันกับจีนและเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนอย่างมาก โดยทางด้านของจีนมีความได้เปรียบจากโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ ทั้งอุตสาหกรรมการผลิตใยฝ้าย ปิโตรเคมี และโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์
ส่วนเวียดนามมีความได้เปรียบจากอัตราค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าประเทศไทย 3-4 เท่า โดยมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยประมาณ 55 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือ ประมาณ 60-70 บาทต่อวัน ในขณะที่ไทยมีอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำประมาณ 143-191 บาท/วัน แต่สิ่งที่ทั้งสองประเทศได้เปรียบไทยเหมือนกันคือรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างมาก เพื่อให้อุตสาหกรรมสิ่งทอช่วยรองรับการขยายตัวของภาคแรงงาน ดังจะเห็นได้จาก กรณีของเวียดนามปัจจุบันมีแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอกว่า 1.2 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยที่มีจำนวน 1 ล้านคนเศษ
ขณะเดียวกัน การที่ทั้งสองประเทศมีประชากรจำนวนมาก โดยประเทศจีนมีประชากร 1.3 พันล้านคน และเวียดนาม มีประชากร 80 ล้านคน และด้วยความที่เป็นประเทศเกิดใหม่ยังมีความต้องการใช้สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มอีกมาก จึงทำให้ทั้งสองประเทศก็มีตลาดรองรับที่แน่นอนทั้ง 2 ขา คือ ตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ ทำให้ได้เปรียบประเทศไทยค่อนข้างมาก
ด้าน นายวัลลภ วิตนากร เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นว่า สาเหตุที่โรงงานขนาดเล็กต้องปิดตัวลงเป็นเพราะ การเปิดเสรีการค้าสิ่งทอ ประกอบกับการที่เวียดนาม เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก(WTO) ทำให้ผู้ว่าจ้างได้ย้ายฐานการผลิตไปจ้างโรงงานที่เวียดนามแทน เพราะได้เปรียบเรื่องของต้นทุน อีกทั้งประเทศเวียนนามยังได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าและศุลกากร (GSP) อยู่ในระดับที่ดีกว่าประเทศไทย ในฐานะที่เวียดนามยังเป็นประเทศพัฒนาน้อยกว่าไทย ดังนั้น ในอนาคตถ้าโรงงานขนาดเล็กที่เหลืออยู่ยังไม่มีการปรับตัวก็มีโอกาสที่จะปิดตัวลงมากกว่า 40%
**บาทแข็งค่าถล่มซ้ำ
เมื่อพิจารณาผลกระทบในแต่ละประเด็นพบว่าในด้านอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้สถานการณ์การแข่งขันของไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งมากขึ้น ข้อมูลจากการสืบค้นผ่าน http://finance.yahoo.com ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดต่างประเทศพบว่าค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเดียวกัน
ประเด็นค่าเงินบาท นายวัลลภ มองว่ากระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ไทย ถ้าค่าเงินบาทอยู่ในระดับ 34-35 บาท ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ยังสามารถพอรับได้ แต่ถ้าต่ำกว่า 33 บาท แม้จะเป็นโรงงานขนาดใหญ่ก็ไม่ไหวเช่นกัน ซึ่งประเด็นนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องสามารถบริหารจัดการให้ได้ อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทไม่ใช่สาเหตุเดียว ปัญหาที่รุนแรงกว่าคือสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้จึงทำให้โรงงานขนาดสภาพคล่องอย่างหนักในการประกอบกิจการ เช่น กรณีของโรงงานไทยศิลป์ฯ เป็นต้น
**รุนแรงหนักธนาคารงดปล่อยกู้
“ผู้จัดการรายวัน” ตรวจสอบขอมูลการให้สินเชื่อไปยังพนักงานระดับเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ได้ความว่า ทางเศรษฐกิจของธนาคารได้จัดอุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้าให้อยู่ในบัญชีดำ (Black List) ต้องเฝ้าระวังเป็นเป็นพิเศษในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่รับจ้างผลิต (Original Equipment Manufacturing: OEM) ไม่มีแบรนด์เนมเป็นของตนเองทางธนาคารปิดตายไม่ปล่อยกู้เลย เว้นไว้แต่จะเป็นลูกค้าเก่าแก่ของธนาคาร
นายวิรัตน์ ตันเดชานุรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เปิดเผยในงานสัมมนาเรื่อง “สูตรสำเร็จสูตลาดสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม” เมื่อเร็วๆ นี้ว่า สถาบันการเงินขาดความเชื่อมั่นในตลาดอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง จึงไม่ปล่อยสินเชื่อ ทำให้โรงงานขาดสภาพคล่องในการดำเนินกิจการ ดังนั้น สถาบันสิ่งทอจึงเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ให้โอกาสกับผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินการต่อไปได้
**ปิดตำนานไทยศิลป์
ข่าวการปิดตัวของ บริษัทไทยศิลป์ อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กปอร์ต จำกัด โรงงานสิ่งทอฯ ขนาดใหญ่ 1 ใน 30 แห่งของไทย เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ปล่อยลอยแพพนักงานร่วม 3 พันคน สร้างความตื่นตะลึงให้กับสังคมไทย เพราะกังวลว่าปัญหาดังกล่าวจะลุกลามขยายวงออกไปยังภาคธุรกิจอื่นๆ
จากการตรวจค้นข้อมูลทางการเงินผ่านกรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ข้อมูลระหว่างปี 2546-2548 ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด เนื่องจาก บริษัทยังคงทำกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2546 กำไรสุทธิ 3,148,466 บาท ปี 2547 กำไรสุทธิ 13,810,388 และ ปี 2548 กำไรสุทธิ 14,949,476 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบข่าวในวงการสิ่งทอ พบว่า บริษัทไทยศิลป์ฯ ประสบปัญหาหนักเมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุในระหว่างทำงานของโรงงานทำให้ลูกค้าขาดความมั่นใจในระบบมาตรฐานอุตสาหกรรม จึงลดออเดอร์กับทางบริษัท และอีกเหตุผลหนึ่งคือบริษัทต้องการย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศเวียดนามอยู่ก่อนแล้วจึงไม่พยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
**ทางรอดสิ่งทอไทย
รศ.สมภพ แนะนำว่า ทางรอดของอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยต้องปรับตัวเพื่อสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้น เพราะอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ไทยเริ่มดำเนินการมาแล้วกว่า 40 ปี แต่ยังทำได้เพียงรับจ้างผลิต พออยู่ในสถานะเสียเปรียบจะย้ายฐานการผลิตก็ทำไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยก็ยังมีจุดแข็งเช่นกัน ทั้งในในเรื่องของฝีมือแรงงาน มาตรฐานสินค้า และการส่งมอบได้ตรงตามกำหนดนัดหมาย
ทางด้าน เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เสนอแนะแนวทางในการปรับตัวว่า ภาคการผลิตต้องพยายามเร่งขจัดต้นทุนส่วนเกิน(Lean Manufactory) โดยการสร้างระบบบริหารโซ่อุปทาน (Supply Chain) สามารถนำวัตถุดิบป้อนเข้าโรงงานได้ตรงตามออเดอร์และตรงต่อเวลา มีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ลดพนักงานที่ไม่ก่อให้เกิดการผลิตลงโดยเฉพาะกลุ่ม Indirect Labor โดยเฉพาะพนักงานฝ่ายตรวจสอบหรือ QC โดยการโอนย้ายงานไปแพนกอื่นที่ก่อให้เกิดผลผลิตแทน
ส่วนการลดผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทนั้น นายวัลลภแนะนำว่า ควรหาทางใช้เงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขาย เช่น กรณีที่ผู้ผลิตส่งออกสินค้าไปยังประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป(EU) ก็ควรซื้อขายด้วยเงินยูโร (Euro) แทน