ภาวะที่ตื่นตระหนกในตลาดการเงินทั่วโลก จากปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปล่อยให้ลูกหนี้คุณภาพต่ำ (ซับไพร์ม) ในสหรัฐอเมริกา ได้ก่อให้เกิดความกังวลว่าจะกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจไทยหรือไม่อย่างไร เนื่องจากปฏิกิริยาตอบสนองต่อปัญหานี้เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งถึงจะเห็นผลกระทบที่ตามมาชัดเจนขึ้นว่าใครเกี่ยวข้องกับปัญหานี้บ้าง จึงยังไม่ควรด่วนสรุปผลในชั้นนี้ อย่างไรก็ตามหากการที่ธนาคารกลางของประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจที่ออกมาแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที โดยอัดฉีดเงินสร้างสภาพคล่องในระบบการเงินโลก เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและคลายความกังวลเรื่องภาวการณ์ขาดทุนที่เกี่ยวข้องกับตลาดซับไพร์ม สัมฤทธิ์ผลในการสร้างความมั่นใจแก่ตลาดการเงินโลก ความเสียหายก็จะอยู่ในวงจำกัด และผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยก็จะมีเพียงเล็กน้อย
ในเบื้องต้น หากสถานการณ์ไม่ลุกลามกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ในระดับโลก ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสามารถประเมินได้ใน 5 ด้าน ได้แก่ 1.ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย 2.การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา 3.ระบบสถาบันการเงินไทย 4. นักลงทุนสถาบันของไทย 5. ต่อตลาดหลักทรัพย์และค่าเงินบาท
ประการที่หนึ่ง ผลกระทบต่อตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่กลายเป็น NPL เพิ่มขึ้นของสหรัฐอเมริกาจะไม่มีผลกระทบให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสินเชื่อคนละตลาดกัน ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกันในลักษณะที่จะผิดนัดชำระหนี้เป็นลูกโซ่ (Cross Default) การที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยจะเป็น NPL หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวม และที่ผ่านมาสถาบันการเงินไทยมีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะที่อิงกับหลักประกันประเภทอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังไม่อยู่ในภาวะปริมาณเกิน (Over Supply) จนเป็นปัญหา
แต่ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่มีการปรับตัวเร็ว เมื่อมีคนไม่สามารถชำระหนี้หรือสัญญาณของการเป็น NPL เพิ่มขึ้น จนเริ่มมีความไม่เชื่อมั่นกับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ผู้เล่นในตลาดก็จะปรับตัวกันอย่างรวดเร็ว บางครั้งทุกคนปรับตัวพร้อม ๆ กันทำให้มูลค่าทรัพย์สินในตลาดนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยส่วนใหญ่อยู่ในตลาดแรกและไม่ได้มีการซื้อขายสินเชื่อในตลาดรอง และไม่มีการแปลงสินเชื่อเป็นตราสารการเงิน เช่น Mortgage Backed Securities (MBS) และ Collateralized Debt Obligations (CDOs) ในระดับเดียวกับของสหรัฐอเมริกา ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย จึงไม่ได้มีความอ่อนไหว เช่น ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกา การเกิดปัญหาของสหรัฐฯในครั้งนี้ เป็นสัญญาณเตือนภัยและโอกาสให้ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ดำเนินการปล่อยสินเชื่อและลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์จนทำให้เกิดเป็นปัญหาเช่นเดียวกับตลาดของสหรัฐอเมริกา
ประการที่สอง ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐอเมริกา ตลาดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มชะลอตัวลงอยู่แล้วตั้งแต่ต้นปี โดยสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯลดลงอย่างต่อเนื่องได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป, เครื่องรับวิทยุ, โทรทัศน์และส่วนประกอบ, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป โดยในเดือนมิถุนายนมีการส่งออกลดลงร้อยละ 5.8 ในขณะที่มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯต่อปีมีมูลค่า 750,000 ล้านบาท คิดเป็น 15 % ของส่วนแบ่งตลาดการส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ได้พึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาเพียงตลาดเดียว ตลาดส่งออกสำคัญอื่น ๆ ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 24, 17 และ 15.5 ตามลำดับ อีกทั้งยังมีตลาดใหม่ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 25.9
ประการที่สาม ผลกระทบต่อสถาบันการเงินไทยธนาคารพาณิชย์บางแห่งลงทุนในสินทรัพย์หรือตราสารทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกา เช่น MBS และ CDOs ซึ่งเป็นตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่มีผลตอบแทนและความเสี่ยงอิงกับผลการดำเนินงานของผู้ออกตราสารและสินทรัพย์ที่รองรับซึ่งก็คือความสามารถของผู้กู้ในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกา ธนาคารพาณิชย์ไทยลงทุนในตราสารหนี้ประเภทนี้คิดเป็นมูลค่า 0.1 % ของสินทรัพย์ในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด ซึ่งสถาบันการเงินเหล่านี้คงได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่มากนัก
นอกจากนั้น ผลกระทบต่อสภาพคล่อง หรือการให้กู้ต่อสถาบันการเงินไทยก็คงมีไม่มาก โดยถึงแม้ว่าปัญหาซับไพร์มจะทำให้สถาบันการเงินในประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ให้กู้กับสถาบันการเงินในประเทศกำลังพัฒนา มีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย เช่น ประเทศไทยยังมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ในระบบการเงินพอสมควร และยังมีอยู่พอสมควรและเพียงพอที่จะรองรับเงินทุนไหลกลับไปยังสหรัฐฯและประเทศที่ได้รับผลกระทบ
ประการที่สี่ ผลกระทบต่อนักลงทุนสถาบันและนักเก็งกำไรทั่วโลก ปัญหาการขาดทุนจากการลงทุนในซับไพร์มจะทำให้นักลงทุนปรับพฤติกรรมโดยขายตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงและหันไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูงขึ้น (Flight for Quality) โดยเน้นลดความเสี่ยงในช่วงนี้ และมองหาผลตอบแทนที่มั่นคง และโยกย้ายเปลี่ยนพอร์ทการลงทุนจากตลาดที่ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงไปยังตลาดที่มีผลตอบแทนลดลงและมีความเสี่ยงลดลง มีผลให้เกิดการโยกย้ายและจัดสรรสินทรัพย์ใหม่ (Asset Reallocation) สำหรับผู้ลงทุนสถาบันของไทย เช่น กองทุนประเภทต่างๆ ไม่ได้มีการลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ จึงไม่ได้รับผลกระทบที่จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value) ลดลง
ประการที่ห้า ผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์และค่าเงินบาท ในระยะแรกตลาดหลักทรัพย์ไทยคงได้รับผลกระทบ เนื่องจากความไม่เชื่อมั่นเกิดขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และทำให้มีความผันผวนมากขึ้น แต่ในระยะต่อไป เมื่อนักลงทุนเข้าใจมากขึ้นว่าตลาดในเอเชียไม่เกี่ยวข้องกับซับไพร์มก็จะทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น และโยกย้ายเงินมาลงทุนในตลาดทางภูมิภาคนี้มากขึ้น ซึ่งไทยก็จะได้รับประโยชน์ตรงนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น เนื่องจากต้องการหนีตลาดสหรัฐอเมริกาและไม่มั่นใจในการถือครองสินทรัพย์และตราสารการเงินในรูปดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีความต้องการลงทุนในตลาดการเงินไทย รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ และสินทรัพย์สกุลเงินบาทเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทางการจึงควรเพิ่มความระมัดระวังและเตรียมการบริหารจัดการเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้นในอนาคต
โชติชัย สุวรรณาภรณ์
fsa@fpo.go.th
ในเบื้องต้น หากสถานการณ์ไม่ลุกลามกลายเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ในระดับโลก ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสามารถประเมินได้ใน 5 ด้าน ได้แก่ 1.ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย 2.การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา 3.ระบบสถาบันการเงินไทย 4. นักลงทุนสถาบันของไทย 5. ต่อตลาดหลักทรัพย์และค่าเงินบาท
ประการที่หนึ่ง ผลกระทบต่อตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่กลายเป็น NPL เพิ่มขึ้นของสหรัฐอเมริกาจะไม่มีผลกระทบให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสินเชื่อคนละตลาดกัน ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกันในลักษณะที่จะผิดนัดชำระหนี้เป็นลูกโซ่ (Cross Default) การที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยจะเป็น NPL หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวม และที่ผ่านมาสถาบันการเงินไทยมีความระมัดระวังมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะที่อิงกับหลักประกันประเภทอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังไม่อยู่ในภาวะปริมาณเกิน (Over Supply) จนเป็นปัญหา
แต่ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่มีการปรับตัวเร็ว เมื่อมีคนไม่สามารถชำระหนี้หรือสัญญาณของการเป็น NPL เพิ่มขึ้น จนเริ่มมีความไม่เชื่อมั่นกับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ผู้เล่นในตลาดก็จะปรับตัวกันอย่างรวดเร็ว บางครั้งทุกคนปรับตัวพร้อม ๆ กันทำให้มูลค่าทรัพย์สินในตลาดนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยส่วนใหญ่อยู่ในตลาดแรกและไม่ได้มีการซื้อขายสินเชื่อในตลาดรอง และไม่มีการแปลงสินเชื่อเป็นตราสารการเงิน เช่น Mortgage Backed Securities (MBS) และ Collateralized Debt Obligations (CDOs) ในระดับเดียวกับของสหรัฐอเมริกา ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทย จึงไม่ได้มีความอ่อนไหว เช่น ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกา การเกิดปัญหาของสหรัฐฯในครั้งนี้ เป็นสัญญาณเตือนภัยและโอกาสให้ระมัดระวังมากขึ้น ไม่ดำเนินการปล่อยสินเชื่อและลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์จนทำให้เกิดเป็นปัญหาเช่นเดียวกับตลาดของสหรัฐอเมริกา
ประการที่สอง ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐอเมริกา ตลาดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มชะลอตัวลงอยู่แล้วตั้งแต่ต้นปี โดยสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯลดลงอย่างต่อเนื่องได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป, เครื่องรับวิทยุ, โทรทัศน์และส่วนประกอบ, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป โดยในเดือนมิถุนายนมีการส่งออกลดลงร้อยละ 5.8 ในขณะที่มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯต่อปีมีมูลค่า 750,000 ล้านบาท คิดเป็น 15 % ของส่วนแบ่งตลาดการส่งออกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ได้พึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาเพียงตลาดเดียว ตลาดส่งออกสำคัญอื่น ๆ ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 24, 17 และ 15.5 ตามลำดับ อีกทั้งยังมีตลาดใหม่ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 25.9
ประการที่สาม ผลกระทบต่อสถาบันการเงินไทยธนาคารพาณิชย์บางแห่งลงทุนในสินทรัพย์หรือตราสารทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกา เช่น MBS และ CDOs ซึ่งเป็นตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่มีผลตอบแทนและความเสี่ยงอิงกับผลการดำเนินงานของผู้ออกตราสารและสินทรัพย์ที่รองรับซึ่งก็คือความสามารถของผู้กู้ในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกา ธนาคารพาณิชย์ไทยลงทุนในตราสารหนี้ประเภทนี้คิดเป็นมูลค่า 0.1 % ของสินทรัพย์ในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด ซึ่งสถาบันการเงินเหล่านี้คงได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่มากนัก
นอกจากนั้น ผลกระทบต่อสภาพคล่อง หรือการให้กู้ต่อสถาบันการเงินไทยก็คงมีไม่มาก โดยถึงแม้ว่าปัญหาซับไพร์มจะทำให้สถาบันการเงินในประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ให้กู้กับสถาบันการเงินในประเทศกำลังพัฒนา มีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย เช่น ประเทศไทยยังมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ในระบบการเงินพอสมควร และยังมีอยู่พอสมควรและเพียงพอที่จะรองรับเงินทุนไหลกลับไปยังสหรัฐฯและประเทศที่ได้รับผลกระทบ
ประการที่สี่ ผลกระทบต่อนักลงทุนสถาบันและนักเก็งกำไรทั่วโลก ปัญหาการขาดทุนจากการลงทุนในซับไพร์มจะทำให้นักลงทุนปรับพฤติกรรมโดยขายตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงและหันไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูงขึ้น (Flight for Quality) โดยเน้นลดความเสี่ยงในช่วงนี้ และมองหาผลตอบแทนที่มั่นคง และโยกย้ายเปลี่ยนพอร์ทการลงทุนจากตลาดที่ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงไปยังตลาดที่มีผลตอบแทนลดลงและมีความเสี่ยงลดลง มีผลให้เกิดการโยกย้ายและจัดสรรสินทรัพย์ใหม่ (Asset Reallocation) สำหรับผู้ลงทุนสถาบันของไทย เช่น กองทุนประเภทต่างๆ ไม่ได้มีการลงทุนในตราสารที่เกี่ยวข้องกับตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ จึงไม่ได้รับผลกระทบที่จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value) ลดลง
ประการที่ห้า ผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์และค่าเงินบาท ในระยะแรกตลาดหลักทรัพย์ไทยคงได้รับผลกระทบ เนื่องจากความไม่เชื่อมั่นเกิดขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และทำให้มีความผันผวนมากขึ้น แต่ในระยะต่อไป เมื่อนักลงทุนเข้าใจมากขึ้นว่าตลาดในเอเชียไม่เกี่ยวข้องกับซับไพร์มก็จะทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น และโยกย้ายเงินมาลงทุนในตลาดทางภูมิภาคนี้มากขึ้น ซึ่งไทยก็จะได้รับประโยชน์ตรงนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น เนื่องจากต้องการหนีตลาดสหรัฐอเมริกาและไม่มั่นใจในการถือครองสินทรัพย์และตราสารการเงินในรูปดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีความต้องการลงทุนในตลาดการเงินไทย รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ และสินทรัพย์สกุลเงินบาทเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ทางการจึงควรเพิ่มความระมัดระวังและเตรียมการบริหารจัดการเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้นในอนาคต
โชติชัย สุวรรณาภรณ์
fsa@fpo.go.th