xs
xsm
sm
md
lg

จดหมายเปิดผนึกถึงหัวหน้าคณะปฏิวัติ

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

เรียน พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน

จดหมายฉบับนี้เขียนมานานแล้ว แต่มิได้นำส่งเพราะผมต้องการรอคอยเวลาที่สุกงอมเข้าด้ายเข้าเข็ม จะได้บรรจุเหตุการณ์ปัจจุบันที่ท้าทายการตัดสินใจของชายชาติทหารว่าจะมีปัญญาสมาธิและความกล้าหาญสมกับเครื่องแบบอันมีเกียรติหรือไม่

บัดนี้ เวลานั้นได้มาถึงแล้ว เพียง 2 วันจากวันนี้ประเทศไทยจะมีการลงประชามติ เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญอันเป็นผลพวงมาจากการยึดอำนาจของคณะทหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 นับเวลามาจนถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ครบ 11 เดือนพอดี

ผมขออภัยที่ต้องนำความจริงมาชี้ให้เห็นว่า นอกจากนักการเมืองแล้วไม่มีบุคคลในอาชีพใดที่ทวนสาบานบ่อยครั้งเท่ากับทหารที่ให้สัตย์ปฏิญาณเป็นประจำทุกปีว่าจะ “สละชีพเพื่อชาติ” จะปกป้องราชบัลลังก์ และ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ด้วยชีวิต

นับครั้งไม่ถ้วน ทหารกลับเป็นผู้นำ “วงจรอุบาทว์” มาสู่การเมืองไทยเอง ด้วยการใช้กำลังกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจ มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้น ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่ทหารกับพลเรือนได้ร่วมมือกันอย่างแท้จริง เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย ถึงแม้การปฏิวัตินั้นจะะยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ เพราะกระแสการเมืองของโลก และการต่อสู้ชิงอำนาจกันเองระหว่างชนชั้นปกครองของไทย ก็นับได้ว่าทหารได้เข้าร่วมเป็นกำลังสำคัญของการ “ปฏิวัติ” ด้วยอุดมการณ์และความเสียสละอย่างแท้จริง

ผมอยากเห็นการยึดอำนาจของท่านครั้งนี้ เป็น “การปฏิวัติ” ที่แท้จริงต่างกับทุกๆ ครั้งที่กระทำกันมาตั้งแต่ปี 2490 ซึ่งเป็นการรัฐประหารแบบอำนาจนิยมเพื่อผลประโยชน์ในหมู่คณะของชนชั้นปกครองทั้งสิ้น ทั้งพระเจ้าอยู่หัวและประชาชนเพียงถูกนำมาเป็นข้ออ้างเพื่อความชอบธรรมเท่านั้นเอง

ผมขออัญเชิญพระราชกระแส 2517 ซึ่งต่างกรรมต่างวาระและต่างกลุ่มเป้าหมายแต่ยังคงเป็นอมตะใช้ได้ในปัจจุบัน ดังนี้

“โดยมากที่เกิดเรื่องขึ้นมาในระยะนี้ ก็เพราะว่ามีความคิดที่ไม่ถูกต้อง อ้างสิ่งหนึ่งเพื่ออีกสิ่งหนึ่ง อ้างความดีเพื่อความไม่ดี อ้างผลประโยชน์ของคนหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อ้างผู้ที่ดูน่าสงสารเพื่ออำนาจของตน อ้างทฤษฎีต่างๆ เพื่อทฤษฎีของตนและความยิ่งใหญ่ของตน”

พร้อมจดหมายนี้ ผมแนบหนังสือเรื่อง “ใครทำลายราชประชาสมาสัย คนนั้นทำลายประชาธิปไตยอัมมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”

ด้วยความปรารถนาดีและจริงใจที่สุด นอกจากผมจะไม่อยากให้คนคนนั้นเป็นพลเอกสนธิ บุญยรัตกลินแล้ว ผมยังอยากให้ท่านร่วมกับปวงชนและผู้แทนถาวรของเขาคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างประชาธิปไตยให้กับบ้านเมืองจนสำเร็จ

ประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะรักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ได้ มิใช่การปฏิวัติรัฐประหารหรือยึดอำนาจด้วยกำลังดอก อย่างหลังนี้ คือการนำราชบัลลังก์ไปเสี่ยง และเป็นการทำลายสถาบันด้วยซ้ำ

ท่านทราบดีว่าผมเห็นด้วยกับการใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลทักษิณ เพราะถึงแม้รัฐบาลจะได้อำนาจมาด้วยการเลือกตั้ง แต่ก็ได้ใช้อำนาจนั้นด้วยความผิดพลาดและจงใจจนขาดความชอบธรรม เช่นเดียวกับรัฐบาลของมาร์กอส ฮิตเลอร์ และรัฐบาลประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายในละติน อเมริกา และแอฟริกา ที่มาจากการเลือกตั้ง

ในวันที่ 8 และ 9 ธันวาคม 2548 ผมตีพิมพ์บทความ 2 เรื่องในนสพ.ผู้จัดการคือ “การล้มล้างรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมตามทฤษฎีสัญญาประชาคม” กับ “การล้มล้างรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในทัศนะพุทธ” ในนั้นผมได้อธิบายความซึ่งถึงแม้เป้าหมายคือรัฐบาลทักษิณ แต่ต่อมาก็อาจนำมาใช้กับคมช.และรัฐบาลปัจจุบันได้เหมือนกัน หากได้อำนาจมาแล้วไม่รู้จักใช้ให้เกิดความชอบธรรม

เสียดายที่ในหนังสือที่ผมส่งมามิได้รวมบทความเรื่อง “ระวังปฏิรูปลงทาง” ในนสพ.ผู้จัดการวันที่ 21 กันยายน 2549 ซึ่งผมได้ประกาศว่า การยึดอำนาจครั้งนี้ ผม “รู้แต่ไม่ร่วม เห็นใจแต่ไม่เห็นด้วย ช่วยแต่ไม่ขอเกี่ยวข้อง” ในนั้นผมได้วางหลักการและเงื่อนไขไว้ว่าทำอย่างไรการยึดอำนาจจึงจะชอบธรรม เช่น การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงตั้งแต่เริ่มต้นจากประชาชน ฯลฯ ผมอยากจะเห็นหรือช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง

อีกฉบับหนึ่งวันที่ 27 กันยายน 2549 ผมได้เตือนอีกว่า ระวังอย่าให้เกิดการ “วิ่งเต้น เล่นพวก รีบทำลวกๆ เละอย่างเป็นระบบจบแบบไทยๆ” แต่ในที่สุดทั้งหมดนั้นก็เกิดขึ้นจนได้ ที่ผมรังเกียจที่สุด เพราะถือว่าเป็นความมักง่ายไร้ความรับผิดชอบ ก็คือ การทำอะไรลวกๆ นั่นก็คือ การที่ท่านได้สละอำนาจรัฎฐาธิปัตย์ที่ได้มาจากการยึดอำนาจและขอพระราชทานจากในหลวง ให้กับนักกฎหมายกับนักวิชาการอำนาจนิยมที่รับใช้เผด็จการ รสช.กับบรรดา “ลูกครอก” ที่เป็นบริวารระบอบทักษิณมา ไม่ว่าท่านผู้ใหญ่ท่านใดจะแนะนำหรือฝากฝังมาก็ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น

สิ่งที่ผมหวาดเกรงนั้น คือความเละอย่างเป็นระบบก็เกิดขึ้นจริงๆ ได้แก่ รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 และบทบัญญัติว่าด้วยสมัชชายุง ส.ส.ร. และประชามติ ผมสนับสนุนประชามติมาตลอดทุกยุค แต่จะต้องมีการตระเตรียมอย่างเป็นขั้นตอน ให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้มาแต่ต้น สำหรับครั้งนี้เวลาจำกัด ผู้จัดไม่มีประสบการณ์ และประชาชนอยู่ในความว่างเปล่า จัดมหกรรมโฆษณาปาหี่อย่างไร ก็เหลวอยู่ดี

ประชามติครั้งนี้ในทัศนะรัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตยไม่มีทางผ่าน แต่ในทางยุทธศาสตร์ เป็นการต่อสู้กันทางการเมืองระบอบทักษิณ กับคมช. ผู้ที่ต่อสู้กับระบอบทักษิณ อาจจะต้องให้ผ่านไปก่อน แล้วค่อยไปตายดาบหน้า ความจริงทักษิณคงอยากให้ผ่าน เพราะเลือกตั้งเขาได้เปรียบที่สุด แต่ตีกวนเอาไว้เพื่อหาเสียงกับต่างประเทศ ในประเทศออกมาอย่างไร ก็ดีกับเขาทั้งขึ้นทั้งล่อง

ท่านคงทราบดีพอๆ กับผม ว่า การยึดอำนาจจะต้องเกิดขึ้น หลังจากวันที่ท่านไปกินข้าวเที่ยงที่ กอรมน.แล้ว ท่านเองก็เคยตอบทักษิณเล่นๆ ว่า ถ้าทักษิณจะปลดท่านๆ จะทำการปฏิวัติ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทักษิณเอาไปอ้างได้ ส่วนการที่ท่านต้องรอไฟเขียวนั้น ไม่น่าจะเอามาพูดกัน เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเสื่อมเสียถึงผู้ใหญ่ได้

ผมเองกับเพื่อนๆ ได้ทำใจล่วงหน้า และหาเอกสารเรื่องกองทัพโปรตุเกสยึดอำนาจจากรัฐบาลเผด็จการ เพื่อสถาปนาประชาธิปไตย โดยมีหลักการและแผนการ (Road Map) อย่างแน่นอนภายใน 2 ปีพอดี ผมเองได้ยินท่านพูดถึงกองทัพโปรตุเกสก็ดีใจ แต่แล้วก็ผิดหวังที่ท่านไม่จำเริญรอยตามตัวอย่างที่ดีของเขา

ถ้าหากท่านกรุณาอ่านหนังสือที่ผมฝากมา “ใครทำลายราชประชาสมาสัย คนนั้นทำลายประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ท่านจะรู้สึกว่าพวกท่านมิได้ให้ความสนใจและตั้งใจปฏิรูปพระราชอำนาจในระบอบประชาธิปไตยเลย

พลเอกสุรยุทธ์เคยคุยกับผมว่า หากมีกรรมต้องรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจริงๆ หากทำอะไรไม่ได้เลย หากปฏิรูปตำรวจให้เป็นตำรวจอาชีพได้สักครึ่งหนึ่ง ก็นับว่าคุ้ม ผมว่าเท่านั้นไม่พอ อยากขอให้ท่านปฏิรูปทหารให้เป็นทหารอาชีพ อย่าเข้ามายุ่งกับการเมือง และลดขนาดลงมากๆ อย่าให้นายพลเอกเดินชนกันตาย ไหนจะเอาแบบอเมริกันแล้ว ก็ขอให้ทำจริงๆ

ในวันที่ 19 สิงหาคม นี้ ประชามติอาจจะผ่าน แต่จะเป็นการส่งต่อยาพิษอวิชชา และอนาคตหายนะให้กับการเมืองไทย ยกเว้นแต่ท่านกับรัฐบาลจะหาทางแก้ไข ซึ่งมีอยู่หลายวิธี ไม่เกินปัญญาของคนไทย

แต่ถ้าท่านกับรัฐบาลและพ.ต.ท.ทักษิณต่างก็เห็นว่า การเลือกตั้งเป็นคำตอบสุดท้าย ถึงแม้ว่าเหตุผลจะต่างกัน ผมเชื่ออย่างที่ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ว่า จะต้องรอรับวิกฤตใหญ่ และปฏิรูปการเมืองกันอีกรอบหนึ่ง

ผมไม่อยากจะก้าวล่วงสิทธิในทางการเมืองของท่าน แต่อยากให้ท่านกรุณาอ่านเรื่อง “พรรคหัวหน้าตั้งไม่ยั่งยืน” แล้วตอบตัวเองอย่างลูกผู้ชายว่า ท่านเก่งกว่าจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม พลเอกเกรียงศักดิ์ พลเอกชวลิต และพลเอก ฯลฯ อย่างไร พรรคการเมืองชั่วคราวหรือแก๊งเลือกตั้งคือความด้อยพัฒนาถาวรของระบอบการเมืองไทย

ท่านคงเห็นแล้วว่า นักเลือกตั้งต่างก็วิงพล่านตั้งพรรคหรือหาพรรคสังกัดกันอยู่ ผลที่สุดถ้าใครเอาเงินมากองได้มากกว่า ก็จะประกาศ “ไอ้เสือเอาวา” ได้ก่อน ท่านได้ยินสมศักดิ์ เทพสุทิน ตอบสรยุทธ์ หรือไม่ว่า สูตรนี้พวกทักษิณจะชนะแน่นอน

คุณบุญชู โรจนเสถียร มิตรผู้ล่วงลับของผม ผู้ซึ่งตั้งพรรคและล้มเหลวทั้งที่เป็นสุดยอดนายธนาคาร ทำนายว่า “วงจรอุบาทว์กลับมาอีกแล้ว ฯลฯ ทีนี้ถามมาว่าจะแก้กันอย่างไร เมื่อกี้นี้ก็บอกว่าเราต้องพัฒนาพรรคการเมือง ไม่ทันกินหรอก เพราะพรรคการเมืองที่มีอยู่ในทอปบู๊ท นี่มานานแล้ว มันเป็นบอนไซไม่โต ก็มันจะพัฒนาได้อย่างไร 2-3 ปีหยุดๆ ยึดเรื่อย ก็ลองบอกกองทัพไปอยู่กับกองทัพเฉยๆ ก่อน ไปพัฒนากองทัพเสีย แล้วผมก็พัฒนาพรรคการเมืองของผม อย่ามายุ่งเกี่ยวกันได้ไหม”

ผมอยากจะเรียนพลเอกสนธิว่า ไม่ว่าประชามติจะมีผลออกมาอย่างไร มันคงมิใช่ต้นชี้ตายปลายชี้เป็นหรอก ยังมีวิธีการอีกมากที่จะบรรเทาความเสียหาย และวางพื้นฐานปฏิรูปกันต่อ ขอให้ท่านสำนึกเสียก่อว่า ท่านยังมีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์อยู่ เผด็จการสร้างประชาธิปไตยไม่มีวันสำเร็จ แต่ใช้อำนาจเผด็จการทำให้เกิดกระบวนการประชาธิปไตยได้ ไม่มีเผด็จการที่ไหนหรอกที่จะปล่อยให้ศัตรูผู้กวนเมืองมาชักธงรบหน้าบ้าน และด่าทอหยาบคายเหมือนพ่อแม่ไม่สั่งสอน ในเมื่อท่านยึดอำนาจเพราะทักษิณกับพวกทำตนเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว ท่านไม่อายหรือที่ปล่อยให้พรรคพลังประชาชนของทักษิณกับ นปก.ใส่เสื้อแดงมาท้าทายพวกเราเสื้อเหลืองอยู่เหยงๆ

ผมเคยพูดกับพลเอกสุจินดา คราประยูรอย่างไร ผมขอพูดกับพลเอกสนธิอีกครั้งได้หรือไม่ว่า “ในยามที่บ้านเมืองมีปัญหา เราจะแก้ได้ก็แต่โดยปัญญาสมาธิซึ่งจะเกิดขึ้นได้ด้วยความเพียรอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เราจะต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับเมืองไทย ให้เกิดการสิ้นสุดสภาพของการปฏิวัติและเผด็จการโดยสันติวิธี ไม่ต้องใช้กำลัง ไม่ต้องมีปฏิวัติซ้อนปฏิวัติซ้ำ หรือปฏิวัติเงียบ ให้ประเทศชาติต้องดิ่งลงไปในหุบเหวของเผด็จการอีก ในขณะเดียวกัน ก็ต้องรีบสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้งสัญลักษณ์ องค์ประกอบ โครงสร้าง และพฤติกรรม ให้สำเร็จโดยฉับพลันทันที” นั่นก็คือการปฏิวัติที่แท้จริง

ไหนๆ ท่านก็มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในมือแล้ว ปฏิวัติจริงๆ เสียทีไม่ดีหรือ ปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตยและในหลวงแล้ว ยังจะต้องกลัวอะไรอยู่

ขอให้พระเจ้าคุ้มครองท่าน
กำลังโหลดความคิดเห็น