xs
xsm
sm
md
lg

เมืองไทยมาถึงยุคเสื่อมเพราะคนมันเสื่อม (2)

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

.
มีคนบอกผมว่า ไม่กี่วันมานี้คุณประสงค์ สุ่นศิริได้ให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งที่พูดในทำนองว่าตอนนี้เมืองไทยเต็มไปด้วยช้าง ช้างเหล่านี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีคนไทยและประเทศไทยเหมือนสมัยโบราณ นอกจากเกิดมาเพื่อให้ถูกฆ่าอย่างสัตว์ป่าที่ไม่มีศักดิ์ศรีกันเป็นโขลงๆ เท่านั้น ช้างที่ถูกล้มเหล่านั้นมันถูกล้มเพราะมันหิวเงินและมันถูกซื้อขายไปในราคาที่ถูกกว่าสัตว์หรือถูกขายเพื่อเอาไปล้มกันเป็นโขลงๆลงไปเท่านั้น

ถือเสียว่าเป็นมหกรรมที่เลวร้ายที่สุดอีกประเภทหนึ่งที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์อันแข็งแกร่งของคนไทยติดต่อกันนานเป็นร้อยปี และปิดหูปิดตากันมาเป็นลำดับเช่นเดียวกัน

ผู้ปกครองบ้านเมืองที่มีอำนาจวาสนาทุกคนที่มีโอกาสขึ้นมาปกครองบ้านเมือง ส่วนมากก็จะพากันนิ่งเฉยหรือต้องสยบเพราะอำนาจอิทธิพลของมัน!

เมื่อพูดกันง่ายๆ ไม่ต้องเอาสำนวนอะไร การล้มช้างซื้อช้างขายช้างที่ว่านั้นก็คือการซื้อชาติขายชาติของผู้มีอำนาจวาสนาในการปกครองเมืองไทย ทุกวันนี้ก็คือนักการเมืองไทยที่ไม่ว่าจะมาโดยการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญหรือปฏิวัติเข้ามาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ประชาชนเจ้าของชาติเองก็จะพากันหลับหูหลับตาเมื่อได้ยินเสียงการทำงานของเงินเพื่อการซื้อชาติขายชาติซึ่งได้ทำกันมาอย่างหนักเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทย ก็คือนักการเมืองผู้มีอำนาจวาสนาหรือคนซื้อช้างขายช้างซึ่งเป็นนักการเมืองประเภทเดียรัจฉานในรัฐบาลที่ผ่านมานั่นเอง

และที่คนไทยทุกคนรู้จักกันแน่นอนก็คือ การคอร์รัปชัน การขายชาติหรือการปล้นบ้านปล้นเมืองกันเป็นรายวันอย่างที่ทำกันมาแล้วในรัฐบาลชุดก่อนๆ

คอร์รัปชันของนักการเมืองและชนชั้นปกครองของประเทศไทยนั้น เป็นวัฒนธรรมหลักที่โดดเดี่ยวและสำคัญที่สุดชิ้นเดียวของสังคมไทย!

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือและอ่านมาจนเป็นนิสัย มาถึงยุคนี้มีหนังสือออกจำหน่ายมากมายหลายเรื่องหลายประเภท แต่ประเภทที่มีมากที่สุดก็คือหนังสือเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน การขายบ้านขายเมือง ขายตั้งแต่กรวดหินดินทรายไปจนถึงท้องฟ้าจักรวาลในรัฐบาลเดียรัจฉานชุดเก่า หนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้ยังมีพิมพ์จำหน่ายกันอยู่ เฉพาะหนังสือของพรรคการเมืองซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงเล่มนี้เล่มเดียวก็น่าจะมากพอ นั่นคือหนังสือของพรรคประชาธิปัตย์ชื่อ “เมนูคอร์รัปชันระบอบทักษิณ” โดยคุณอลงกรณ์ พลบุตร และ “20 ที่สุดรัฐบาลทักษิณ” โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ตรีพล เจาะจิตต์ แห่งศูนย์วิจัยพรรคประชาธิปัตย์ และที่สำคัญอีกเล่มหนึ่งไม่ควรพลาดก็คือ “ค่าโง่อัปยศแสนล้าน” โดยชูชาติ สว่างสาลี หนังสือเกี่ยวกับทักษิณที่จัดทำเป็นทั้งหนังสือและวีซีดีของสำนักพิมพ์ผู้จัดการที่กำลังวางขายอยู่ที่สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ทุกวันนี้ โดยนักเขียนและสำนักพิมพ์อื่นๆ อีกมากมายซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า หนังสือเหล่านี้ถ้าหากจะรวบรวมเอาไว้เผากรุงเทพฯ ให้วอดวายไปยังไม่หมดเรื่องราวของโจรที่ช่วยกันปล้นแผ่นดินไทย

สำหรับคนไทยที่ไม่ต้องการอยู่กับความโง่จนเกินไป ผมก็ขอแนะนำให้อ่านรายละเอียดที่ถูกต้อง และสำคัญอีกเล่มหนึ่งซึ่งพิมพ์ขึ้นโดยไม่ตัดทอนแม้แต่คำเดียวคือ “คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปิดฉากพรรคไทยรักไทย ล้มระบอบทักษิณ” โดยสำนักพิมพ์เดียวกัน

และเรื่องยุ่งยากวุ่นวายกันอยู่ในบ้านเมืองขณะนี้ ถึงกับมีการฟาดงวงฟาดงากันถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และเรื่องการปะทะประท้วงกันอยู่นั้น ก็มาจากการคอร์รัปชันและความไม่รู้เรื่องราวการคอร์รัปชันในบ้านเมือง หรือไม่ยอมรับว่าการคอร์รัปชันนั้นเป็นความเท็จและการกล่าวหากันเท่านั้นเอง

นี่คือความย่อยยับและความฉิบหายของประเทศไทยที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับมาจาก

(1) การคอร์รัปชันของผู้รับผิดชอบบ้านเมืองที่มีโอกาสเข้ามาใช้บ้านเมืองเพื่อเป็นแหล่งในการทำมาหากิน และแสวงหาความร่ำรวยเท่านั้น

(2) มาจากความโง่หรือแกล้งทำเป็นโง่หรือทำตัวเป็นช้างโขลงใหญ่ที่พากันยอมตายเพื่อเงินที่มาจากการขายชาติของนักการเมือง

เราจะไม่ยอมแก้ไขกัน นอกจากการสรรหาอุปกรณ์ที่ช่วยให้เรามีโอกาสเพิ่มความโง่ให้มากขึ้น

ไม่มีมนุษย์ที่ไหนที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองเห็นแก่ตัวเองและสังคมของตัวเองให้เจริญก้าวหน้าไปได้ โลกที่สร้างกันมาได้พิสูจน์กันทั่วไปว่าวันเวลาที่ผ่านไปนั้น มนุษย์ทุกคนต้องพัฒนาตัวเองอย่างหนักแน่น อย่างชนชาติไทยที่เราสามารถแกะรอยเก่ามาศึกษาได้ก็คือการมีวินัย มีสัจจะ มีกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตที่มุ่งไปสู่ความบริสุทธิ์ สะอาด ไม่คดโกง มีสัจจะต่อตัวเองและผู้อื่น มีความรับผิดชอบในตัวเองและความรับผิดชอบต่อผู้อื่น

ในวงการเมืองและในสังคมส่วนใหญ่ของเราที่พัฒนามาสู่การปล้นสะดมแบบการกดขี่ขูดรีดที่เราเรียกมันว่าระบบทุนนิยมที่ทำให้เดือดร้อน ต้องเห่าต้องหอนกันอย่างเอาเป็นเอาตายกันอยู่ทุกวันนี้

ในสภาพที่บ้านเมืองและสังคมของเราบอบช้ำอยู่เช่นนี้ เราไม่มีทางทำอะไรได้นอกจากทำกันเล่นๆ หรือทำเพื่อการสมานฉันท์แบ่งปันผลประโยชน์กันระหว่างผู้มีอำนาจ อย่างกรณีการทำลายล้างระบบคอร์รัปชันที่ทำกันเหลวแหลกจนบ้านเมืองไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชมกันแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม เมืองไทยเราเป็นเมืองประชาธิปไตยทุกครั้งที่มีการฉีกรัฐธรรมนูญหรือใครหิวอำนาจขึ้นมาก็จะสาปแช่งทำลายเอาตามความพอใจ ไม่เคยเคารพนับถืออะไรทั้งนั้น นอกจากฉีกทิ้งไปไร้ค่ายิ่งกว่าเศษกระดาษ การกระทำดังนี้ถือว่าเป็นธรรมเนียมของระบอบประชาธิปไตย แล้วก็ร่างกันขึ้นมาใหม่

แต่รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่เพื่อฉีกทิ้งอีกต่อไปนั้น ไม่ว่าจะร่างขึ้นมาอย่างไรหรือใครเป็นคนร่าง และเมื่อร่างขึ้นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นกี่สิบฉบับในอนาคต มันจะมีค่าไม่มากไปกว่ากระดาษชำระ เพราะจะไม่มีใครสนใจไม่ยอมใช้มันและมันใช้ตัวมันเองไม่ได้ คนที่โกหกหลอกลวงเป็นผู้ใช้และเคารพรัฐธรรมนูญในยามที่ตนจะได้ประโยชน์ นั่นคือผู้มีอำนาจทั้งที่มาจากการเลือกตั้งหรือเลือกตั้งตัวเองขึ้นมาซึ่งคนเหล่านี้ก็คือพวกโจรทางการเมืองประจำชาตินั่นเอง

แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังร่างขึ้นมาและจัดให้มีการลงคะแนนร่วมกันของประชาชนที่จะรับหรือไม่รับเป็นรัฐธรรมนูญของชาติ เพื่อประดับระบอบประชาธิปไตยซึ่งต่อมาด้วยการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรและจัดตั้งรัฐบาลขึ้นนั้น สิ่งที่นักการเมืองทุกคนจะต้องทำกันอย่างเอาเป็นเอาตายก็คือการทุ่มเงินซื้อคะแนนเสียงเลือกตั้งกันที่เรียกว่าเทกระเป๋ากันหมดเนื้อหมดตัวกันทีเดียว ใครก็ตามที่อ้างว่าเพราะมีรัฐธรรมนูญนั่นเองที่ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้ อ้ายหมอนั่นถ้าเป็นผู้เป็นคนก็คงจะไม่มีอะไรทำให้เป็นคนขึ้นมามากนักนอกจากเป็นอ้ายกะล่อน โกหกหลอกลวงและหน้าด้านอย่างหาที่เปรียบมิได้เอาทีเดียว!

ใครประสบความสำเร็จในการซื้อเสียงและได้รับการเลือกตั้งเข้ามา คนพวกนั้นและนักการเมืองพวกนั้นจะได้เข้าไปมีอำนาจหน้าที่ขายชาติขายแผ่นดินกันอย่างที่ทำกันมาแล้วในการใช้รัฐธรรมนูญ 2540 อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมันจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นก็ตาม มันก็คือระบบการขายชาตินั่นเอง

เราจะแก้อะไรไม่ได้เพราะสังคมส่วนใหญ่เป็นนรกของความชั่วช้า และโกหกพกลมกะล่อนเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้

การเลือกตั้ง การมีผู้แทนราษฎร การมีรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ทำให้มีการปล้นชาติ การแตกแยกในชาติ การขายชาติเท่านั้น ไม่ว่ารัฐธรรมนูญที่ไหนจะวิเศษสักเท่าไรก็เถอะ!

สิ่งที่เราจะต้องรีบแก้อย่างเอาเป็นเอาตายหรืออย่างใจหายใจคว่ำก็คือ รายการโทรทัศน์ที่ทำลายสังคมของเราในทุกเรื่อง เฉพาะทางด้านวัฒนธรรมประเพณีทั้งหมดก็ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่การพูดภาษาไทยให้ชัดยังทำกันไม่ได้ แต่ไปห่วง “แอ๊บแบ๊ว” เฮงซวย นั่นดูเหมือนจะเป็นจะตายกันทุกสถาบัน การลักลอบเล่นการพนันของชาวบ้านหรือที่เรียกว่าการเสี่ยงโชคโดยการเล่นหวยหรือลอตเตอรี่ซึ่งคนไทยถือว่าเป็นการเสี่ยงโชคกันนั้น กลายเป็นเรื่องที่จะทำลายชาติกันไปแล้ว ทั้งๆ ที่ได้มีการห้ามเล่นกันมาแล้วตั้งแต่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่รู้จักกันในนาม หวย ก. ข. ก็ยังเล่นกันมานานหลายร้อยปีนั้น หรือการเอาข้าวเหนียวมาหมักทำเหล้าทำสาโทสำหรับเลี้ยงดูกันในกลุ่มคนยากจนในยามที่จะต้องทำไร่ทำนา คนไทยก็ทำกันมาหลายร้อยปีแล้วก็ยังไม่มีคนไทยที่ไหนฉิบหายไปอย่างหนึ่งอย่างใด

ถ้าหากไม่ถูกขูดรีดโดยรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ
ก่อนที่จะมีการพูดถึงปัญหาโทรทัศน์หรือปัญหา “แอ๊บแบ๊ว” ให้วุ่นวาย ความอัปยศในการกินบ้านกินเมืองหรือเรียกว่าความอัปรีย์เลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ขุนเขา ท้องฟ้า และดวงดาวที่มันเป็นของคนไทยมันจะร่วมมือกันขายหรือเขมือบเอาไปเป็นทรัพย์สินของมันหรือเอาไปสร้างความร่ำรวยของมันอีกเป็นแสนๆ ล้าน

มันเข้ามาปกครองประเทศหรือได้กุมอำนาจทางการเมืองเอาไว้ในกำมือโดยไม่ยอมให้ใครกล้าเถียงหรือขัดขวาง ซึ่งก็ทำให้คนไทยทั้งชาติไม่มีโอกาสรู้เห็นและไม่เข้าใจต้องยอมมันทุกเรื่อง

เป็นครั้งแรกในชีวิตของคนไทยทุกคนที่จะต้องอยู่กับนักการเมืองหรือผู้ปกครองบ้านเมืองประเภทนี้ โดยไม่มีใครคาดฝันหรือนึกไม่ถึงว่ามันชั่วชาติกันถึงขนาดนั้น แต่มันก็ชั่วชาติได้จริงๆ ตามความปรารถนาอันสูงสุดของมัน

ยิ่งหนักขึ้นไปอีก เมื่ออยู่ดีๆ มีข่าวมาจากคนไทยที่เคยไปร่วมวางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปเป็นระบอบสาธารณรัฐอย่างฝรั่งบางประเทศ เพราะตัวมันลูกน้องบริวารของมันจะร่วมกันครองอำนาจเป็นประธานาธิบดีกันในนามของปฏิญญาฟินแลนด์ที่ว่ากัน

มันเอากันถึงขนาดแล้ว!!
กำลังโหลดความคิดเห็น