xs
xsm
sm
md
lg

ออกหมายจับ“แม้ว-อ้อ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ “แม้ว-อ้อ” จงใจหนีคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ชี้ข้ออ้างความไม่ปลอดภัย-ขอกลับมาสู้คดีหลัง คมช.หมดอำนาจ ฟังไม่ขึ้น อัยการโจทก์นำหมายจับมอบ “เสรีพิศุทธ์” ล่าตัววันนี้ ชี้หากจับไม่ได้แถลงศาล 25 ก.ย. พร้อมดำเนิน ตาม พ.ร.บ.ผู้ร้ายข้ามแดน “คตส.” ชี้พบตัวจับได้ทันที ด้าน “พล.อ.สนธิ” ระบุเป็นไปตามขั้นตอนของศาล ยืนยันไทยมีความปลอดภัย

วานนี้ (14 ส.ค.) เวลา 13.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลโดยนายทองหล่อ โฉมงาม รองประธานศาลฎีกาคนที่ 3 เจ้าของสำนวนทุจริตที่ดินรัชดาภิเษก พร้อมองค์คณะผู้พิพากษาฯ ออกนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 ที่นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องการและปราบปรามการทุจริตแห่ง พ.ศ.2542 ม.4, 100 และ 122 และประมวลกฎหมายอาญา ม.33, 83, 86, 91, 152 และ 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่จัดการกิจการใดของรัฐเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์ต่อตนเอง โดยอัยการขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์จากการขายที่ดินดังกล่าว มูลค่า 772 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

โดยการพิจารณาคดีครั้งแรก พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ไม่ได้เดินทางมาศาล แต่ได้มอบหมายให้นายพิชิฏ ชื่นบาน และนายอภิศักดิ์ อาภัสสมภพ เป็นทนายความรับมอบอำนาจมายื่นคำร้องต่อศาลรวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย คำร้องของจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 ที่มีคำสั่งว่า ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองในคำฟ้องที่ระบุบ้านพักจันทร์ส่องหล้า เลขที่ 472 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 แขวง-เขตบางพลัด กทม. และบ้านเลขที่ 526 ถนนพระราม 5 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. เป็นที่อยู่จริงของจำเลยทั้งสอง โดยขอให้ศาลส่งหมายเรียกพร้อมสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองใหม่ตามที่อยู่จริงในประเทศอังกฤษ รวมทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกกระบวนการพิจารณาคดีครั้งแรก ส่วนคำร้องอีก 2 ฉบับ ขอให้ศาลเลื่อนการพิจารณาคดีออกไป โดยจำเลยทั้งสองจะเดินทางกลับมาต่อสู้คดีภายใน 30 วัน นับแต่มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยแล้วเสร็จ

ขณะที่นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานอัยการ ได้แถลงเหตุผล และแสดงหลักฐานเกี่ยวกับที่อยู่จริงของจำเลยทั้งสองไว้ตามคำร้อง ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2550 ซึ่งศาลมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 แล้ว โจทก์จึงขอยืนยันว่า ภูมิลำเนาตามฟ้องเป็นที่อยู่จริงของจำเลยทั้งสอง

ส่วนคำร้องขอเลื่อนคดีของฝ่ายทนายจำเลยนั้น โจทก์เห็นว่าข้ออ้างเรื่องความไม่ปลอดภัยของจำเลยทั้งสอง และพยานนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยคิดคำนึงเอาเอง โดยนำเหตุการณ์ในหนังสือพิมพ์ซึ่งไม่มีการพิสูจน์ว่าจะเป็นความจริงตามนั้นมาเป็นข้ออ้าง และที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองอ้างว่าไม่เข้ามาในประเทศไทย ก็เพื่อความสมานฉันท์ของคนในชาตินั้น ก็เป็นเพียงความคาดหมายของจำเลยทั้งสองเองเช่นกัน เมื่อจำเลยทั้งสองได้รับหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องโดยชอบแล้วกลับไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จึงขอให้ศาลออกหมายจับจำเลยทั้งสองมาดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

*** ยกคำร้องข้ออ้างฟังไม่ขึ้น

หลังศาลใช้เวลาประชุมหารือกันนานเกือบ 2 ชั่วโมง จึงมีคำสั่ง โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลมีคำสั่งให้โจทก์แถลงที่อยู่จริงของจำเลยทั้งสอง โจทก์ยื่นคำร้องยืนยันว่า จำเลยทั้งสองยังคงมีที่อยู่จริงตามภูมิลำเนาในคำฟ้อง โดยจำเลยทั้งสองยังใช้ที่อยู่จริงตามคำฟ้องในการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ และการฟ้องคดีหรือการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตลอดมา ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ดังนั้นจึงต้องถือว่าภูมิลำเนาในคำฟ้องเป็นที่อยู่จริงของจำเลยทั้งสอง ซึ่งที่ศาลมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองตามที่อยู่ในคำฟ้อง จึงถือว่าเป็นคำสั่งและกระบวนการพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โดยปรากฏว่า เมื่อจำเลยทั้งสองทราบเรื่องที่ถูกฟ้องแล้ว ก็ได้แต่งตั้งทนายความมาศาล ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งเดิม

ส่วนที่จำเลยทั้งสองขอให้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไป โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่สามารถเดินทางมาศาลตามกำหนดนัดได้เพราะจะไม่ได้รับความปลอดภัย และไม่สามารถต่อสู้คดีได้เต็มที่ เพราะพยานไม่กล้าเปิดเผยตัวนั้น ศาลเห็นว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งแม้ขณะนี้อยู่ในช่วงหลังการยึดอำนาจการปกครอง แต่ก็มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 ใช้บังคับ ซึ่งรัฐบาลยังมีหน้าที่ต้องดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเหมือนเช่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การกระทำผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้หนึ่งผู้ใด ยังคงเป็นความผิดทางอาญา และมีบทกำหนดโทษไว้ บุคคลใดๆไม่มีอำนาจที่จะละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนไทยได้

การที่มีบุคคลฝ่ายต่างๆ แสดงความคิดเห็นว่า หากบุคคลทั้งสองเข้ามาในประเทศไทยช่วงนี้แล้วจะไม่ปลอดภัยและอาจก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน เป็นเรื่องของการแสดงความคิดเห็นที่มีลักษณะเป็นการคาดเดาของบุคคล ซึ่งหากจำเลยทั้งสองเข้ามาในประเทศไทย ก็ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ดังนั้นข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยทั้งสองจึงเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักให้รับฟังได้น้อยประกอบกับเมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริง เพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลย่อมให้ความเป็นธรรมกับจำเลย โดยให้โอกาสต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นข้ออ้างของจำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจรับฟังได้ และไม่มีเหตุที่จะเลื่อนการพิจารณาคดีออกไป จึงมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสามฉบับ

*** ออกหมายจับ-จงใจหลบหนี

สำหรับคำขอโจทก์ที่ขอให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองทราบเรื่องที่ถูกฟ้อง และได้รับหมายเรียกพร้อมสำเนาคำฟ้องโดยชอบแล้วแต่ไม่มาศาล พฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยทั้งสองหลบหนี จึงให้ออกหมายจับ โดยให้โจทก์ดำเนินการเพื่อให้ได้ตัวจำเลยทั้งสองมาศาลตามหมายจับ ซึ่งศาลนัดฟังผลดำเนินการตามหมายจับ และนัดพิจารณาคดีครั้งแรกใหม่ในวันที่ 25 กันยายน 2550 เวลา 10.00 น.

*** มอบ“เสรีพิศุทธ์”จับตัวขึ้นศาล

ภายหลัง นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า ในวันที่ 15 สิงหาคม เวลา 10.00 น. จะเดินทางมารับหมายจับที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากนั้นจะส่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปดำเนินการจับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน มาดำเนินคดีตามหมายจับของศาลฎีกาต่อไป ซึ่งต้องให้เวลา สตช. ดำเนินการสักระยะ หากผลออกมาเป็นอย่างไร สตช. จะต้องรายงานให้อัยการรับทราบ เพื่อปรึกษากับ คตส. ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

“ส่วนจะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะได้ตัวจำเลยมาคดีนั้น ผมไม่สามารถระบุๆได้ เพราะ ถ้าเราไปกำหนดเวลามันอาจจะมีเหตุแทรกซ้อนขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นเหตุที่ไม่อาจจะคาดหมายได้ ก็อาจจะตอบผิดได้ แต่การที่ศาลฎีกาฯ นัดฟังผลการดำเนินการตามหมายจับ และนัดพิจารณาคดีครั้งแรกอีกครั้งในวันที่ 25 กันยายน ถือเป็นเวลาที่เพียงพอในการนำตัว ต้องหามาดำเนินคดีที่ศาล” อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าว และว่า ส่วนจะขอให้ศาลพิจาณาคดีลับหลังหรือไม่นั้น ต้องแล้วแต่ศาลสั่ง ทั้งนี้ศาลเคยเตือนไว้แล้วว่า หากเป็นคดีที่ขึ้นสู่ศาลแล้ว มันเป็นเรื่องที่ศาลต้องเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้นตอนนี้ต้องดูว่าการออกหมายจับนั้นจะได้ตัวผู้ต้องหามาหรือไม่ อย่าใจร้อน จะทำอะไรก็ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย

เมื่อถามว่า การส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย-อังกฤษ สามารถทำได้หรือไม่ นายเศกสรรค์ กล่าวว่า เป็นขั้นตอนที่ต้องให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งยังไม่ได้ทำในตอนนี้ คงต้องขอหมายจับก่อน แล้วศาลจะสั่งในหมายว่าอย่างไร ก็ต้องดูต่อไป

ด้าน นายนันทศักดิ์ พูลสุข รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ในคณะทำงาน กล่าวว่า เมื่อศาลพิจารณาให้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน อัยการก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน คือให้ตำรวจรับหมายจับไปดำเนินการ เพราะอัยการไม่มีอำนาจหน้าที่จับกุมบุคคลใด เมื่อครบกำหนดแล้วผลดำเนินการเป็นอย่างไร ตำรวจจะต้องมารายงานให้อัยการทราบว่าจับกุมตัวจำเลยได้หรือไม่ อย่างไร เพื่ออัยการจะได้แถลงต่อศาล แล้วอัยการจึงจะสามารถดำเนินการตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือในคดีอาญาระหว่างประเทศ ที่อัยการสูงสุด เป็นผู้ประสานงานกลาง เพื่อให้ส่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศได้

“ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันอยู่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน อยู่ต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่สามารถติดตามจับกุมตัวทั้งสองตามหมายจับได้ ซึ่งอัยการก็จะดำเนินการตามความร่วมมือทางคดีอาญาระหว่างประเทศ เพื่อนำตัวจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดีต่อไป”

*** ทนายขอความเห็นใจลูกความ

ด้าน นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กล่าวว่า จะรีบแจ้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ทราบอย่างเร่งด่วน ว่าศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับ โดยวันนี้คณะทำงานฝ่ายกฎหมายจะประชุมสรุปแนวทางทันที เพื่อจะเสนอแนวทางที่ดีที่สุดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบ เพื่อตัดสินใจต่อไปว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยา จะเดินทางกลับประเทศ และเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนเอง ขณะนี้ตนไม่สามารถตอบแทนทั้งสองได้เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตนเตรียมจะไปพบและปรึกษาหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต่างประเทศเอง แต่ยังไม่ได้กำหนดวันเดินทาง

“อยากขอความเห็นใจให้ลูกความของผมด้วย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ มิได้มีปัญหาเพียงแค่เรื่องคดีความที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ปัญหาของท่านยังมีความเกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง ซึ่งทีมทนายได้เสนอต่อศาลไปทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อศาลมีคำสั่งเช่นนี้แล้วเราก็ต้องยอมรับ อย่างไรก็ดี ส่วนตัวยังยืนยันว่าการออกหมายจับเป็นแค่กระบวนการขั้นต้นเท่านั้น ซึ่งยังไม่ได้ชี้ชัดว่าทั้งสองเป็นผู้กระทำผิด โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ยังยืนยันในความบริสุทธิ์ทุกคดี และตั้งใจจะกลับมาต่อสู้คดี แต่จะกลับมาในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งคงต้องให้ คมช.หมดอำนาจเสียก่อน เพราะเท่าที่ผมและทีมกฎหมายไปขอความร่วมมือจากพยานบุคคลซึ่งเป็นคนในหน่วยงานราชการปรากฏว่าไม่มีใครกล้าที่จะมาเป็นพยานให้ในคดีนี้”

*** คตส.ชี้พบตัวจับได้ทันที

นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส. กล่าวถึงกรณีศาลอนุมัติออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ว่าถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เดินทางเข้าประเทศ หรือมีใครพบตัวที่ไหนในประเทศ ก็สามารถจับได้เลย เนื่องจากศาลมีหมายจับแล้ว แต่ถ้าอยู่นอกประเทศก็เป็นหน้าที่ของอัยการที่จะต้องประสานกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาใช้สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และติดตามหาตัวจำเลยทั้งสองในประเทศที่พำนักอยู่ โดยจะต้องพิจารณาว่า ประเทศที่อยู่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ ซึ่ง คตส.ไม่เกี่ยวข้องในขั้นตอนดังกล่าว แต่พร้อมเป็นพยานในกรณีที่ถูกเรียกไปสอบ

*** “สนธิ”ชี้จับ“แม้ว-อ้อ”อยู่ที่ตำรวจ

ที่กรมการขนส่งทหารบก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการที่ศาลอนุมัติออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ว่า เรื่องนี้ต้องไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป ตนพูดไปเกรงว่าจะผิด เมื่อถามว่า จะมีการประสานงานไปยังประเทศอังกฤษ เพื่อขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีตามสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่แน่ใจ แต่ในกรอบคงจะต้องไปถามตำรวจ

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่รัฐบาล และ คมช. จะมีการหารือถึงแนวทางในการดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากเป็นคดีแรกที่จะต้องเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณ มาให้ปากคำในชั้นศาล พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ทางตำรวจคงจะหารือมาที่รัฐบาลมากกว่า ทางทหารจะดูผลตรงนั้น หากช่วยอะไรได้ก็จะช่วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า เกรงหรือไม่ว่าประชาชนจะมองการกระทำดังกล่าวจะเป็นสร้างความกดดัน หรือสร้างความอึดอัดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า “ไม่หรอกครับ ผมถือว่าเป็นไปตามขั้นตอนของ คตส. และ ศาล อยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นความถูกต้อง ทั้งนี้คิดว่าประชาชนคงจะเข้าใจ เพราะทุกคนรอคอยเวลานี้อยู่”

เมื่อถามว่า คมช.จะให้การดูแลความปลอดภัย พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน อย่างไร เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัยหากเดินทางกลับเข้าประเทศ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ทาง คมช.จะต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว และรัฐบาลก็คงจะต้องสั่งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่แล้ว ทหารจะเข้าไปช่วยดูแลอีกทางหนึ่ง คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ขอให้เดินทางกลับมา

*** “เด็กแม้ว”เชื่ออังกฤษไม่ส่งตัว

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ แกนนำกลุ่มไทยรักไทย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการของศาล แต่กรณีนี้เป็นกรณีพิเศษในทางการเมืองคงต้องดูความเป็นจริง ซึ่งต้องดูหากจะขอส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ก็ต้องดูว่า ประเทศอังกฤษจะตีความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ร้ายหรือไม่ แต่เชื่อว่า ประเทศอังกฤษคงไม่ตีความตามนั้น ส่วนตัวมองว่า ช่วงนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ คงยังไม่เดินทางกลับมา เพราะเคยพูดว่า หากยังไม่ได้รับความยุติธรรมในการสู้คดี ก็จะยังไม่เดินทางกลับยังไทย

*** “ทักษิณ”แถลงทราบข่าวถูกหมายจับ

ทางด้านโทรทัศน์สกายนิวส์ของอังกฤษรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกคำแถลงสั้นๆ มีข้อความว่า “ผมทราบถึงการตัดสินในประเทศไทยแล้ว ผมจะหารือกับคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายของผม และจะแถลงให้ทราบในเวลาอันเหมาะสมต่อไป”
กำลังโหลดความคิดเห็น