xs
xsm
sm
md
lg

เมินราชประชาสมาสัยแล้วเจ้าจะเอาอะไร

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

.
นี่คือ ผนึกกำลังฟ้าดินจากในหลวงปวงชนสู่ราชประชาสมาสัย 6.4 ตอนจบบริบูรณ์

ประเด็นรัฐธรรมนูญ การรวบรวมพรรค การเลือกตั้งประชามติ ขณะนี้ คือ การต่อสู้เพื่อผูกขาดอำนาจการเมืองของชนชั้นปกครองไม่กี่พันคนที่เคยซ่องเสพกันมา แต่เกิดแตกคอกัน เพราะความผลักดันเคลื่อนไหวของประชาชน

ทหารแบบเก่า นักการเมืองแบบเก่า นักวิชาการแบบเก่าไม่กี่กลุ่ม กำลังสุมหัวแข่งขันกันเพื่อจะผูกขาดอำนาจต่อไป โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ และประชาชนเป็นเครื่องมือ

ประชามติหรือการเลือกตั้งเป็นแต่เพียงข้ออ้างเพื่อจะให้พวกเขาเลือกเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่พวกตนได้เปรียบที่สุดเท่านั้น

ผมขออภัยหากข้อสรุปของผมทำให้ท่านผู้อ่านเกิดความเครียด โกรธแค้น สลดหดหู่ หรือท้อแท้สิ้นหวัง ว่าเมืองไทยของเราก็แค่นี้ รอวันตายอย่างเขียดลูกเดียว นั่นมิใช่วัตถุประสงค์ของผม แต่ผมอยากให้พวกเราตระหนักถึงความเป็นจริงเสียที อย่ามัวแต่หลอกตนเองหรือหลอกกันเองไปมา

ผมเชื่อในกฎความเป็นอนิจจังแห่งสังคม และหลักอิทัปปจยตาว่า สภาวธรรมหนึ่งๆ จะต้องเปลี่ยนแปรไปเรื่อยๆ ตามแต่เหตุปัจจัยต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน ระบอบการเมืองไทยก็หนีไม่พ้นกฎหลักนี้ ส่วนจะเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือรุนแรงแบบเลือดล้างเลือดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ขึ้นอยู่กับพลังและความเคลื่อนไหวในสังคม หากมีทางเลือกมาก ความรุนแรงก็จะน้อย หากไม่มีทางเลือกเลย ความรุนแรงก็จะมาก

สภาวธรรมปัจจุบันของการเมืองไทยเป็นผลพวงของระบอบเก่า ความคิดเก่าของสังคมเก่า ที่คนเคยชินกันมานานจำเจ อย่างน้อยก็ตั้งแต่รัฐประหารปี 2490 เป็นต้นมา สภาวธรรมเช่นนี้เชิงวิเคราะห์เรียกว่า Old Paradigm คือ กรอบหรือแบบแผนดั้งเดิม

แบบแผนดั้งเดิมเป็นตัวการรักษาสภาพเดิม (status quo) ทำให้สังคมหยุดอยู่กับที่ มีการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปสู่สังคมที่ดีกว่า คนที่ได้เปรียบกลับได้เปรียบมากขึ้น คนจนกลับจนลงกว่าเดิม จะเรียกหาความสมานฉันท์ได้อย่างไร ในเมื่อความทุกข์ทรมาน แตกแยกไร้ความสามัคคี ขาดสันติสุข กระจายไปทุกหย่อมหญ้า เป็นมรดกชั่วลูกหลาน ไม่มีการเปลี่ยนแบบแผนและกระบวนคิด ( Paradigm Shift) ไปสู่ New Paradigm หรือแบบแผนใหม่ที่ดีกว่าเดิม

Old Paradigm คือแบบแผนแห่งความคิด ตัวบุคคลและสถาบันซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เมืองไทยวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์และวัฏจักรน้ำเน่า หาทางออกไม่ได้จาก วิกฤตที่เล็กจนกระทั่งถึง “วิกฤตที่สุดในโลก” ระลอกแล้วระลอกเล่า การแก้ไขเรื่อยๆ อย่างขอไปทีแบบ คมช.และรัฐบาลเป็นการซื้อเวลา ผลักภาระให้พ้นตัวเท่านั้น หามีเจตจำนงหรือ political will ที่จะปฏิรูปไปสู่แบบแผนใหม่ไม่ ทั้งนี้ เพราะชนชั้นปกครองไทยยังต้องการรักษาผลประโยชน์ที่กลมกลืนกันอยู่ อย่างมากก็ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แบบตัวตายตัวแทนเท่านั้น

Old Paradigm เสมือนมะเร็งชนิดใหม่ที่เจ็บปวดทรมาน ตายช้า ดื้อยา ผ่าตัด ฉายรังสีไม่ได้ เกาะกุมประเทศให้ตกต่ำไปเรื่อยๆ เพราะแรงกดจากโลกาภิวัตน์ปฏิกิริยาจากท้องถิ่น และกลุ่มคนที่เสียเปรียบจนทนไม่ได้ รัฐธรรมนูญในกรอบเก่าเป็นเพียงเครื่องมือช่วงชิงหรือแบ่งอำนาจในหมู่ชนชั้นปกครองไม่กี่พันคนเท่านั้น หาใช่เครื่องมือจัดระบบการปกครองเพื่อพัฒนาประเทศอย่างแท้จริงไม่

ดร.อมร จันทรสมบูรณ์เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2550กับฉบับ 2540 เลวและขัดหลัก Constitutionalism หรือลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมพอๆ กัน แค่ 2-3 มาตราเรื่องพรรคการเมืองและการเลือกตั้งก็เพียงพอแล้วที่จะสาปให้ประเทศไทยตกอยู่ในหล่มทุนนิยมอนารยะ เผด็จการและอนาธิปไตยตลอดไป

ดร.อมรย้ำว่า หากบุคคล 2 ท่านคือประธาน คมช.กับนายกรัฐมนตรียังไม่เข้าใจหรือไม่ยอมเข้าใจ อีกไม่นานเมืองไทยก็เตรียมรับกลียุคครั้งใหญ่ได้

แต่ผมเอง เดี๋ยวนี้ค่อยคลายวิตกว่าจะมีการนองเลือดเร็วเหมือนครั้งพฤษภาทมิฬอีก ผมว่าประชาชนส่วนใหญ่ทำใจได้เหมือนผม ไม่ให้ความสำคัญและไม่ถือว่ารัฐธรรมนูญหรือประชามติเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอีกต่อไป ปล่อยให้ฝ่ายอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่เล่นปาหี่ต่อสู้กันตามสบาย

ในสงครามปาหี่ ทักษิณฉลาดกว่า จริงๆ แล้วทักษิณต้องการเลือกตั้ง เพราะตนได้เปรียบทุกกลุ่ม จะได้กลับมาล้มล้าง คมช. คตส.ได้เร็วขึ้น แต่ทักษิณทำเอะอะให้ล้มประชามติเพื่อหาเสียงกับต่างประเทศ ถ้าประชามติผ่าน ก็จะได้บอกว่า นั่นไง เห็นไหม บอกแล้วว่าเผด็จการครอบงำและใช้กลไกของรัฐบังคับประชาชน ถ้าประชามติไม่ผ่าน ก็จะอ้างว่าบอกแล้วไม่เชื่อ ประชาชนรักผม ไม่เอาเผด็จการ ตกลง ทักษิณกินทั้งหัวทั้งก้อย

ข้อสังเกตหรือข้อสรุปที่ 6 ส.ส.ร. กับ คมช.และรัฐบาล ไม่เอาราชประชาสมาสัย และไม่สนใจพระราชอำนาจ? โอกาสแพ้ระบอบทักษิณสูง

กอร์ดอน บราวน์ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ 7 วัน ก็ออกหนังสือปกเขียวชื่อ The Governance of Britain หรือแผนการปฏิรูปการเมืองเสนอสภาและประชาชนทันที ในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่คืนอำนาจให้มหากษัตริย์ โดยสละอำนาจนายกรัฐมนตรีในการยุบสภา ปล่อยให้สภาเป็นผู้ตัดสินกราบบังคมทูล ให้พระมหากษัตริย์ทรงตัดสิน

ทักษิณล่วงพระราชอำนาจให้ยุบสภาตามใจตัว โดยไม่มีเหตุตามรัฐธรรมนูญ

นายกฯ คนต่อไปก็อาจทำอีก เหมือนคนปัจจุบันที่ล่วงพระราชอำนาจทำสัญญาการค้าเสรี

ผมได้เขียนบทความและส่งจดหมายถึง ส.ส.ร.ขอให้คำนึงถึงพระราชอำนาจ โดยนำเอาทฤษฎีและจารีตประเพณีในประเทศที่มีกษัตริย์ ประกอบกับนิติราชประเพณีไทย รวมทั้งพระบรมราชโองการ พระบรมราชวินิจฉัยเรื่องรัฐธรรมนูญและการปกครองของในหลวงและรัชกาลที่ 7 มาทำการศึกษาและเผยแพร่ เน้นราชประชาสมาสัยคือการมีส่วนร่วมของพระมหากษัตริย์ในชีวิตการเมืองของประเทศเป็นประจำ โดยการใช้พระราชอำนาจต่างๆ อย่างเป็นระบบ ตามลัทธิรัฐธรรมนูญ ที่เรียกว่า Constitutional Monarchy มีหัวใจอยู่ที่ความเคารพและการจัดสรรพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้ถูกต้อง เกิดผลในทางคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ ประเทศชาติและประชาชน ทั้งในยามปกติและฉุกเฉิน

ผมเสนอให้เริ่มต้นนับหนึ่งพร้อมกันทั่วประเทศ ด้วยการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว คือ 1. ถือโอกาสเฉลิมพระเกียรติครบ 80 พรรษา 2. ทำให้เกิดกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญแบบราชประชาสมาสัย คือ การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของประชาชนแต่วันแรก 3. ทำให้ประชาชนเข้าใจพระราชอำนาจอันเป็นหลักหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 4. เป็นหลักประกันว่าจะได้รัฐธรรมนูญที่ ผ่านประชามติโดยราบรื่นและ
ประหยัด 5. เป็นพื้นฐานให้เกิด “สมัชชาประชาธิปไตย” เริ่มมาจากฐานรากทั่วประเทศ

วิธีของผมง่ายมาก คือขอให้รัฐบาลช่วยเปิดห้องประชุม อบต. อบจ. เทศบาล อำเภอ และจังหวัดทั่วประเทศ ให้ประชาชนเข้ามาชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและศึกษาพระราชดำรัส พระบรมราชโองการ พระบรมราชวินิจฉัยเรื่องการปกครอง และพระราชอำนาจ ในขณะเดียวกันก็ใช้ห้องประชุมเป็นที่แลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นเรื่องรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันเริ่มร่าง

รัฐบาล จังหวัด หรือท้องถิ่นอาจสมทบทุนช่วยเหลือจัดหนังสือข้อมูล วิทยุ โทรทัศน์และเครื่องมือสื่อสารให้สามารถติดตามและติดต่อ ส.ส.ร.ได้ตลอด และวิธีนี้จะเปิดโอกาสให้นักการเมืองทุกฝ่าย ซึ่งถูก “ปิดตาย” จากกระบวนการร่างฯ ให้สามารถนำประสบการณ์และความคิดเข้ามาร่วมได้อีกด้วย

ข้อเสนอของผมอาจจะประหยัดเกินไป จึงไม่มีผู้มีมารยาทตอบกลับหรือสนองรับประการใด ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.ร. คมช. และรัฐบาลเลย ผมขอนำมาแสดงเป็นหลักฐานอีกครั้ง ดังนี้

“ผมขอวิงวอนให้ท่านนำข้อเสนอเรื่องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงมาปฏิบัติ ดังนี้

ส.ส.ร.และกรรมาธิการร่างทุกท่านนำแบบฟอร์มมากรอกว่าท่านเห็นว่า (1) จะต้องเขียนอะไร (2) ไม่ต้องเขียนอะไร และ (3) ต้องไม่เขียนอะไรลงไปในรัฐธรรมนูญบ้าง แต่ละหัวข้อท่านควรจะกรอกได้ 10-15 ข้อหรือมากกว่านั้นก็ได้

ในขณะเดียวกัน ท่านก็ขอและอำนวยความสะดวกให้ ประชาชนทุกคน องค์กรภาคประชาชน สถาบันศึกษา องค์กรภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ข้าราชการ ทหารตำรวจทั่วไป รวมทั้งบริวารอดีตนายกฯ ทักษิณ และกลุ่มการเมืองต่างๆ ฯลฯ ให้กรอกแบบฟอร์มอย่างเดียวกัน คนละ 10-15 ข้อทั้ง 3 รายการเช่นเดียวกับท่าน เพื่อจะได้ส่งมาวิเคราะห์พร้อมๆ กัน โดยใช้หลักการและหลักฐานทั้งไทยและเทศมาเปรียบเทียบก่อนที่จะตัดสินใจ ซึ่งทุกคนจะได้รับคำอธิบายให้ตรงกันว่าทำไม

ท่านกับรัฐบาลสามารถใช้เทคโนโลยีสื่อสารง่ายๆ ระดมประชาชนทั่วประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วมผ่านสื่อ กลุ่ม สถานที่ หรือสถาบันต่างๆ ต่างก็มีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมอย่างง่ายๆ ทั่วถึงและเป็นระบบด้วยวิธีดังกล่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ประชุม อบต. ที่ประชุมอำเภอ ที่ประชุมจังหวัด หรือที่ประชุมเทศบาลทุกระดับ

ทั้งหมดนี้จะวิวัฒนาการเป็น ”สมัชชาประชาธิปไตยแห่งชาติ” อันยิ่งใหญ่ สามารถ ล้มหรือรับรัฐธรรมนูญในการแสดงประชามติอย่างแท้จริงได้ ทั้งนี้ขึ้นกับว่าผู้มีอำนาจจะจริงใจ จริงจัง และเคารพเสียงของพวกเราที่เป็นประชาชนหรือไม่”


ผมเชื่อว่าราชประชาสมาสัยอยู่แค่เอื้อม แต่พวกเราปล่อยให้หลุดลอยไปเอง เพราะเรายังติดยึดอยู่กับแบบแผนเก่า กรอบคิดเก่า และผลประโยชน์เก่าอยู่

แต่ผมไม่อยากให้พวกเราท้อถอย ถึงแม้ประชามติจะออกมาอย่างไรก็ตาม ถึงแม้พวกเราจะถูกยัดเยียดพรรคและการเลือกตั้งแบบเก่าให้ก็ตาม ถ้าหากเรารักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์จริง ไม่ยอมรับสิ่งแปลกปลอม ผมขอให้คนไทยเคลื่อนไหวต่อไป โดยใช้เทคนิคและสถานที่เดิมที่ผมเสนอมาข้างต้นนี้ นำเอากรอบความคิดใหม่ และประเด็นใหม่มาต่อสู้ล้มล้าง เอาชนะระบอบทักษิณ ชนะพรรคการเมืองแบบเดิม การเลือกตั้งแบบเดิม และการเมืองของคนเอาเปรียบแบบเดิม ถึงผมจะตายจากท่านไปในไม่ช้า วันหนึ่งไม่เกินรอ สังคมไทยก็จะเห็นราชประชาสมาสัยหรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแน่นอน

ผมขออัญเชิญพระราชกระแส 2517 ที่ยังเป็นอมตะ “โดยมากที่เกิดเรื่องขึ้นมาในระยะนี้ ก็เพราะว่ามีความคิดที่ไม่ถูกต้อง อ้างสิ่งหนึ่งเพื่ออีกสิ่งหนึ่ง อ้างความดีเพื่อความไม่ดี อ้างผลประโยชน์ของคนหนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง อ้างผู้ที่ดูน่าสงสารเพื่ออำนาจของตน อ้างทฤษฎีต่างๆ เพื่อทฤษฎีของตนและความยิ่งใหญ่ของตน”

และขอจบด้วยปณิธานของชายชาติทหาร ถึงแม้จะไม่มียศใหญ่เป็นนายพลเอกผู้บัญชาการทหารบกก็ตาม

“ถึงเจ้าจะเป็นลูกของพ่อแม่ ก็จริงแหล่แต่ชาติ สำคัญกว่า
ทางที่ถูกเจ้าเป็นลูกอยุธยา ก็เหนือกว่าพ่อแม่ มาแต่ไร
เจ้าอาจเสียพ่อแม่ ในวันหน้า แต่จะเสียอยุธยา หาได้ไม่
เพราะฉะนั้น จงรู้จักรักเมืองไทย รักษาไว้ ให้อยู่ คู่ฟ้าดิน”

ร้อยเอก ม.ร.ว. เล็ก งอนรถ
กำลังโหลดความคิดเห็น