"ศิริราช"สร้างชื่อก้องโลกอีกครั้ง ประกาศผลิตนมสำหรับเด็กจาก"เนื้อไก่"สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก ช่วยลดปัญหาเด็กแพ้นมวัว จดสิทธิบัตรแล้ว พร้อมได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
วานนี้(10 ส.ค.) คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้จัดให้มีการแถลงข่าวเรื่อง "ครั้งแรกของโลก ศิริราชผลิตนมจากเนื้อไก่ รักษาทารกแพ้นมวัว"
ศ.นพ.พิภพ จิรภิญโญ และคณะผู้วิจัย ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ กล่าวว่า ได้พยายามคิดค้นแก้ปัญหาของผู้ป่วยเด็กที่แพ้โปรตีนนมวัวโดยการผลิตนมจากเนื้อไก่ ซึ่งใช้เวลากว่า 10 ปี จึงประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก โดยมีการส่งนมเนื้อไก่ไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อตรวจวัดคุณค่าสารอาหารต่างๆ พบว่า นมจากเนื้อไก่ยังคงคุณค่าสารอาหารครบถ้วนได้มาตรฐานสำหรับทารก ย่อยง่ายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
"เดิมนั้น หากเด็กแพ้นมวัว จะต้องเปลี่ยนไปกินนมถั่ว หรือสูตรนมชนิดพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนนมวัวอีกชั้นหนึ่ง เช่น นมที่เป็นกรดอะมิโน ซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ มีราคาแพงมาก แต่ก็ยังมีทารกส่วนหนึ่งที่แพ้นมทุกชนิด ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะต้องรับประทานน้ำซุปไก่ ทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วนรับประทานลำบาก ประกอบกับมีรายงานทางการแพทย์หลายแห่งระบุว่า ถ้าแพ้โปรตีนนมวัว นมถั่ว หรือนมอื่นๆ ให้กินน้ำซุปไก่ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้นำเนื้อไก่มาปรุงด้วยวิธีพิเศษ และเติมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับทารก ทั้งเกลือแร่วิตามิน จนได้เป็นเนื้อนมที่เนียนละเอียดมาก" ศ.นพ.พิภพ กล่าว
ทั้งนี้ ผลจากการศึกษาวิจัยในทารกที่แพ้โปรตีนนมวัว โดยเปรียบเทียบการกินนมจากเนื้อไก่ 20 ราย และนมถั่วเหลือง 18 ราย เป็นเวลา 14 วัน ซึ่งงานวิจัยนี้ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลแล้ว พบว่า ทารกมีอาการแพ้นมจากเนื้อไก่น้อยกว่านมจากถั่วเหลือง 8 เท่า นอกจากนี้ในระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา มีทารกอีกจำนวนหนึ่งที่กินนมเนื้อไก่มากกว่า 3 เดือนขึ้นไป เนื่องจากแพ้นมทุกชนิด แต่กินนมเนื้อไก่ได้ดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ มีการเจริญเติบโตเป็นปกติ และสามารถกลับไปกินนมวัวได้โดยไม่มีอาการแพ้ อีก
"การแพ้โปรตีนจากนมวัวมีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายครอบครัวไม่ทราบแล้วปล่อยรักษาตามอาการของโรค ซึ่งไม่หาย เพราะไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุของโรคที่แท้จริง ทั้งนี้ เด็กที่รับประทานนมเนื้อไก่ อาการแพ้จะค่อยๆ หมดไป โดย 70% ของเด็กที่แพ้โปรตีนนมวัวจะหายได้ตอนอายุ 1 ปี จึงมีการติตามผลหลังจากรับประทานนมเนื้อไก่ครบ1 ปีเพื่อดูว่ามีอาการแพ้นมวัวอยู่หรือไม่ และจะประเมินทุกๆ 3 เดือน และสามารถรับประทานนมเนื้อไก่ต่อได้เรื่อยๆ ซึ่งมีเด็กบางรายที่กินนมดังกล่าวจนถึงอายุ 4 ขวบ" ศ.นพ.พิภพกล่าว
สำหรับข้อสงสัยว่าในเนื้อไก่จะมีฮอร์โมนหรือสารพิษตกค้างอื่นใดหรือไม่ ศ.นพ.พิภพ กล่าวว่า เนื้อไก่ที่นำมาผลิตเป็นนมมาจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน ผลิตไก่ส่งออกต่างประเทศที่ไม่มีฮอร์โมน หรือสารผิดตกค้างอย่างแน่นอน ที่สำคัญคือ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า ในเนื้อไก่มีฮอร์โมนที่เร่งการเจริญเติบโต ดังนั้น จึงเชื่อมั่นได้ว่ามีความปลอดภัย
ส่วนขั้นตอนการทำนมเนื้อไก่นั้น จะใช้เนื้อไก่ส่วนอกซึ่งปริมาณไขมันน้อย โปรตีนคงที่ โดย 1 กก.สามารถผลิตน้ำนมไก่ได้ 24 ลิตร กว่าที่จะสามารถทำได้ทำสำเร็จ ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนที่ยากมาก คือ การละลายของเนื้อไก่ที่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ในที่สุดก็สามารถทำให้มีการละลายตัวเป็นเนื้อเดียวกันได้ โดยได้เนื้อนมที่มีความละเอียด จากนั้นนำมาแช่แข็ง ที่ –72 องศาเซลเซียส และนำมาละลายเมื่อจะกิน ซึ่งทารกสามารถดูดนมจากเนื้อไก่จากจุกนมปกติ
สำหรับรายละเอียดการศึกษาจะมีการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ “Asia Pacific Journal of Clinical Nutrition” ซึ่งคณะผู้ผลิตได้จดสิทธิบัตรสูตรนมจากเนื้อไก่แล้วเมื่อเดือนกันยายน 2549 ที่ผ่านมา
ศ.นพ.พิภพ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการต่อไปจะมีการศึกษาเปรียบเทียบการกินนมวัวและนมไก่ในระยะยาว และหากมีความสนใจในการผลิตในระดับอุตสาหกรรมเพื่อเป็นประโยชน์ช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาก็สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากนมที่มีการนำเข้ามีราคาสูง ถึง 1,500 บาท ต่อปอนด์ และพบว่ายังมีเด็กที่แพ้นมชนิดนี้ 10% และยังไม่มีการศึกษาผลในระยะยาวว่าดีต่อการเจริญเติบโตของเด็กหรือไม่ ขณะที่นมเนื้อไก่ที่มีราคาเพียง 300 บาท ต่อปอนด์ จะเป็นการช่วยประหยัดเงินให้ประเทศได้เป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้มีโรงพยาบาลหลายแห่งมาขอซื้อนมเนื้อไก่ เพื่อนำไปให้กับเด็กที่แพ้โปรตีนนมวัวด้วย นอกจากนี้รวมทั้งจะพัฒนาต่อยอดผลิตเป็นนมผง ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้รับประทานง่ายขึ้น ในส่วนเด็กโตจะพัฒนาเปลี่ยนข้าวให้เป็นนำตาลนำมาปรุงแต่งรสชาติให้ดีขึ้น และในผู้สูงอายุที่มักดื่มซุปไก่สกัด จะมีการพัฒนาสูตรสามารถรับประทานน้ำนมไก่ 3 แก้ว ก็สามารถที่จะอยู่ได้ทั้งวัน และมีสารอาหารครบถ้วน
ด้านนางชลาลัยย์ ถาวรโลหะ วัย 67 ปี ยายของด.ญ.เปมิกา ณ ลำพูน หรือ น้องหยก วัย 3 ขวบและด.ญ.ปาณิศา ณ ลำพูน หรือน้องพลอย วัย 2 ขวบ ที่หันไปกินนมเนื้อไก่แทนเนื่องจากแพ้นมวัว กล่าวว่า ทั้งน้องหยก และน้องพลอย มีอาการแพ้นมวัวรุนแรง ซึ่งพ่อแม่แม่ของทั้งคู่เป็นโรคภูมิแพ้แต่ไม่รู้ตัว
ดังนั้น ตั้งแต่แรกเกิดหลานรับประทานนมแม่แล้วจะร้องโหยหวน ดูทุกข์มรมานมาก จนกระทั่ง 1 เดือน จึงมีผืนขึ้น มีน้ำเหลือง และกลิ่นคาว ซึ่งมีการเปลี่ยนนมไปเรื่อยๆ ทุกชนิด แต่ก็ยังมีผืน และมีเสมหะ น่าสงสารมาก พอเริ่มกินนมเนื้อไก่ตอนอายุประมาณ 2 เดือน อาการต่างๆ ก็ลดลงและเมื่อน้องหยกอายุ 2 ขวบ และน้องพลอย 1 ขวบ ก็สามารถกลับไปกินนมวัวได้เมื่อเด็กคนอื่นๆ
วานนี้(10 ส.ค.) คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้จัดให้มีการแถลงข่าวเรื่อง "ครั้งแรกของโลก ศิริราชผลิตนมจากเนื้อไก่ รักษาทารกแพ้นมวัว"
ศ.นพ.พิภพ จิรภิญโญ และคณะผู้วิจัย ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ กล่าวว่า ได้พยายามคิดค้นแก้ปัญหาของผู้ป่วยเด็กที่แพ้โปรตีนนมวัวโดยการผลิตนมจากเนื้อไก่ ซึ่งใช้เวลากว่า 10 ปี จึงประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลก โดยมีการส่งนมเนื้อไก่ไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อตรวจวัดคุณค่าสารอาหารต่างๆ พบว่า นมจากเนื้อไก่ยังคงคุณค่าสารอาหารครบถ้วนได้มาตรฐานสำหรับทารก ย่อยง่ายและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
"เดิมนั้น หากเด็กแพ้นมวัว จะต้องเปลี่ยนไปกินนมถั่ว หรือสูตรนมชนิดพิเศษที่มีการย่อยโปรตีนนมวัวอีกชั้นหนึ่ง เช่น นมที่เป็นกรดอะมิโน ซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ มีราคาแพงมาก แต่ก็ยังมีทารกส่วนหนึ่งที่แพ้นมทุกชนิด ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะต้องรับประทานน้ำซุปไก่ ทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วนรับประทานลำบาก ประกอบกับมีรายงานทางการแพทย์หลายแห่งระบุว่า ถ้าแพ้โปรตีนนมวัว นมถั่ว หรือนมอื่นๆ ให้กินน้ำซุปไก่ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้นำเนื้อไก่มาปรุงด้วยวิธีพิเศษ และเติมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับทารก ทั้งเกลือแร่วิตามิน จนได้เป็นเนื้อนมที่เนียนละเอียดมาก" ศ.นพ.พิภพ กล่าว
ทั้งนี้ ผลจากการศึกษาวิจัยในทารกที่แพ้โปรตีนนมวัว โดยเปรียบเทียบการกินนมจากเนื้อไก่ 20 ราย และนมถั่วเหลือง 18 ราย เป็นเวลา 14 วัน ซึ่งงานวิจัยนี้ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคนของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลแล้ว พบว่า ทารกมีอาการแพ้นมจากเนื้อไก่น้อยกว่านมจากถั่วเหลือง 8 เท่า นอกจากนี้ในระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา มีทารกอีกจำนวนหนึ่งที่กินนมเนื้อไก่มากกว่า 3 เดือนขึ้นไป เนื่องจากแพ้นมทุกชนิด แต่กินนมเนื้อไก่ได้ดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ มีการเจริญเติบโตเป็นปกติ และสามารถกลับไปกินนมวัวได้โดยไม่มีอาการแพ้ อีก
"การแพ้โปรตีนจากนมวัวมีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายครอบครัวไม่ทราบแล้วปล่อยรักษาตามอาการของโรค ซึ่งไม่หาย เพราะไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุของโรคที่แท้จริง ทั้งนี้ เด็กที่รับประทานนมเนื้อไก่ อาการแพ้จะค่อยๆ หมดไป โดย 70% ของเด็กที่แพ้โปรตีนนมวัวจะหายได้ตอนอายุ 1 ปี จึงมีการติตามผลหลังจากรับประทานนมเนื้อไก่ครบ1 ปีเพื่อดูว่ามีอาการแพ้นมวัวอยู่หรือไม่ และจะประเมินทุกๆ 3 เดือน และสามารถรับประทานนมเนื้อไก่ต่อได้เรื่อยๆ ซึ่งมีเด็กบางรายที่กินนมดังกล่าวจนถึงอายุ 4 ขวบ" ศ.นพ.พิภพกล่าว
สำหรับข้อสงสัยว่าในเนื้อไก่จะมีฮอร์โมนหรือสารพิษตกค้างอื่นใดหรือไม่ ศ.นพ.พิภพ กล่าวว่า เนื้อไก่ที่นำมาผลิตเป็นนมมาจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน ผลิตไก่ส่งออกต่างประเทศที่ไม่มีฮอร์โมน หรือสารผิดตกค้างอย่างแน่นอน ที่สำคัญคือ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า ในเนื้อไก่มีฮอร์โมนที่เร่งการเจริญเติบโต ดังนั้น จึงเชื่อมั่นได้ว่ามีความปลอดภัย
ส่วนขั้นตอนการทำนมเนื้อไก่นั้น จะใช้เนื้อไก่ส่วนอกซึ่งปริมาณไขมันน้อย โปรตีนคงที่ โดย 1 กก.สามารถผลิตน้ำนมไก่ได้ 24 ลิตร กว่าที่จะสามารถทำได้ทำสำเร็จ ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนที่ยากมาก คือ การละลายของเนื้อไก่ที่ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน แต่ในที่สุดก็สามารถทำให้มีการละลายตัวเป็นเนื้อเดียวกันได้ โดยได้เนื้อนมที่มีความละเอียด จากนั้นนำมาแช่แข็ง ที่ –72 องศาเซลเซียส และนำมาละลายเมื่อจะกิน ซึ่งทารกสามารถดูดนมจากเนื้อไก่จากจุกนมปกติ
สำหรับรายละเอียดการศึกษาจะมีการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ “Asia Pacific Journal of Clinical Nutrition” ซึ่งคณะผู้ผลิตได้จดสิทธิบัตรสูตรนมจากเนื้อไก่แล้วเมื่อเดือนกันยายน 2549 ที่ผ่านมา
ศ.นพ.พิภพ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการต่อไปจะมีการศึกษาเปรียบเทียบการกินนมวัวและนมไก่ในระยะยาว และหากมีความสนใจในการผลิตในระดับอุตสาหกรรมเพื่อเป็นประโยชน์ช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาก็สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากนมที่มีการนำเข้ามีราคาสูง ถึง 1,500 บาท ต่อปอนด์ และพบว่ายังมีเด็กที่แพ้นมชนิดนี้ 10% และยังไม่มีการศึกษาผลในระยะยาวว่าดีต่อการเจริญเติบโตของเด็กหรือไม่ ขณะที่นมเนื้อไก่ที่มีราคาเพียง 300 บาท ต่อปอนด์ จะเป็นการช่วยประหยัดเงินให้ประเทศได้เป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้มีโรงพยาบาลหลายแห่งมาขอซื้อนมเนื้อไก่ เพื่อนำไปให้กับเด็กที่แพ้โปรตีนนมวัวด้วย นอกจากนี้รวมทั้งจะพัฒนาต่อยอดผลิตเป็นนมผง ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้รับประทานง่ายขึ้น ในส่วนเด็กโตจะพัฒนาเปลี่ยนข้าวให้เป็นนำตาลนำมาปรุงแต่งรสชาติให้ดีขึ้น และในผู้สูงอายุที่มักดื่มซุปไก่สกัด จะมีการพัฒนาสูตรสามารถรับประทานน้ำนมไก่ 3 แก้ว ก็สามารถที่จะอยู่ได้ทั้งวัน และมีสารอาหารครบถ้วน
ด้านนางชลาลัยย์ ถาวรโลหะ วัย 67 ปี ยายของด.ญ.เปมิกา ณ ลำพูน หรือ น้องหยก วัย 3 ขวบและด.ญ.ปาณิศา ณ ลำพูน หรือน้องพลอย วัย 2 ขวบ ที่หันไปกินนมเนื้อไก่แทนเนื่องจากแพ้นมวัว กล่าวว่า ทั้งน้องหยก และน้องพลอย มีอาการแพ้นมวัวรุนแรง ซึ่งพ่อแม่แม่ของทั้งคู่เป็นโรคภูมิแพ้แต่ไม่รู้ตัว
ดังนั้น ตั้งแต่แรกเกิดหลานรับประทานนมแม่แล้วจะร้องโหยหวน ดูทุกข์มรมานมาก จนกระทั่ง 1 เดือน จึงมีผืนขึ้น มีน้ำเหลือง และกลิ่นคาว ซึ่งมีการเปลี่ยนนมไปเรื่อยๆ ทุกชนิด แต่ก็ยังมีผืน และมีเสมหะ น่าสงสารมาก พอเริ่มกินนมเนื้อไก่ตอนอายุประมาณ 2 เดือน อาการต่างๆ ก็ลดลงและเมื่อน้องหยกอายุ 2 ขวบ และน้องพลอย 1 ขวบ ก็สามารถกลับไปกินนมวัวได้เมื่อเด็กคนอื่นๆ