กกต.เต้นหาข้อมูลซื้อตัว ส.ส.30 ล้าน “สดศรี” แจ้นถาม “มีชัย” ระบุหากไร้เบาะแสดำเนินการลำบาก เพราะกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจ ยอมรับกระทบภาพลักษณ์ กกต. อาจถูกมองละเลยในการตรวจสอบ แต่ถ้ามีหลักฐานชัด เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.พรรคการเมือง มาตรา 66 ด้าน “มีชัย” ชี้เป็นหน้าที่ กกต.ต้องตรวจสอบเอาเอง ที่ออกมาพูดเพื่อต้องการให้รู้ แล้วไปดำเนินการ ไม่ใช่ทำให้วุ่นวาย ขณะที่ ทรท.ได้ทีโบ้ยใส่พรรคทหาร ซื้อ ส.ส.เพื่อสืบทอดอำนาจเหมือนยุคพฤษภาทมิฬ
หลังจากที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ออกมาพูดถึงเรื่องมีกลุ่มการเมืองพยายามซื้อตัวอดีตส.ส.มาเข้าสังกัด เป็นเงินสูงถึงรายละ 30 ล้านบาท และขอให้ กกต.ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย
วานนี้ ( 6 ส.ค.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ปัญหาเรื่องซื้อส.ส.มาเข้าสังกัด ไม่ได้มีการบัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง ทำให้ กกต.ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ และจะไปปรามก็ไม่ได้ เพราะ กกต. ต้องทำตามกฎหมาย ประกอบกับขณะนี้ยังไม่มีบุคคลใดมาร้องเรียนให้ตรวจสอบ แต่ในอนาคต หากมีระบุไว้อย่างชัดเจน ก็อาจดำเนินการได้
ขณะที่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวว่า เป็นการให้ข้อมูลที่ยังไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริง ส่งผลให้กระทบภาพลักษณ์ของ กกต. ว่าละเลยการตรวจสอบ ซึ่งประธานกกต. ก็ชี้แจงว่า การตรวจสอบทำได้ยาก เพราะไม่มีหลักฐาน และกฎหมายที่จะไปดำเนินการเอาผิด
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ให้ข่าวนี้ ควรชี้เบาะแสให้ กกต.ทราบว่า ได้ข้อมูลนี้มาจากไหน และอยู่ตรงไหน เพราะลำพัง กกต.เองไม่ได้เป็นนักสืบที่จะต้องไปสืบว่าเป็นเรื่องอย่างไร แต่ถ้ามีหลักฐานว่าได้เห็นการซื้อตัว ก็ขอให้แจ้งให้ กกต.ทราบ เพื่อที่จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสืบสวน เพราะเรื่องนี้หากพูดในลักษณะที่ยังไม่มีข้อมูลปัญหาจะเกิดขึ้น เหมือนสภาพเก่าๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้อง ภาพพจน์ของประเทศจะเสียหาย
“เรื่องนี้กระทบภาพพจน์ต่อพรรคการเมือง และนักการเมืองไทยจะเสียหายในสายตาของชาวต่างชาติ ทาง กกต.ก็กำลังจะไปปรึกษานายมีชัย ฤชุพันธุ์ ว่ามีข้อมูลตรงนี้หรือไม่ ตัวเองจะไปสภาเพื่อได้ถามนายมีชัย ว่ามีข้อมูลตรงนี้อย่างไร เพราะคนระดับนายมีชัยพูดแล้ว คงต้องมีข้อมูล ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะประสานว่า ได้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงแค่ไหนเพียงไร”
ส่วนข่าวการที่ว่า มีการใช้เงินและตำแหน่งจูงใจในการย้ายพรรคนั้น ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 41 ไม่มีข้อห้ามในเรื่องนี้บัญญัติไว้ชัดเจน แต่ มาตรา 66 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ระบุว่า การกระทำใดๆ ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือขัดต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นความผิด สามารถดำเนินการยุบพรรคได้ เหมือนกรณีที่ตุลาการรัฐธรรมนูญเคยพิจารณาในเรื่องพรรคนอมินี ซึ่งในกรณีการซื้อตัว ส.ส. และการใช้ตำแหน่งหน้าที่ หรือเงินเพื่อจูงใจให้เข้าพรรค ก็เข้าข่ายความผิดใน มาตรา 66 ทั้งนี้ หาก กกต.ได้ข้อมูลชัดเจนก็ยื่นเรื่องต่อตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคได้
*** “มีชัย”ย้ำเป็นหน้าที่ กกต.ต้องไปจัดการ
ด้าน นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธาน สนช.) กล่าวถึงกรณีที่ กกต. ได้ออกมาเรียกร้องให้ส่งข้อมูล กรณีการซื้อตัว ส.ส. ว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องไปสอบดูว่า มีจริงหรือไม่มี ไม่ใช่หน้าที่ของชาวบ้าน เหมือนกับการได้ข่าวว่าจะมีโจรบุกปล้นบ้าน ถ้าตำรวจมาบอกว่าให้ไปเอาหลักฐานมา แล้วจะมีตำรวจไว้ทำไม เมื่อคนบอกว่ามีข่าวเช่นนี้ กกต.ก็ต้องไปดูว่ามีจริง หรือไม่ หากไม่มีจริงจะได้บอกว่าไม่มี ประชาชนจะได้สบายใจ
ส่วนกรณีที่ฝ่ายการเมืองออกมาติงว่า การออกมาพูดโดยไม่รู้จริง อาจทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นได้นั้น นายมีชัย กล่าวว่า หากคิดเช่นนั้นก็อย่าไปวุ่นวาย เพราะตนไม่ได้บอกว่าพรรคใดที่ทำเช่นนั้น การที่ผู้สื่อข่าวไปถามว่าเป็นพรรคนั้น หรือไม่ เป็นเรื่องที่ผู้สื่อข่าวไปเติมเอาเอง สื่อก็เป็นพยานได้ว่า ตนไม่เคยระบุว่าเป็นพรรคใด ส่วนการตรวจสอบสุดแต่ กกต.จะพิจารณา เพราะ กกต.ทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้า กกต.รู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม กกต.ต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ส่วนถ้า กกต.คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ให้บอกประชาชนว่าเป็นเรื่องธรรมดา ประชาชนจะได้รับรู้ว่า ต่อไปใครจะเอาเงินมากองก็ได้
“กกต.ต้องมีวิธีการที่ กกต.จะไปทำ กกต.มีเงิน มีคนอยู่แล้ว ส่วนจะทำวิธีไหนต้องไปหาหนทางทำ จะไปโยนให้คนอื่นทำได้ยังไง”นายมีชัย กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่า นายมีชัย จะไม่ให้ข้อมูลหลักฐานใดๆ ใช่หรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า เราได้แต่บอกว่า มีคนเขาซื้อเสียง ก็ได้แต่บอกว่าแถวนั้น เขามี ถ้าไปเอาพยานหลักฐานมาได้ ก็เท่ากับเป็นผู้ผิดเสียเอง ตนไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่มีเบาะแสมาจึงมาบอก
ด้าน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า เรื่องนี้ ต้องนำข้อมูลไปให้ กกต. ที่มีฝ่ายสืบสวน ทำหน้าที่โดยตรงอยู่ ซึ่งตนก็จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด และจะนำไปมอบให้ กกต.ด้วย ทั้งนี้ นอกจากเรื่องเงิน 30 ล้านบาท ตนยังได้ยินเกี่ยวกับการให้เงินเดือน โดยหากใครมาเข้าสังกัด จะมีเงินเดือนตั้งแต่ 50,000-100,000 บาท โดยการเมืองในลักษณะนี้ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะเป็นการเมืองที่กลับเข้าสู่ระบบเก่า
ขณะที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา กล่าวว่า เรื่องซื้อส.ส.นี้มีจริงแน่นอน แต่ไม่ใช่จะมามีอิทธิพลกับนักการเมืองทุกคน เป็นเฉพาะแค่บางคนเท่านั้น เป็นการทุ่มเงินลงไปให้บางคนที่มีความเหนียวแน่น ซึ่งทำให้อดีต ส.ส.บางส่วนตกใจไปบ้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น และค่าหัว ส.ส.หัวละ 30 ล้านบาทนี้ จะส่งผลให้กลุ่มการเมืองต่างๆ ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้ในกลุ่มมัชฌิมาเอง บางคนเมื่อรับรู้ถึงกระแสนี้ก็อาจจะมีเป๋ไปบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกคน ส่วนตัวเชื่อว่าทิศทางการเมืองข้างหน้า ผู้ที่ใช้เงินในการเลือกตั้ง จะผิดหวัง สำหรับสมาชิกกลุ่มมัชฌิมาที่มีชื่อไปอยู่กับพรรคพลังประชาชนนั้น เขาคิดถึงเรื่องเงื่อนไขการสังกัดพรรค 90 วัน ก็โทรมาคุยกันแล้ว ไม่มีอะไร
*** ทรท.ได้ทีโบ้ยใส่พรรคทหาร
ด้าน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง แกนนำกลุ่มไทยรักไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการสร้างข่าว หรือสร้างสถานการณ์ให้คล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่มีการตั้งพรรคเพื่อรองรับทหาร ที่จะลงเล่นการเมือง วันนี้จึงมีความคล้ายกันตรงที่มีความพยายามที่จะตั้งพรรค เพื่อรองรับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อย่างไรก็ตาม หากข่าวดังกล่าวเป็นความจริง ถือว่าเกิดจากกลุ่มที่พยายามจะตั้งพรรคการเมืองเพื่อรองรับทหาร
“ขณะนี้แม้จะมีความพยายามป้ายสีเรา และพรรคพลังประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า เป็นการกระทำของเรา แต่เรื่องนี้พิสูจน์ได้ง่ายๆ ขณะนี้เรามีจำนวนอดีต ส.ส.ที่แสดงความจำนงว่าจะอยู่กับเราเกือบ 300 คน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปซื้ออดีตส.ส.มาเพิ่มอีก แต่พรรคที่ขณะนี้กำลังจะตั้งขึ้นเพื่อรองรับทหารต่างหาก ที่ขณะนี้กำลังหว่านล้อมอดีตส.ส.ของเราด้วยจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท พร้อมกับขู่ว่า หากใครไม่ออกจากกลุ่มเราไป ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น จะถูกกลั่นแกล้งสารพัด และมีการแจกใบเหลือง ใบแดง ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริง เรารับทราบความเคลื่อนไหวนี้ และเห็นตรงกับประธาน สนช.”ร.ท.กุเทพ กล่าว
หลังจากที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ออกมาพูดถึงเรื่องมีกลุ่มการเมืองพยายามซื้อตัวอดีตส.ส.มาเข้าสังกัด เป็นเงินสูงถึงรายละ 30 ล้านบาท และขอให้ กกต.ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย
วานนี้ ( 6 ส.ค.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ปัญหาเรื่องซื้อส.ส.มาเข้าสังกัด ไม่ได้มีการบัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง ทำให้ กกต.ไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ และจะไปปรามก็ไม่ได้ เพราะ กกต. ต้องทำตามกฎหมาย ประกอบกับขณะนี้ยังไม่มีบุคคลใดมาร้องเรียนให้ตรวจสอบ แต่ในอนาคต หากมีระบุไว้อย่างชัดเจน ก็อาจดำเนินการได้
ขณะที่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวว่า เป็นการให้ข้อมูลที่ยังไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริง ส่งผลให้กระทบภาพลักษณ์ของ กกต. ว่าละเลยการตรวจสอบ ซึ่งประธานกกต. ก็ชี้แจงว่า การตรวจสอบทำได้ยาก เพราะไม่มีหลักฐาน และกฎหมายที่จะไปดำเนินการเอาผิด
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ให้ข่าวนี้ ควรชี้เบาะแสให้ กกต.ทราบว่า ได้ข้อมูลนี้มาจากไหน และอยู่ตรงไหน เพราะลำพัง กกต.เองไม่ได้เป็นนักสืบที่จะต้องไปสืบว่าเป็นเรื่องอย่างไร แต่ถ้ามีหลักฐานว่าได้เห็นการซื้อตัว ก็ขอให้แจ้งให้ กกต.ทราบ เพื่อที่จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสืบสวน เพราะเรื่องนี้หากพูดในลักษณะที่ยังไม่มีข้อมูลปัญหาจะเกิดขึ้น เหมือนสภาพเก่าๆ ว่าเป็นประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้อง ภาพพจน์ของประเทศจะเสียหาย
“เรื่องนี้กระทบภาพพจน์ต่อพรรคการเมือง และนักการเมืองไทยจะเสียหายในสายตาของชาวต่างชาติ ทาง กกต.ก็กำลังจะไปปรึกษานายมีชัย ฤชุพันธุ์ ว่ามีข้อมูลตรงนี้หรือไม่ ตัวเองจะไปสภาเพื่อได้ถามนายมีชัย ว่ามีข้อมูลตรงนี้อย่างไร เพราะคนระดับนายมีชัยพูดแล้ว คงต้องมีข้อมูล ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่จะประสานว่า ได้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงแค่ไหนเพียงไร”
ส่วนข่าวการที่ว่า มีการใช้เงินและตำแหน่งจูงใจในการย้ายพรรคนั้น ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองปี 41 ไม่มีข้อห้ามในเรื่องนี้บัญญัติไว้ชัดเจน แต่ มาตรา 66 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ระบุว่า การกระทำใดๆ ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือขัดต่อระบอบประชาธิปไตย เป็นความผิด สามารถดำเนินการยุบพรรคได้ เหมือนกรณีที่ตุลาการรัฐธรรมนูญเคยพิจารณาในเรื่องพรรคนอมินี ซึ่งในกรณีการซื้อตัว ส.ส. และการใช้ตำแหน่งหน้าที่ หรือเงินเพื่อจูงใจให้เข้าพรรค ก็เข้าข่ายความผิดใน มาตรา 66 ทั้งนี้ หาก กกต.ได้ข้อมูลชัดเจนก็ยื่นเรื่องต่อตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคได้
*** “มีชัย”ย้ำเป็นหน้าที่ กกต.ต้องไปจัดการ
ด้าน นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธาน สนช.) กล่าวถึงกรณีที่ กกต. ได้ออกมาเรียกร้องให้ส่งข้อมูล กรณีการซื้อตัว ส.ส. ว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องไปสอบดูว่า มีจริงหรือไม่มี ไม่ใช่หน้าที่ของชาวบ้าน เหมือนกับการได้ข่าวว่าจะมีโจรบุกปล้นบ้าน ถ้าตำรวจมาบอกว่าให้ไปเอาหลักฐานมา แล้วจะมีตำรวจไว้ทำไม เมื่อคนบอกว่ามีข่าวเช่นนี้ กกต.ก็ต้องไปดูว่ามีจริง หรือไม่ หากไม่มีจริงจะได้บอกว่าไม่มี ประชาชนจะได้สบายใจ
ส่วนกรณีที่ฝ่ายการเมืองออกมาติงว่า การออกมาพูดโดยไม่รู้จริง อาจทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นได้นั้น นายมีชัย กล่าวว่า หากคิดเช่นนั้นก็อย่าไปวุ่นวาย เพราะตนไม่ได้บอกว่าพรรคใดที่ทำเช่นนั้น การที่ผู้สื่อข่าวไปถามว่าเป็นพรรคนั้น หรือไม่ เป็นเรื่องที่ผู้สื่อข่าวไปเติมเอาเอง สื่อก็เป็นพยานได้ว่า ตนไม่เคยระบุว่าเป็นพรรคใด ส่วนการตรวจสอบสุดแต่ กกต.จะพิจารณา เพราะ กกต.ทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม ถ้า กกต.รู้สึกว่าจะมีอะไรที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม กกต.ต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ส่วนถ้า กกต.คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ให้บอกประชาชนว่าเป็นเรื่องธรรมดา ประชาชนจะได้รับรู้ว่า ต่อไปใครจะเอาเงินมากองก็ได้
“กกต.ต้องมีวิธีการที่ กกต.จะไปทำ กกต.มีเงิน มีคนอยู่แล้ว ส่วนจะทำวิธีไหนต้องไปหาหนทางทำ จะไปโยนให้คนอื่นทำได้ยังไง”นายมีชัย กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่า นายมีชัย จะไม่ให้ข้อมูลหลักฐานใดๆ ใช่หรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า เราได้แต่บอกว่า มีคนเขาซื้อเสียง ก็ได้แต่บอกว่าแถวนั้น เขามี ถ้าไปเอาพยานหลักฐานมาได้ ก็เท่ากับเป็นผู้ผิดเสียเอง ตนไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่มีเบาะแสมาจึงมาบอก
ด้าน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า เรื่องนี้ ต้องนำข้อมูลไปให้ กกต. ที่มีฝ่ายสืบสวน ทำหน้าที่โดยตรงอยู่ ซึ่งตนก็จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด และจะนำไปมอบให้ กกต.ด้วย ทั้งนี้ นอกจากเรื่องเงิน 30 ล้านบาท ตนยังได้ยินเกี่ยวกับการให้เงินเดือน โดยหากใครมาเข้าสังกัด จะมีเงินเดือนตั้งแต่ 50,000-100,000 บาท โดยการเมืองในลักษณะนี้ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะเป็นการเมืองที่กลับเข้าสู่ระบบเก่า
ขณะที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา กล่าวว่า เรื่องซื้อส.ส.นี้มีจริงแน่นอน แต่ไม่ใช่จะมามีอิทธิพลกับนักการเมืองทุกคน เป็นเฉพาะแค่บางคนเท่านั้น เป็นการทุ่มเงินลงไปให้บางคนที่มีความเหนียวแน่น ซึ่งทำให้อดีต ส.ส.บางส่วนตกใจไปบ้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น และค่าหัว ส.ส.หัวละ 30 ล้านบาทนี้ จะส่งผลให้กลุ่มการเมืองต่างๆ ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้ในกลุ่มมัชฌิมาเอง บางคนเมื่อรับรู้ถึงกระแสนี้ก็อาจจะมีเป๋ไปบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกคน ส่วนตัวเชื่อว่าทิศทางการเมืองข้างหน้า ผู้ที่ใช้เงินในการเลือกตั้ง จะผิดหวัง สำหรับสมาชิกกลุ่มมัชฌิมาที่มีชื่อไปอยู่กับพรรคพลังประชาชนนั้น เขาคิดถึงเรื่องเงื่อนไขการสังกัดพรรค 90 วัน ก็โทรมาคุยกันแล้ว ไม่มีอะไร
*** ทรท.ได้ทีโบ้ยใส่พรรคทหาร
ด้าน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง แกนนำกลุ่มไทยรักไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการสร้างข่าว หรือสร้างสถานการณ์ให้คล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่มีการตั้งพรรคเพื่อรองรับทหาร ที่จะลงเล่นการเมือง วันนี้จึงมีความคล้ายกันตรงที่มีความพยายามที่จะตั้งพรรค เพื่อรองรับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อย่างไรก็ตาม หากข่าวดังกล่าวเป็นความจริง ถือว่าเกิดจากกลุ่มที่พยายามจะตั้งพรรคการเมืองเพื่อรองรับทหาร
“ขณะนี้แม้จะมีความพยายามป้ายสีเรา และพรรคพลังประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า เป็นการกระทำของเรา แต่เรื่องนี้พิสูจน์ได้ง่ายๆ ขณะนี้เรามีจำนวนอดีต ส.ส.ที่แสดงความจำนงว่าจะอยู่กับเราเกือบ 300 คน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปซื้ออดีตส.ส.มาเพิ่มอีก แต่พรรคที่ขณะนี้กำลังจะตั้งขึ้นเพื่อรองรับทหารต่างหาก ที่ขณะนี้กำลังหว่านล้อมอดีตส.ส.ของเราด้วยจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท พร้อมกับขู่ว่า หากใครไม่ออกจากกลุ่มเราไป ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น จะถูกกลั่นแกล้งสารพัด และมีการแจกใบเหลือง ใบแดง ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริง เรารับทราบความเคลื่อนไหวนี้ และเห็นตรงกับประธาน สนช.”ร.ท.กุเทพ กล่าว