.
การเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ ไม่เสียชาติเกิด ไม่หลงงมงาย ท่านทราบไหมว่าควรจะทำอย่างไร มนุษย์จำเป็นต้องมีศาสนา ต้องมีที่พึ่ง ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์มีสัญชาตญาณ คือรักตัวกลัวตายเป็นพื้นฐาน มีโลภ โกรธ หลง จึงคิดหาที่พึ่งเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ แต่ แสวงหาที่พึ่งภายนอกที่ไม่ถูกต้อง เช่น กลางคืนกลัวก็ไหว้พระจันทร์ กลางวันกลัวก็ไหว้พระอาทิตย์ เข้าป่าก็กราบไหว้ต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น
พระพุทธเจ้าสอนว่า “มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อาราม รุกขเจดีย์บ้างเป็นสรณะ (ภูต ผี ปีศาจ เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล อิฐ หิน ปูน ทราย เทวดา เทพเจ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น) นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
“ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้วเห็นอริยสัจคือ ความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์ นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
สรณะอันสูงสุด อันเป็นที่พึ่งอันพึงเกษมภายในใจ คือ พระรัตนตรัย พระรัตนตรัย แปลโดยพยัญชนะ “พระ” มาจากคำบาลีว่า “วร” แปลว่า ประเสริฐ “รัตนะ” แปลว่า แก้ว, “ตรัย” แปลว่า สาม รวมความคือ แก้วประเสริฐสามประการ ถ้าแปลโดยอรรถความว่า “ที่พึ่งอันประเสริฐยิ่งใหญ่ภายในใจสูงสุดสามประการ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”
เราไม่ลืมว่า พระเจ้าแผ่นดิน พ่อแม่ ครู-อาจารย์ ฯลฯ ก็เป็นที่พึ่ง แต่ไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด คำว่า “สูงสุด” คือสูงสุดยิ่งกว่าสรณะใดๆ หมายความว่าเป็นสรณะที่ถูกต้องแท้จริงนั้นจะต้องเป็นสภาวะที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอมตะ คือพ้นจากกฎไตรลักษณ์ อีกนัยหนึ่งก็คือสภาวะนิพพานหรือ (สภาวะธรรมาธิปไตย) นั่นเอง
ขอนำท่านผู้อ่านทั้งหลายร่วมกันพิจารณาความหมายโดยลึกซึ้งพิสดาร
พระพุทธเจ้านัยที่ 1 ขณะมีชีวิตอยู่ทรงตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ผู้รู้แจ้งธรรมเป็นองค์แรก และสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตาม พระองค์ทรงปรินิพพานล่วงแล้วร่วม 2550 ปี
พระพุทธเจ้านัยที่ 2 คือสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าคือ พระธรรมจักร ต้นโพธิ์ และพระพุทธปฏิมากร อันเป็นรูปเปรียบของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นหลังพุทธกาลราว 500 ปี เกิดขึ้นครั้งแรกโดยพระเจ้ามิลินท์ เมืองคันธาระ ทางตอนเหนือของอินเดีย ทุกวันนี้คือรัฐปัญจาบของอินเดีย
พระพุทธเจ้านัยที่ 3 คือพระพุทธสภาวะ เป็นสภาวะที่ดำรงอยู่ในใจของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายกระทั่งปรินิพพาน และสภาวะนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าแท้จริงมีอยู่ในใจมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่ปุถุชนทั่วไปไม่อาจพบสภาวะนี้ได้ เว้นแต่พระโสดาบันขึ้นไป
พระธรรมนัยที่ 1 คือธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วจากพระพระโอษฐ์โดยตรง
พระธรรมนัยที่ 2 คือธรรมคำสอนที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก, หนังสือธรรมะ, และธรรมจากพระสงฆ์
พระธรรมนัยที่ 3 คือสภาวธรรมโดยธรรมชาติ (ธมฺโม หเว ปาตุรโหสิ บุปเพ) เป็นธรรมที่มีอยู่ก่อนแล้ว ก่อนสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้น สภาวะนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าแท้จริงมีอยู่ในใจมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่ปุถุชนทั่วไปไม่อาจพบสภาวะนี้ได้ เว้นแต่พระโสดาบันขึ้นไป
พระสงฆ์นัยที่ 1 คือพระสงฆ์ทั่วไป เรียกว่ากัลยาณปุถุชน (พระไตรปิฎกไทยเล่มที่ 31/428/125) “กัลยาณะ” แปลว่าดี ส่วน “ปุถุชน” แปลว่า หนาด้วยกิเลส ที่ดีก็เพราะมีพระวินัยครอบอยู่นั่นเอง
พระสงฆ์นัยที่ 2 คือพระสุปฏิปันโนสงฆ์ พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แต่ยังเป็นพระเสขบุคคล คือพระอริยชั้นต้น และชั้นกลาง ที่จะต้องศึกษาปฏิบัติเพื่อละความเพียรต่อไป ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี
พระสงฆ์นัยที่ 3 คือ พระอรหันต์ เป็นสภาวะอริยะสงฆ์ที่แท้จริง เป็นพระอเสขบุคคล หมายถึงไม่ต้องศึกษาอีกต่อไป เพราะสามารถอิสระหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง สภาวะนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า แท้จริงมีอยู่ในใจมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่ปุถุชนทั่วไปไม่อาจพบสภาวะนี้ได้ เว้นแต่พระโสดาบันขึ้นไป
พระสงฆ์นัยที่ 2 และที่ 3 เป็นอริยสาวก 8 ที่แท้จริงขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ฟังคำสั่งสอนแล้ว ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ท่านจะเห็นได้ว่าลักษณะ พระรัตนตรัยทั้ง 9 นี้ มีทั้งที่เห็นได้ด้วยตา และเห็นได้ด้วยใจ
ที่เห็นได้ด้วยตา ได้แก่ พระพุทธเจ้านัยที่ 2, พระธรรมนัยที่ 3 และพระสงฆ์นัยที่ 1 เป็นพระรัตนตรัยแบบโลกิยะ
ที่เห็นได้ด้วยใจ ได้แก่ พระพุทธเจ้านัยที่ 1 และนัยที่ 3, พระธรรมนัยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3, พระสงฆ์นัยที่ 2 และ 3
พระรัตนตรัยที่ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้านัยที่ 1 และที่ 2 พระธรรมนัยที่ 1 และที่ 2, พระสงฆ์นัยที่ 1 และที่ 2
พระรัตนตรัยที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ ไม่เสื่อมสลาย เป็นสรณะที่จริงสูงสุด พ้นจากกฎไตรลักษณ์ คือ สภาวะพระพุทธเจ้านัยที่ 3 สภาวะพระธรรมนัยที่ 3 และสภาวะพระสงฆ์นัยที่ 3 สภาวะทั้ง 3 นี้แท้จริงเป็นสภาวะเดียวกัน และเป็น พระรัตนตรัยแบบโลกุตระ เป็นโลกภายใน เป็นโลกที่แท้จริงของมนุษยชาติ
อุปมาที่ 1 พระรัตนตรัย ดุจดังพระจันทร์วันเพ็ญ แต่เพราะเมฆหมอก (อุปกิเลส) มาบังทำให้ปุถุชนไม่พบพระรัตนตรัย สรณะที่แท้จริง
อุปมาที่ 2 พระรัตนตรัยดุจจอภาพยนตร์ ที่ไม่เปลี่ยนสลายไป ส่วนภาพยนตร์เมื่อฉายไปก็เปลี่ยนแปลงไปๆ เช่นเดียวกับจิตปรุงแต่งของปุถุชนทั่วไป ส่วนจิตเดิมแท้เป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผุดผ่องสมดังพุทธพจน์ที่มาใน พระไตรปิฎกเล่ม 12 ข้อ 49 - 53 ความว่า
1. (49) ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว เหมือนจิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าใด นั้น แม้จะอุปมาก็กระทำได้มิใช่ง่ายฯ
2. (50) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง ด้วยอุปกิเลสที่จรมาฯ
3. (51) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว จากอุปกิเลสที่จรมาฯ
4. (52) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้ว ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริงฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิต ฯ
5. (53) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า พระอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมมีการอบรมจิตฯ
การวิปัสสนา เป็นปัจจัยให้รู้แจ้งต่อสภาวธรรมที่ปรุงแต่ง รู้แจ้งเห็นจริงตามกฎไตรลักษณ์อย่างถูกต้องว่าสภาวะขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขารทั้งปวงนั้นไม่เที่ยงแปรปรวนทุกขณะ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ สังขารทั้งปวงเป็นอนัตตา แสดงให้เห็นว่าขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่สลายไป คือ เกิด แก่ ดับ มีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด ตรงตามพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 17 ข้อที่ 70 ความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภาวะสลาย และภาวะไม่สลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นภาวะสลาย อะไรเป็นภาวะไม่สลาย? รูปเป็นภาวะสลาย ความดับ ความเข้าไประงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งรูปนั้น นี้เป็นภาวะไม่สลาย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นภาวะสลาย ความดับ ความเข้าไประงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้ แห่งเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณนั้น นี้เป็นภาวะไม่สลาย
เมื่อรู้แจ้ง เห็นจริงดังนี้แล้ว ย่อมหน่ายในสังขาร จิตไม่ยึดถือ เมื่อจิตไม่ยึดถือ ย่อมรู้ว่าจิตอิสระหลุดพ้น ก่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง ก็จะพบกับสภาวะอสังขตธรรม หรือสภาวะนิพพาน หรือสภาวะพระรัตนตรัยอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่า การเคารพ การกราบพระรัตนตรัย แท้จริงก็คือการกราบความบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจตนด้วย นั่นเอง
“มีพระรัตนตรัยน้อย มีกิเลสมาก ตกนรกมาก ถ้ามีพระรัตนตรัยมาก มีกิเลสน้อย ตกนรกน้อย (สวรรค์) มีพระรัตนตรัยเต็มร้อย ย่อมพ้นทุกข์ทั้งปวงเข้าสู่พบสภาวะพระนิพพาน หรือสภาวะธรรมาธิปไตย” นั้นเอง
พระรัตนตรัย คือหลักชัย ธงชัยภายในใจที่แท้จริง พระสัจธรรมคำสอน คือเชือก ส่วน พระสงฆ์ คือครู ผู้แนะนำ ผู้ชี้ทาง และเป็นพี่เลี้ยง การมีที่พึ่งที่ถูกต้อง จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้าโดยฝ่ายเดียว แม้ในท่ามกลางวิกฤต ผู้มีที่พึ่งไม่ถูกต้อง ชีวิตตกอยู่ในความเสื่อมตลอดไป “เมื่อมีสรณะ ที่พึ่งอันถูกต้อง ย่อมมีความก้าวหน้า สักวันหนึ่งจะถึงจุดหมายสำเร็จสูงสุด”
สรุปได้ว่า ชาวพุทธผู้มีปัญญา เป็นชาวพุทธที่แท้จริง เป็นพระสงฆ์พุทธสาวกที่แท้จริง ย่อมมีปัญญา ไม่หวั่นไหวจากเทพเจ้าใดๆ และพ้นจากวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังอันงมงายใดๆ อันเป็นเดรัจฉานวิชา... ผู้มีปัญญาที่แท้จริงย่อมมองเห็นเผด็จการ 2 ขั้วจ้องจะโค่นทำลายล้างซึ่งกันและกัน
การเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ ไม่เสียชาติเกิด ไม่หลงงมงาย ท่านทราบไหมว่าควรจะทำอย่างไร มนุษย์จำเป็นต้องมีศาสนา ต้องมีที่พึ่ง ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์มีสัญชาตญาณ คือรักตัวกลัวตายเป็นพื้นฐาน มีโลภ โกรธ หลง จึงคิดหาที่พึ่งเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ แต่ แสวงหาที่พึ่งภายนอกที่ไม่ถูกต้อง เช่น กลางคืนกลัวก็ไหว้พระจันทร์ กลางวันกลัวก็ไหว้พระอาทิตย์ เข้าป่าก็กราบไหว้ต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น
พระพุทธเจ้าสอนว่า “มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อาราม รุกขเจดีย์บ้างเป็นสรณะ (ภูต ผี ปีศาจ เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล อิฐ หิน ปูน ทราย เทวดา เทพเจ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้น) นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
“ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้วเห็นอริยสัจคือ ความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์ นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
สรณะอันสูงสุด อันเป็นที่พึ่งอันพึงเกษมภายในใจ คือ พระรัตนตรัย พระรัตนตรัย แปลโดยพยัญชนะ “พระ” มาจากคำบาลีว่า “วร” แปลว่า ประเสริฐ “รัตนะ” แปลว่า แก้ว, “ตรัย” แปลว่า สาม รวมความคือ แก้วประเสริฐสามประการ ถ้าแปลโดยอรรถความว่า “ที่พึ่งอันประเสริฐยิ่งใหญ่ภายในใจสูงสุดสามประการ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์”
เราไม่ลืมว่า พระเจ้าแผ่นดิน พ่อแม่ ครู-อาจารย์ ฯลฯ ก็เป็นที่พึ่ง แต่ไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด คำว่า “สูงสุด” คือสูงสุดยิ่งกว่าสรณะใดๆ หมายความว่าเป็นสรณะที่ถูกต้องแท้จริงนั้นจะต้องเป็นสภาวะที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอมตะ คือพ้นจากกฎไตรลักษณ์ อีกนัยหนึ่งก็คือสภาวะนิพพานหรือ (สภาวะธรรมาธิปไตย) นั่นเอง
ขอนำท่านผู้อ่านทั้งหลายร่วมกันพิจารณาความหมายโดยลึกซึ้งพิสดาร
พระพุทธเจ้านัยที่ 1 ขณะมีชีวิตอยู่ทรงตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง ผู้รู้แจ้งธรรมเป็นองค์แรก และสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตาม พระองค์ทรงปรินิพพานล่วงแล้วร่วม 2550 ปี
พระพุทธเจ้านัยที่ 2 คือสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าคือ พระธรรมจักร ต้นโพธิ์ และพระพุทธปฏิมากร อันเป็นรูปเปรียบของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นหลังพุทธกาลราว 500 ปี เกิดขึ้นครั้งแรกโดยพระเจ้ามิลินท์ เมืองคันธาระ ทางตอนเหนือของอินเดีย ทุกวันนี้คือรัฐปัญจาบของอินเดีย
พระพุทธเจ้านัยที่ 3 คือพระพุทธสภาวะ เป็นสภาวะที่ดำรงอยู่ในใจของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายกระทั่งปรินิพพาน และสภาวะนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าแท้จริงมีอยู่ในใจมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่ปุถุชนทั่วไปไม่อาจพบสภาวะนี้ได้ เว้นแต่พระโสดาบันขึ้นไป
พระธรรมนัยที่ 1 คือธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วจากพระพระโอษฐ์โดยตรง
พระธรรมนัยที่ 2 คือธรรมคำสอนที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก, หนังสือธรรมะ, และธรรมจากพระสงฆ์
พระธรรมนัยที่ 3 คือสภาวธรรมโดยธรรมชาติ (ธมฺโม หเว ปาตุรโหสิ บุปเพ) เป็นธรรมที่มีอยู่ก่อนแล้ว ก่อนสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้น สภาวะนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าแท้จริงมีอยู่ในใจมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่ปุถุชนทั่วไปไม่อาจพบสภาวะนี้ได้ เว้นแต่พระโสดาบันขึ้นไป
พระสงฆ์นัยที่ 1 คือพระสงฆ์ทั่วไป เรียกว่ากัลยาณปุถุชน (พระไตรปิฎกไทยเล่มที่ 31/428/125) “กัลยาณะ” แปลว่าดี ส่วน “ปุถุชน” แปลว่า หนาด้วยกิเลส ที่ดีก็เพราะมีพระวินัยครอบอยู่นั่นเอง
พระสงฆ์นัยที่ 2 คือพระสุปฏิปันโนสงฆ์ พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แต่ยังเป็นพระเสขบุคคล คือพระอริยชั้นต้น และชั้นกลาง ที่จะต้องศึกษาปฏิบัติเพื่อละความเพียรต่อไป ได้แก่พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี
พระสงฆ์นัยที่ 3 คือ พระอรหันต์ เป็นสภาวะอริยะสงฆ์ที่แท้จริง เป็นพระอเสขบุคคล หมายถึงไม่ต้องศึกษาอีกต่อไป เพราะสามารถอิสระหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง สภาวะนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า แท้จริงมีอยู่ในใจมนุษยชาติทุกคน เพียงแต่ปุถุชนทั่วไปไม่อาจพบสภาวะนี้ได้ เว้นแต่พระโสดาบันขึ้นไป
พระสงฆ์นัยที่ 2 และที่ 3 เป็นอริยสาวก 8 ที่แท้จริงขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ฟังคำสั่งสอนแล้ว ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และสั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ท่านจะเห็นได้ว่าลักษณะ พระรัตนตรัยทั้ง 9 นี้ มีทั้งที่เห็นได้ด้วยตา และเห็นได้ด้วยใจ
ที่เห็นได้ด้วยตา ได้แก่ พระพุทธเจ้านัยที่ 2, พระธรรมนัยที่ 3 และพระสงฆ์นัยที่ 1 เป็นพระรัตนตรัยแบบโลกิยะ
ที่เห็นได้ด้วยใจ ได้แก่ พระพุทธเจ้านัยที่ 1 และนัยที่ 3, พระธรรมนัยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3, พระสงฆ์นัยที่ 2 และ 3
พระรัตนตรัยที่ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้านัยที่ 1 และที่ 2 พระธรรมนัยที่ 1 และที่ 2, พระสงฆ์นัยที่ 1 และที่ 2
พระรัตนตรัยที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ ไม่เสื่อมสลาย เป็นสรณะที่จริงสูงสุด พ้นจากกฎไตรลักษณ์ คือ สภาวะพระพุทธเจ้านัยที่ 3 สภาวะพระธรรมนัยที่ 3 และสภาวะพระสงฆ์นัยที่ 3 สภาวะทั้ง 3 นี้แท้จริงเป็นสภาวะเดียวกัน และเป็น พระรัตนตรัยแบบโลกุตระ เป็นโลกภายใน เป็นโลกที่แท้จริงของมนุษยชาติ
อุปมาที่ 1 พระรัตนตรัย ดุจดังพระจันทร์วันเพ็ญ แต่เพราะเมฆหมอก (อุปกิเลส) มาบังทำให้ปุถุชนไม่พบพระรัตนตรัย สรณะที่แท้จริง
อุปมาที่ 2 พระรัตนตรัยดุจจอภาพยนตร์ ที่ไม่เปลี่ยนสลายไป ส่วนภาพยนตร์เมื่อฉายไปก็เปลี่ยนแปลงไปๆ เช่นเดียวกับจิตปรุงแต่งของปุถุชนทั่วไป ส่วนจิตเดิมแท้เป็นประภัสสร บริสุทธิ์ผุดผ่องสมดังพุทธพจน์ที่มาใน พระไตรปิฎกเล่ม 12 ข้อ 49 - 53 ความว่า
1. (49) ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว เหมือนจิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าใด นั้น แม้จะอุปมาก็กระทำได้มิใช่ง่ายฯ
2. (50) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง ด้วยอุปกิเลสที่จรมาฯ
3. (51) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว จากอุปกิเลสที่จรมาฯ
4. (52) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้ว ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริงฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิต ฯ
5. (53) ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า พระอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมมีการอบรมจิตฯ
การวิปัสสนา เป็นปัจจัยให้รู้แจ้งต่อสภาวธรรมที่ปรุงแต่ง รู้แจ้งเห็นจริงตามกฎไตรลักษณ์อย่างถูกต้องว่าสภาวะขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สังขารทั้งปวงนั้นไม่เที่ยงแปรปรวนทุกขณะ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ สังขารทั้งปวงเป็นอนัตตา แสดงให้เห็นว่าขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่สลายไป คือ เกิด แก่ ดับ มีเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด ตรงตามพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 17 ข้อที่ 70 ความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภาวะสลาย และภาวะไม่สลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นภาวะสลาย อะไรเป็นภาวะไม่สลาย? รูปเป็นภาวะสลาย ความดับ ความเข้าไประงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งรูปนั้น นี้เป็นภาวะไม่สลาย เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นภาวะสลาย ความดับ ความเข้าไประงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้ แห่งเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณนั้น นี้เป็นภาวะไม่สลาย
เมื่อรู้แจ้ง เห็นจริงดังนี้แล้ว ย่อมหน่ายในสังขาร จิตไม่ยึดถือ เมื่อจิตไม่ยึดถือ ย่อมรู้ว่าจิตอิสระหลุดพ้น ก่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง ก็จะพบกับสภาวะอสังขตธรรม หรือสภาวะนิพพาน หรือสภาวะพระรัตนตรัยอันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่า การเคารพ การกราบพระรัตนตรัย แท้จริงก็คือการกราบความบริสุทธิ์ที่อยู่ในใจตนด้วย นั่นเอง
“มีพระรัตนตรัยน้อย มีกิเลสมาก ตกนรกมาก ถ้ามีพระรัตนตรัยมาก มีกิเลสน้อย ตกนรกน้อย (สวรรค์) มีพระรัตนตรัยเต็มร้อย ย่อมพ้นทุกข์ทั้งปวงเข้าสู่พบสภาวะพระนิพพาน หรือสภาวะธรรมาธิปไตย” นั้นเอง
พระรัตนตรัย คือหลักชัย ธงชัยภายในใจที่แท้จริง พระสัจธรรมคำสอน คือเชือก ส่วน พระสงฆ์ คือครู ผู้แนะนำ ผู้ชี้ทาง และเป็นพี่เลี้ยง การมีที่พึ่งที่ถูกต้อง จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้าโดยฝ่ายเดียว แม้ในท่ามกลางวิกฤต ผู้มีที่พึ่งไม่ถูกต้อง ชีวิตตกอยู่ในความเสื่อมตลอดไป “เมื่อมีสรณะ ที่พึ่งอันถูกต้อง ย่อมมีความก้าวหน้า สักวันหนึ่งจะถึงจุดหมายสำเร็จสูงสุด”
สรุปได้ว่า ชาวพุทธผู้มีปัญญา เป็นชาวพุทธที่แท้จริง เป็นพระสงฆ์พุทธสาวกที่แท้จริง ย่อมมีปัญญา ไม่หวั่นไหวจากเทพเจ้าใดๆ และพ้นจากวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังอันงมงายใดๆ อันเป็นเดรัจฉานวิชา... ผู้มีปัญญาที่แท้จริงย่อมมองเห็นเผด็จการ 2 ขั้วจ้องจะโค่นทำลายล้างซึ่งกันและกัน