xs
xsm
sm
md
lg

คนไทยโบราณไม่โง่เหมือนคนทุกวันนี้

เผยแพร่:   โดย: ยอดรัก ตะวันรอน

คนที่มารับผมที่สนามบินอุบลราชธานี เมื่อผมเดินทางไปจังหวัดยโสธรเมื่อไม่นานมานี้ ในฐานะคนขับรถกระบะที่ถูกพรรคพวกใช้มารับ เขาบอกผมว่าเขาพึ่งอายุ 72 ปี เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ถ้าหากวันเวลามันยังเร็วเพื่อช่วยเหลือเจ้าหนี้รายต่างๆ อยู่อย่างทุกวันนี้แล้ว และอีกไม่กี่ปีก็จะถึง 80 ปี ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะสงสัยเพราะทุกอย่างไม่ว่าการเดินเหิน และอากัปกิริยาทุกอย่างของเขายังดูกระฉับกระเฉงและกระชุ่มกระชวยอยู่มาก

เขาเป็นคนบ้านนอกที่บอกผมว่าอาชีพของเขาก็คือ การทำไร่ แต่เมื่อหมดหน้านาแล้วเขาก็มักจะไปรับจ้างขับรถเป็นงานอดิเรก และก็จะขับไปเรื่อยๆ เพราะมีคนนิยมจ้างคนสูงอายุที่มีประสบการณ์หรือมีความชำนาญ เพราะจะทำให้ผู้จ้างมีโอกาสตายได้ช้ากว่าคนหนุ่มๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ว่างงาน

“พ่อผมยิ่งกว่าผมเสียอีก เรื่องแก่เรื่องตายที่แกก็รออยู่แต่ไม่ยอมแก่ไม่ยอมตายสักที” เขาเอ่ยขึ้นมากับผมต่อ หลังจากที่คุยเรื่องส่วนตัวของเขาพักใหญ่ “อายุแก่พึงจะครบ 100 ปีพอดีปีนี้ ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปนานสักเท่าไร ยังแข็งแรงทำอะไรได้อยู่ตามปกติ ตอนนี้ก็ยังออกไปเลี้ยงวัวอยู่ในทุ่ง”

“100 ปี ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ”

“ครับ, ครบ 100 ปีไม่กี่วันมานี้เอง”

“กินยาอะไร?” ผมถาม

“ไม่ครับ, แกไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรถึงกับจะต้องกินยา”

“ผมหมายถึงว่ากินยาอะไรที่ทำให้ไม่แก่ต่างหาก”

“ไม่ครับ, คนที่นี่เขาไม่กินยากันหรอกครับ เพราะคนที่นี่จะไม่ค่อยมีใครเจ็บไข้กัน ปวดหัวก็ไม่ค่อยจะมี ชาวไร่ชาวนาอย่างผมมันไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรง่ายๆ หรอก เมื่อก่อนนี้ก็เชื่อว่าที่ไม่ป่วยก็เพราะเป็นชาวไร่ชาวนา ไม่ค่อยมีเงินซื้อยากินก็ไม่ยอมป่วยกัน แต่อยู่ๆ มามันไม่เป็นอย่างนั้นเพราะคนที่นิยมการป่วยก็จะเป็นพวกในเมือง พวกมีเงินที่ฐานะดี มันเลยทำให้พวกเราเข้าใจว่าทุกวันนี้เราไม่ค่อยแก่ ไม่ค่อยตายกันก็เพราะเราไม่กินยานี่แหละ”

“เด็กๆ ลูกหลานที่ไปเรียนมามันบอกว่าเพราะพวกเราคนบ้านนอกทุกวันนี้ยังมีคนอยู่กันตามธรรมชาติ ที่ไม่ยอมแก่ไม่ยอมตายเพราะการมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาตินี่แหละ”

“พ่อผมจะไม่กินฟาสต์ฟูดหรืออาหารพวกแดกด่วน จะไม่ดื่มยาบำรุงกำลัง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าหากไม่ใช่น้ำธรรมดาที่หมูหมากินกัน ก็จะไม่กิน” เขาอธิบาย “ข้าวปลาก็จะกินกับพวกผักจิ้ม น้ำปลาหรือซีอิ๊วยังไม่กินเลย กินแต่ปลาร้าธรรมดาเพราะมันไม่ต้องมีสารเคมีอะไรผสมนอกจากเกลือที่คนอีสานเขากินนี่เอง กินมาแต่เล็กจนโต มันก็ไม่เคยเจ็บป่วย นี่ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปนานอีกสักกี่ปีก็ไม่รู้ ผมอาจจะตายก่อนก็ได้เพราะผมกินทั้งเหล้าทั้งเบียร์ถ้ามีเงิน ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อยเพราะมีสาโทกิน ราคามันถูก”


เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม ผมรู้ผมเห็นมานานแล้วว่ามีคนประเภทตายยากหรือตายช้าเหล่านี้มากมายในเมืองไทย เฉพาะคนบ้านนอกที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตที่ทันสมัยจะพบง่ายในเมือง ผมเองก็เช่นเดียวกัน ผมเป็นเด็กบ้านนอกมาก่อน ผมมีโอกาสได้สัมผัสกับคนประเภทนี้มามากมายพอสมควร

คนบ้านนอกคนแรกที่ผมสัมผัสท่านเป็นพระหรือเป็นหลวงพ่อ อายุเท่าไรไม่ทราบ แต่ผมคาดว่าไม่ต่ำกว่า 80 ปีขึ้นไป เวลาท่านจะไปไหนตามหมู่บ้านต่างๆ ท่านจะเดินไป เพราะสมัยก่อนนั้นบ้านนอกไม่มีถนนหนทางสะดวกสบายเหมือนอย่างทุกวันนี้ ท่านสามารถจะเดินไปเป็นวันจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเพื่อไปเทศน์หรือถูกนิมนต์ไปเป็นอุปัชฌาย์ให้วัดต่างๆ ผมเองมีหน้าที่จะต้องคอยถือกาเล็กๆ ตามหลัง กาใบนั้นจะเป็นกาน้ำที่มีแก่นยาไทยชนิดหนึ่งคือ แก่นฝาง ตลอดชีวิตของท่านที่ผมเห็นก็ดูเหมือนท่านมาเสียชีวิตเมื่อแก่มากแล้ว สิ่งที่ผมยืนยันได้ก็คือไม่เคยเห็นท่านพกยาแก้หวัด ยาแก้ปวดศีรษะหรือยาธาตุ และไม่เคยเข้าโรงพยาบาลที่ไหนตลอดชีวิตของท่าน

อีกองค์หนึ่งก็เป็นลูกศิษย์ท่าน เป็นพระครูบ้านนอกที่มีความรู้ทางแพทย์แผนโบราณ ท่านจะถูกนิมนต์เกือบทุกหมู่บ้านในอำเภอนั้น เพื่อให้การรักษาดูแลคนเจ็บป่วย ส่วนมากมักจะเป็นไข้มาลาเรีย ผมก็จะต้องคอยหิ้วเครื่องยาพื้นบ้านตามหลังไปให้ท่านทุกแห่ง ผมจะชินกับยาไทยมากมายพอที่จะรู้ว่าอะไรรักษาได้บ้าง

หลวงพ่อก็ตายเมื่ออายุมากแล้ว แต่ไม่ได้ตายเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ตายเพราะท่านต้องขี้ม้าไปตำบลทุรกันดารแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าท่านตกม้าแล้วถูกม้าเตะเอาแบบไหนก็ไม่รู้ ทำให้ตับได้รับการกระทบกระเทือนจนกระทั่งเสียชีวิตในระยะต่อมา

จนกระทั่งเดินทางเข้ามาในจังหวัดเมื่อจบชั้นประถม เพื่อมาศึกษาต่อในเมือง แต่แม่กับพ่อก็อยู่บ้านนอกพร้อมด้วยญาติ ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ความเจริญและอารยธรรมน้ำขวดและอาหารประเภทฟาสต์ฟูดที่มีขายกันอยู่ทุกวันนี้ยังเข้าไปไม่ถึง ก็ต้องอยู่กับธรรมชาติเพราะความเคยชิน สิ่งที่มองเห็นและรู้ได้ชัดก็คือ ไม่ต้องหายาลดความอ้วนมากิน

ผมมีแม่และลุงที่อยู่กับธรรมชาติที่ว่านี้ เมื่อเวลาจะตายก็ไม่มีการเจ็บปวดทุรนทุรายอะไร นอนเฉยๆ ค่อยๆ หมดลมทีละน้อยๆ ลุงตายไปก่อนเมื่ออายุ 92 ปี ต่อมาก็เป็นแม่ที่ตายตามอายุ 92 ปีเหมือนกัน

อาจจะมีคนศึกษาค้นคว้าว่าคนไทยนั้นมาจากไหนและเป็นใคร จากสุโขทัยมาจนกระทั่งบัดนี้ ก็พอประมาณได้ว่าคนไทยมีมาไม่น้อยกว่า 1,000 ปีมาแล้ว สมัยนั้นยังไม่มียาแผนปัจจุบันขายกันมากเหมือนสมัยนี้ คนไทยก็สามารถอยู่มาได้อย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยไปทุกคนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่คนไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนสืบทอดมาทุกวันนี้เรากินอย่างไทย มันก็ทำให้ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติกันได้อย่างดีตลอดมา

เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีสถาบันแห่งหนึ่งที่ประกาศว่าผู้หญิงที่หน้าอกเล็กต้องการจะแก้ไขให้มันใหญ่ตามความปรารถนาก็ให้ไปสมัครออกกำลังกาย และบริหารหน้าอกอย่างเปิดเผยที่สถาบันแห่งนั้น ไม่ต้องผ่าตัดเสียเงินและไม่ปลอดภัยอีกด้วย

การบริหารที่ว่านี้ คนโบราณก็เคยทำกันมา แต่ไม่มีใครจะไปสนใจว่ามันจะใหญ่หรือจะเล็ก ทุกคนถือว่ามันถูกสร้างมาก็ยอมรับมันอย่างนั้น ความวิเศษของผู้หญิงในสมัยก่อนขึ้นอยู่กับนิสัยใจคอและกิริยามารยาทหรือความรู้จักอาย ไม่ต้องไปห่วงว่าหน้าอกมันจะเล็กหรือมันจะใหญ่

พรรคพวกผมคนหนึ่งบังเอิญไปผูกพันกับผู้หญิงที่ไปผ่าตัดทำหน้าอกด้วยซิลิโคน แต่ไม่รู้ว่าหมอผ่าตัดไปทำไว้อย่างไรมันรั่วออกมาจากบริเวณที่เอาซิลิโคนไปใส่ไว้ทำให้เกิดอักเสบอย่างแรงแทบตายต้องไปหาทางเอาออก

เช่นเดียวกับผิวพรรณที่เราเห็นโฆษณาอยู่ ดูมันวิเศษไปเสียทั้งสิ้น ทั้งสมุนไพรไทยและสารเคมีอื่นๆ ซึ่งความจริงนั้นเรื่องผิวพรรณมันเป็นไปตามธรรมชาติที่มันไม่มีทางแก้ไขให้เป็นอย่างที่มันถูกสร้างมาแต่เดิม และในการดำเนินชีวิตถ้าหากใช้เวลานั่งอบเนื้ออบตัวอยู่ไม่ตากแดดตากลม มันไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องไปวิ่งหาเครื่องสำอางประเทืองผิวให้มันเสียเวลาทำมาหากินกันอย่างทุกวันนี้

หลายปีมาแล้ว เพื่อนของผมคนหนึ่งเขาจะทะเลาะกับเมียของเขาในเรื่องมันแต่บ้าเครื่องประเทืองผิวพวกนี้เป็นประจำ วันหนึ่งเขาตะโกนว่า “นางพิมพิลาไลกับสายทอง มันก็ใช้เพียงขมิ้นดินสอพองสองอย่างนี้เท่านั้น ไม่ต้องไปสรรหายาวิเศษที่ไหนมาประเทืองมันหรอก มันไม่ใช่อยู่ที่ยาประเทืองผิวบ้าๆ ที่เธอไปหลงมันอยู่ นางฟ้าที่ไหนก็เถอะ ออกไปตากแดดตากลมทำงานหนัก เอาอะไรมาประเทืองมันก็ไม่ได้อยู่วันยังค่ำ”

แน่นอน คนไทยโบราณของเรานั้นไม่ได้ใช้อะไรมากนอกจากทรัพย์ในดิน สินในน้ำที่เรามีอยู่ ใช้ให้มันเป็น ทำให้คนมีค่าขึ้นมาได้ทั้งสิ้น

ถ้าเราไม่ลืมมันเสียและที่สำคัญเราจะต้องศึกษาวิจัยหรือทำความรู้จักกับมันว่าคนไทยสมัยก่อนเขาใช้กันอย่างไร เขาเข้าใจมันอย่างไร

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีข่าวที่มีผู้สนใจกันค่อนข้างฮือฮาอยู่ข่าวหนึ่ง คือข่าวที่ว่ามีหญ้าชนิดหนึ่งที่เรียกว่า หญ้าหวานหรือหญ้าปักกิ่งที่ขายกันเกร่อว่าเป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคได้หลายชนิด เฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง

แต่ก็มีคนคัดค้านว่ามันเป็นไปไม่ได้

แต่ก็มีนายทหารเกษียณอายุราชการท่านหนึ่งออกมายืนยันว่า ท่านเป็นมะเร็งที่ตับ และท่านก็หายมานานแล้วเพราะกินหญ้าปักกิ่งที่ว่านี้ โดยท่านผ่านการรักษามาทุกรูปแบบหลายโรงพยาบาลมันไม่หาย แต่พอมากินน้ำชาหญ้าปักกิ่งนี้ระยะหนึ่งมันหายเป็นปลิดทิ้ง

หรือบางคนก็ไปโทษว่าขี้เหล็กที่เอามาทำเป็นยาช่วยให้นอนหลับนั้นก็เหมือนกัน กินเข้าไปมากๆ จะทำให้เกิดโรคตับหรือเป็นอันตรายต่อตับ

นั่นก็เหมือนกัน เรื่องโบราณเหล่านี้อาจจะไม่มีการเขียนบอกกันไว้เป็นหลักฐาน แต่โบราณก็จะเตือนให้ทราบว่า ใบไม้ใบหญ้าทุกอย่างเป็นยาทั้งนั้น แต่คนเรามันเกิดมาจากเชื้อสายแตกต่างกัน ยาบางอย่างกินก็เป็นอันตราย บางอย่างก็ได้ผลท่านจึงบอกไว้ว่า “ลางเนื้อชอบลางยา”

หรือจะปล่อยให้เรื่องมันค่อยๆ เงียบไปตามปกติก็ได้

เมืองไทยของเราเป็นเมืองแปลก เรื่องที่ควรทำหรือเรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติจริงๆ เราจะไม่ให้ความสนใจหรือเอาจริงเอาจังกับมัน แต่เราจะพยายามคิดและเสนอแต่เรื่องโง่ๆ และเรื่องที่ไม่ได้ช่วยอะไรแก่ประเทศชาติประชาชนเท่าที่ควรจะเป็น เช่น ในตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นความกระสันของเทวดาตนใดที่มาคิดว่าการแก้ปัญหาบ้านเมือง และผู้คนที่กำลังสิ้นคิดสิ้นหวังอยู่ในประเทศชาติทุกวันนี้ เรากลับพยายามมาแก้ปัญหาที่แก้ไม่ได้ เช่น เรื่องรายการโทรทัศน์หรือเรตติ้งที่จะกำหนดให้ประชาชนเจริญก้าวหน้าไปเพราะการดูโทรทัศน์ตามเวลาที่กำหนดให้ หรือพยายามจัดการกับปัญหาละครน้ำเน่าที่ชาวบ้านบ้าคลั่งกันมาเป็นเวลานาน หรือออกกฎหมายห้ามโฆษณาเหล้าที่เขากินกันมาเป็นร้อยๆ ปี หรือห้ามไม่ให้เล่นการพนันหรือการเล่นหวยใต้ดินซึ่งความชั่วเหล่านี้ถ้ามีกฎหมายบังคับขึ้นมาจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เรามีเรื่องที่ยอมให้โทรทัศน์และสื่อต่างๆ โฆษณาหลอกลวงประชาชนและเยาวชนของชาติกินอาหารที่ทำลายสุขภาพถึงวันละ 135 ล้านบาทต่อวัน ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาเรื่อง ถึงเวลาควบคุมโฆษณาขนมเด็กหรือยัง เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏว่าผลจากการใช้โทรทัศน์และโฆษณาอย่างบ้าคลั่งของพ่อค้าประชาชนที่ใช้เด็กเป็นเหยื่อ โดยไม่ยอมกำหนดมาตรการใดๆ มาควบคุมได้ นอกจากพยายามทำให้เด็กไทย 900,000 คน ต้องอยู่ด้วยการกินอาหารและเครื่องดื่มเพื่อฆ่าตัวตายเหล่านี้กันอย่างบ้าคลั่ง

ฟังแล้วคนโบราณของเราไม่โง่กันถึงขนาดนี้เลย
กำลังโหลดความคิดเห็น