xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง! มันจะเป็นการเมืองที่หลั่งเลือด

เผยแพร่:   โดย: หมายเหตุผู้จัดการ

วันนี้ต้องยกหลักปรัชญาของปรมาจารย์คอมมิวนิสต์ใหญ่ของโลกคือประธานเหมาเจ๋อตงบทหนึ่งที่ว่า การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด และสงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด ขึ้นมาพิจารณาสถานการณ์ที่กำลังจะเป็นไปในประเทศไทยของเรา

หลักปรัชญาดังกล่าวนี้เนื้อแท้ก็คือเอกภาพของความขัดแย้งระหว่างการเมืองกับสงครามที่ถือว่าการเมืองกับสงครามนั้นเป็นเอกภาพอันเดียวกัน แต่มีอยู่สองด้าน คือด้านที่หลั่งเลือดกับด้านที่ไม่หลั่งเลือด พูดง่าย ๆ ก็คือด้านรุนแรงกับด้านสันติ

เมื่อใดก็ตามที่การต่อสู้ทางการเมืองยังอยู่ในระดับที่เป็นสันติ การต่อสู้นั้นก็เป็นการสงครามชนิดหนึ่งคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด เหตุนี้จึงถือว่าการเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด

แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่การต่อสู้ทางการเมืองไม่อาจยุติลงได้ด้วยสันติ การต่อสู้ก็จะพัฒนาไปสู่ความรุนแรง แม้ถึงขั้นใช้กำลังอาวุธ เมื่อนั้นก็ต้องหลั่งเลือด และเมื่อนั้นก็จะเป็นการเมืองที่หลั่งเลือด ซึ่งถือว่าเป็นสงคราม

เหตุนี้จึงถือว่าสงครามก็คือการเมืองที่หลั่งเลือด

ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยที่ระบอบเผด็จการทรราชได้ก่อให้เกิดขึ้นนั้น เป็นความขัดแย้งชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการเมืองของประเทศไทย

เพราะไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองด้วยกัน ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชน ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองกับกองทัพ แต่เป็นความขัดแย้งชนิดใหม่

นั่นคือความขัดแย้งของแนวคิดทางการเมืองที่ระบอบเผด็จการทรราชต้องการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชนเข้ามาแทนที่

การที่ระบอบการปกครองหนึ่งจะโค่นล้มระบอบการปกครองอีกระบอบหนึ่งจึงเป็นความขัดแย้งชนิดพิเศษที่ไม่อาจประนีประนอมได้ เพราะเป็นความขัดแย้งที่มุ่งหมายจะโค่นล้มกันทีเดียว

ซึ่งทฤษฎีว่าด้วยความขัดแย้งเรียกความขัดแย้งชนิดนี้ว่าความขัดแย้งที่เป็นปรปักษ์ คือเป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถประนีประนอมหรือสมานฉันท์กันได้ เพราะธาตุแท้หรือเนื้อตัวหลักของความขัดแย้งนั้นต้องโค่นล้มทำลายล้างกันไปข้างหนึ่ง จึงจะทำให้ความขัดแย้งนี้ยุติลงได้

เมื่อมองด้วยสายตาทฤษฎีว่าด้วยความขัดแย้ง จึงถือได้ว่าความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยเป็นความขัดแย้งที่เป็นปรปักษ์ ไม่อาจประนีประนอมสมานฉันท์กันได้

เพราะเป็นความขัดแย้งที่ต้องการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน โดยโค่นล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ความจริงและสภาพที่เป็นไปในบ้านเมืองของเราเป็นดังที่กล่าวมานี้

ดังนั้นการเสนอนโยบายสมานฉันท์ของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และเป็นนโยบายที่ไม่สามารถระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาใด ๆ ได้

มีแต่จะทำให้ความรุนแรงก่อตัวบ่มเพาะสั่งสมมากขึ้นทั้งปริมาณและในเชิงคุณภาพ

ในวันนี้ก็ได้เห็นกันแล้วว่าการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้วกลับมาดำเนินนโยบายสมานฉันท์ไม่ได้ทำให้ประเทศกลับสู่ความสงบสุขสันติอันเป็นรากฐานของการพัฒนาชาติบ้านเมืองแต่ประการใดเลย

ทุกหย่อมหญ้า ทุกชั้นชน ทุกวงการ เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความแตกแยก ซึ่งกำลังก้าวไปสู่ความแตกหักชัดเจนขึ้นทุกที

การดำเนินนโยบายสมานฉันท์ที่ผ่านมาเป็นการกดขวัญ ทำลายบทบาทและการเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพียงด้านเดียวเท่านั้น

ในขณะที่กลุ่มอำนาจเก่าที่มุ่งโค่นล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขถูกปล่อยปละละเลยให้ก่อตัว รวมตัว และก่อการเคลื่อนไหวครั้งใหม่ที่ขยายวงกว้างยิ่งขึ้นออกไปทุกที

ความจริงได้บอกเราว่าในการดำเนินนโยบายสมานฉันท์ช่วงต้น 6 เดือนแรกนั้นเป็นความเพ้อฝันและไม่เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น หรือไม่ก็ถูกหลอกลวง หรือไม่ก็ถูกอำนาจแห่งอามิสและคำข่มขู่ จึงทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งพัฒนาขยายตัวไปดังที่เป็นอยู่

อำนาจเก่าไม่ได้อยู่นิ่ง แต่ได้ก่อตัว รวมตัวกันติด แล้วก่อแนวรบทุกด้านขึ้นอย่างกว้างขวาง

ในการจัดตั้งทางการเมือง ก็ยังคงคุมลิ่วล้อทรราชทั้งปวงที่เป็นมือไม้ทางการเมือง มุ่งหมายใช้เวทีทางการเมืองฟื้นคืนอำนาจกลับมาล้มล้างการปกครองอีกครั้งหนึ่ง โดยใช้กำลังอำนาจเงินจำนวนมหาศาลเป็นตัวขับเคลื่อน และเป็นไปอย่างได้ผล

ณ วันนี้พวกผีหัวขาดเหล่านี้นอกจากไม่สำนึกบาปกรรมความชั่วที่กระทำต่อบ้านเมืองแล้ว ยังคงรวมตัวกันอยู่ และหากจัดการไม่ถูกต้องก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกนี้อาจได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด และสามารถอ้างความชอบธรรมในการเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลได้

ในการจัดตั้งมวลชนก็ได้ขยายการจัดตั้งมวลชนทั้งในเมืองหลวง ในชนบทและในต่างประเทศในชื่อและรูปแบบต่าง ๆ กัน ดังที่ปรากฏชื่อองค์กรประหลาด ๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ จนแทบจดจำไม่หวั่นไหว

แต่ไม่ต้องจดจำให้เปลืองสมอง เพราะไม่ว่าจะใช้ชื่อยี่ห้อประการใด เนื้อแท้ก็คือบริษัทบริวารของระบอบเผด็จการทรราชนั่นเอง

ด้วยอำนาจเงินมหาศาลจึงสามารถจ้างวานคนจำนวนหนึ่งที่แม้มีภาพลักษณ์ภายนอกเป็นวิญญูชน เป็นนักปราชญ์ เป็นนักวิชาการ ทำให้ธาตุแท้ของคนเหล่านั้นถูกเปิดเผยอย่างล่อนจ้อนว่าแท้จริงแล้วก็เป็นแค่สินค้าที่ค้าขายกันได้ดุจดังการค้าทาสฉะนั้น

คนพวกนี้เมื่อยอมตัวขายตนให้เงินทอง ก็มองไม่เห็นความเป็นคน เพราะได้กลายเป็นสินค้าที่ไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดี หรือความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อีกต่อไป

ไม่มีทางที่จะหวังอันใดว่าคนพวกนี้จะกลับใจหรือกลับเนื้อกลับตัว หรือสำนึกผิดบาปใด ๆ

ในการจัดตั้งขุมกำลังในวงราชการประจำ ก็ยังสามารถดำรงเครือข่ายโยงใยเอาไว้ค่อนข้างจะเหนียวแน่น โดยอาศัยข้อตกลงลับและความหน่อมแน้มเฉื่อยชาล้าหลังของรัฐบาลเต่าเป็นปัจจัยเกื้อหนุน

ในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมาและในกรรมการรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานจำนวนมาก เครือข่ายลิ่วล้อทรราชก็ยังดำรงตำแหน่งอยู่อย่างสุขสบาย และยังสามารถผลักดันงบประมาณดำเนินการที่เอื้อประโยชน์ให้พวกตนได้ดังเดิม

ในการแต่งตั้งโยกย้ายในเดือนกันยายน ปีนี้ เครือข่ายลิ่วล้อทรราชก็กำลังเตรียมการกันอย่างคึกคักที่จะรักษากำลังของพวกตนไว้ และผลักดันเครือข่ายของพวกตนให้มีตำแหน่งแหล่งที่ มีอำนาจวาสนามากกว่าเดิม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับการคืนชีพของเผด็จการทรราชในอนาคต

ในการจัดตั้งสื่อมวลชนก็ขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง โทรทัศน์ฟรีทีวีเกือบทั้งหมดถูกซื้อหาเข้ามาสังกัดในเครือข่าย คอลัมน์นิสต์และหนังสือพิมพ์จำนวนมากก็ถูกซื้อหาเข้ามาสังกัดในเครือข่าย

มีสมรรถนะถึงขนาดที่ใช้สอยให้ผู้คนในสำนักงานเลขานุการกองทัพบกกระทำการหยาบช้าตบหน้าคณะทหารของกองทัพไทยได้อย่างหน้าตาเฉยให้เห็นกันอยู่ในขณะนี้แล้ว

มีการจัดตั้งเว็บไซต์หลายสิบเว็บไซต์เพื่อกล่าวร้ายป้ายสีโจมตีรัฐบาล คมช. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์

มีการจัดตั้งนักรบสื่ออิเล็คโทรนิคส์เพื่อเข้าโจมตีทั้งระบบและเนื้อหาตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ดังตัวอย่างการเข้าโจมตีเว็บไซต์ของกระทรวงไอซีทีให้หน้าแตกกันมาแล้ว เป็นต้น

มีการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทั้งในสหรัฐและฮ่องกงเพื่อเตรียมเข้าครอบงำหรือเข้าแทรกการรับสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทั่วทุกหนทุกแห่งในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้

แนวรบสื่อที่คึกคักอย่างยิ่งนี้คือสัญญาณหมายว่าการเคลื่อนพลใหญ่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว

สภาพเช่นนี้ไม่มีทางที่จะสงบสุขสันติได้ มีแต่จะกลายเป็นความขัดแย้งที่แตกหักถึงขั้นนองเลือดในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้แล้ว มันกำลังจะพัฒนาเป็นการเมืองที่หลั่งเลือด

มันเกิดขึ้นด้วยความหลงผิดและด้วยการดำเนินนโยบายสมานฉันท์

การเร่งกำหนดการเลือกตั้งก็คือการเร่งกำหนดวันนองเลือดให้มาถึงเร็วขึ้น ซึ่งต้องจับตาติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะที่ปล่อยให้อำนาจเก่ากำเริบเสิบสานฮึกเหิมลำพองก่อการใหญ่โตและกว้างขวางได้ถึงเพียงนี้

ได้แต่หวังว่าจะสำนึกและตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีแล้วเร่งรีบจัดการแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง ประการนี้เท่านั้นที่จะหยุดยั้งการพัฒนาไปสู่การหลั่งเลือดได้.

กำลังโหลดความคิดเห็น