xs
xsm
sm
md
lg

คืนนั้นที่ ‘สนามหลวง’ กับ จักรภพ เพ็ญแข

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


.
หัวค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2550 ... วันเดียวกับที่ 9 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ถูกควบคุมตัวไปคุมขังไว้ที่สถานีตำรวจสามเสน ผมถือโอกาสใช้เวลาก่อนเวลาอาหารเย็น เดินเล่นโดยมุ่งหน้าไปยังท้องสนามหลวง

ท้องสนามหลวงช่วงปลายเดือนกรกฎาคมคึกคักไม่น้อย ที่ซุ้มงานอาสาฬหบูชาธรรมยาตราคุ้มครองโลกผู้คนดูบางตา แต่รถเข็นอาหารและแผงขายของเบ็ดเตล็ดดูจะคึกคักไม่น้อยจากผู้คนที่เดินทางมาร่วมกับเวทีม็อบไล่ คมช. (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ที่เปิดเวทีในแนวขวางหลังพิงอยู่กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หน้าเผชิญกับแม่พระธรณีบีบมวยผม

ช่วงกลางฤดูฝนอย่างนี้ พื้นดินของสนามหลวงเฉอะแฉะและแหลกเละไปด้วยโคลนเลนที่เกิดจากน้ำฝนที่ขยันตกอย่างสม่ำเสมอแทบจะทุกเย็น สร้างความลำบากอย่างยิ่งให้กับบรรดา “ม็อบไข่แม้ว” หลายพันคนที่บ้างนั่ง บ้างยืนฟังคำปราศรัยจากแกนนำ นปก. ที่พยายามปลุกเร้าผู้คนให้ร่วมกันเดินทางไปยัง สน.สามเสน เพื่อกดดันตำรวจให้ปล่อยตัวแกนนำทั้งเก้า

ผมเดินตัดเข้าไปกลางสนามหลวง เลาะกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่ทางซ้าย ร้านอาหารและรถเข็นขายเครื่องดื่มที่อยู่ทางขวา แอบฟังบทสนทนาของหมู่คนที่ยืนเกาะกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินการของตำรวจและคำสั่งศาลที่อนุมัติให้ฝากขัง 9 แกนนำที่สถานีตำรวจได้ 2 วัน ก่อนจะให้นำตัวกลับมาที่ศาลเพื่อพิจารณาการฝากขังในเรือนจำต่ออีก 10 วัน

“อย่างนี้มันยอมไม่ได้แล้วนะเว้ย แม่งหลอกกันชัดๆ!” เสียงอาเฮียคนหนึ่งพยายามปลุกระดมวัยรุ่นเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ กลุ่มย่อยๆ ราว 14-15 คน

ผมเดินเอื่อยๆ ต่อมายังแผงจำหน่ายหนังสือ วีซีดีการปราศรัย ซีดีเพลง ซึ่งพ่วงเอาการแจกใบปลิวและแจกวีซีดี (ตัดต่อ) เหตุการณ์จลาจลในคืนวันที่ 22 กรกฎาคมเข้าไปด้วย

หลังจากรับใบปลิวโจมตี คมช.และตำรวจ จากการใช้กำลังเข้าสลายม็อบในคืนวันที่ 22 ก.ค. ผมเหลือบไปเห็นนิตยสาร 4-5 ปกที่วางขายกันอยู่เป็นตั้งๆ ปะราคาไว้ที่เล่มละ 40 บาท

หนังสือ “มหาประชาชน สุดสัปดาห์ (Great People’s Magazine)” เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ขนาดรูปเล่มเท่าๆ กับ เนชั่นฯ, มติชน, สยามรัฐสุดสัปดาห์ที่วางขายกันอยู่ทั่วไปตามแผง ที่ใต้หัวหนังสือเขียนกำกับไว้ด้วยว่า “สื่อเพื่อต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ”

เมื่อพลิกเข้ามาดูเนื้อใน นิตยสารเล่มนี้มีบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณา คือ อภิวัตน์ จ่าตา, กองบรรณาธิการตั้งอยู่ที่อาคารอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว (เชื่อว่าน่าจะเป็นที่เดียวกันกับที่ทำการของพีทีวี) ขณะที่ผู้อำนวยการนั้นเป็นคนที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้วนั่นคือ จักรภพ เพ็ญแข หนึ่งแกนนำ นปก. ที่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ถูกคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมกับพรรรคพวกอีก 7 คน

ในฐานะของ ผอ.หนังสือ คุณจักรภพ ดูเหมือนว่าจะทุ่มเทให้กับการทำหนังสือเล่มนี้มาก เพราะนอกจากจะเป็นผู้บริหารเงินทุนเพื่อมาทำหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์พิมพ์สี่สี หนาเกือบร้อยหน้า, ผู้จัดการวางแผนด้านเนื้อหาแล้ว คุณจักรภพยังกระโดดมาเขียนคอลัมน์เองเสียหลายชิ้น

หลังพลิกหนังสือไปมาสักพัก ผมก็ไปสะดุดตาเข้ากับบทความชิ้นหนึ่งของคุณจักรภพที่ใช้ชื่อว่า “ลุ่มหลงเลือกตั้ง” ซึ่งมีเนื้อหาในตอนหนึ่งว่า

“ถ้าจะให้จินตนาการภาพการเลือกตั้งในเวลานี้ สงสัยจะมีคนประดิษฐ์ออกมาเป็นภาพเทวดานางฟ้าเป็นหมู่ๆ ออกมารณรงค์หาเสียงเลือกตั้งแบบมีไฟพวยพุ่งตามหลัง มีกลิ่นบุปผาหอมไปทั้งปริมณฑล ประชาชนแต่งกายประณีตงดงาม ใบหน้ายิ้มแย้ม มีกิริยาของคนอิ่มบุญ ส่งสัญญาณว่าบัดนี้ความทุกข์เทวษทั้งหลายได้หมดสิ้นไปจากบ้านเมืองแล้ว และจากนี้ไปราชอาณาจักรไทยจะมีแต่ความสมานฉันท์กลมเกลียวกันเท่านั้น หาได้ขัดแย้งแตกร้าวแม้แต่เพียงน้อยนิดไม่”

“เพราะวาดหวังกันไว้เสียจนเกินเลยว่า การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นภายใต้อำนาจทหารหรือระบอบ คมช. จะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ถึงขนาดนั้น ...”

อดีตนักเรียนนอก ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ นักสื่อสารมวลชนเลือดใหม่ นักการเมืองอนาคตไกล ผู้ซึ่งวันนี้ต้องกลายสภาพมาเป็นหนึ่งในหัวโจกของ “ม็อบไข่แม้ว” พยายามโน้มน้าวผู้อ่านต่อว่า ผลจากการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2550 นั้นเป็น “ประชาธิปไตยแบบไร้สติ” เนื่องจากกระบวนการทั้งหมดนั้นตกอยู่ภายใต้การครอบงำและกลไกควบคุมของ คมช. และรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร

ดังนั้นจึงสามารถสรุปเอาได้ง่ายๆ แบบ 1+1 ว่า ในเมื่อรัฐธรรมนูญ 2550 ถูกร่างขึ้นในยุคที่รัฐบาลที่แต่งตั้งมาจากคณะรัฐประหาร ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสภาฯ ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าจึงต้องเป็น “โจร” เป็น “ลูกสมุนทหาร” กันไปหมด

ทั้งนี้เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว การเลือกตั้งจึงไม่ใช่การระบายความใคร่ทางการเมืองของใคร!

บทความชิ้นนี้ของคุณจักรภพ เขียนได้ดี ดีจนทำเอาผมต้องอมยิ้มออกมาเพราะโดยบริบท โดยองค์รวมของมันแล้วเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเอาไปตีพิมพ์ หรือไปเผยแพร่ในสื่อสาธารณะโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนวันที่ 2 เมษายน 2549!

หากความจำยังไม่เสื่อม คุณจักรภพหรือที่ในช่วงหลังหลายคนเรียกตั้งชื่อเล่นให้เธอว่า “คุณเพ็ญ” คงจำได้ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายเหนือหัวของคุณจักรภพก็เคยใช้ “การเลือกตั้ง” มาเป็นเครื่องมือเพื่อระบายความใคร่ทางการเมืองและผลประโยชน์ของตัวเองมาก่อนเช่นกัน

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ในช่วงที่ถูกกระแสประชาชนและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวกดดันอย่างหนักในเรื่องการคอร์รัปชัน ฉ้อราษฎร์บังหลวง การประพฤติผิดทางจริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายหุ้นชินคอร์ปจำนวน 73,300 ล้านบาทให้กับเครือเทมาเส็กของสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษีของครอบครัวชินวัตรและดามาพงษ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ประกาศยุบสภาฯ เสียดื้อๆ ก่อนหน้าการเปิดอภิปรายของรัฐสภาในวันที่ 6 มีนาคมเพียงไม่กี่วัน ทั้งนี้คุณทักษิณยังส่งสัญญาณให้กับองค์กรอิสระคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ตกอยู่ภายใต้การบงการของตนให้รีบประกาศให้มีการเลือกตั้งภายใน 37 วัน หรือในวันที่ 2 เมษายน 2549 อีกด้วย โดยอ้างว่าการเลือกตั้งจะสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองได้ดีที่สุด

เวลานั้นประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน ปัญญาชน นักการเมืองหลายฝ่าย ต่างก็ออกมาคัดค้านการเลือกตั้ง 2 เมษายน คล้ายๆ กับที่คุณจักรภพ ออกมาคัดค้านการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ แต่คุณทักษิณก็ยังคงดื้อดึงผลักดันให้มีการเลือกตั้งต่อไปแม้จะไม่มีพรรคการเมืองหลักใดๆ ส่งคนลงสนามเลือกตั้งแข่งกับพรรคไทยรักไทยเลยแม้แต่พรรคเดียวก็ตาม

สุดท้าย “การเลือกตั้ง” 2 เมษายน เพื่อระบายความใคร่ส่วนบุคคลของคุณทักษิณ ก็ทำให้ประเทศชาติสูญเสียเงินไปมากกว่า 2,000 ล้านบาท เพราะในเวลาต่อมามีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญระบุให้การเลือกตั้งครั้งดังกล่าวเป็นโมฆะ ส่วนคณะกรรมการ กกต. ผู้จัดการเลือกตั้งก็ต้องเดินคอตกเข้าคุกไป

ถามคุณเพ็ญต่อว่า ไม่ใช่เพราะการยุบสภาเพื่อระบายความใคร่ของคุณทักษิณครั้งนั้นหรอกหรือ ที่นำมาสู่การเลือกตั้งอัปยศ 2 เมษายน และความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศจนถึงทุกวันนี้? ไม่ใช่เพราะความโลภของคุณทักษิณและครอบครัวหรอกหรือที่ทำให้ประเทศชาติและประชาชนต้องตกอยู่ภายใต้วิกฤตครั้งใหญ่หลวงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์?

หลังจากเดินลุยเลนรอบสนามหลวงได้ครบรอบพอดี ผมเดินออกมารอรถตุ๊กตุ๊กบริเวณฟุตบาทริมถนนด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อไปหาอาหารรองท้องบริเวณเสาชิงช้า

ที่นั่น ... มีเด็กสาวสามคนกำลังยืนเกาะกลุ่ม ทุกคนแต่งหน้าทาปากสีจัด ใส่เสื้อยืดรัดรูป กางเกงขาสั้น รองเท้าส้นสูง ยืนเท้าสะเอวเหมือนกำลังรอใครอยู่ ระหว่างรอโบกรถผมตัดสินใจเดินเข้าไปยื่น “หนังสือมหาประชาชน” ที่เพิ่งควักกระเป๋าซื้อมาให้กับพวกเธอ โดยหวังว่าอีกไม่กี่นานนัก พวกเธอจะได้ใช้ประโยชน์จากมันบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ในการบังฝนจากเมฆที่กำลังตั้งเค้าครึ้มอยู่เหนือศีรษะ ...
กำลังโหลดความคิดเห็น