xs
xsm
sm
md
lg

แปลงโฉมอาหารทะเลแห้งโกอินเตอร์บทพิสูจน์เอสเอ็มอีปรับตัวเพื่ออยู่รอด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ปัญหาสำคัญของผู้ส่งออกไทยเวลานี้ อยู่ที่ค่าเงินบาทแข็งตัวต่อเนื่อง การกระตุ้นให้ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ จึงมีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง โดยหนึ่งในเอสเอ็มอีที่ได้เริ่มปรับตัวเองแล้ว คือ บริษัท พี.เอ็น.มารีน ฟู้ดส์ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตอาหารทะลแห้ง ใน อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ที่มุ่งจะส่งออกภายใต้แบรนด์ตัวเอง ไม่พึ่งรับจ้างผลิตจากต่างชาติ อีกทั้ง พัฒนาสินค้าเพิ่มมูลค่า เปิดทางสู่ตลาดใหม่ที่ยั่งยืนมากกว่า

บริษัทดังกล่าวเป็นของ “พงษ์ศักดิ์ และนุศรา ถาวรทวีวงศ์” สร้างตัวมาจากการขายปลาเค็ม ตั้งแต่เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ก่อนจะค่อยๆ เติบโตจนเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแปรรูป อบแห้ง และรมควัน ยอดขายหลายล้านบาทต่อปี

พงษ์ศักดิ์ ขยายความให้ฟังว่า จุดที่ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด เกิดจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ได้ปรับตัวสู่ตลาดส่งออก จากเดิมที่ส่งขายตามตลาดนัดต่างๆ ทั่วไป ในแบบอาหารทะเลแห้ง มีรายได้ต่อปีประมาณ 10 ล้านบาท แต่หลังจากที่พัฒนาโรงงานให้ได้มาตรฐานสากล พร้อมๆ กับสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง ภายใต้ชื่อ “พี.เอ็น.มารีน” และ “ไอ โอ ฟิช” ช่วยให้สามารถส่งออกไปต่างประเทศได้เมื่อปี 2542 ทำให้รายได้เพิ่มมากขึ้นกว่า10 เท่าตัว

ขณะที่การแปรรูปสินค้าเป็นอีกจุดหนึ่งในการเปิดตลาดหาลูกค้าใหม่ นุศรา เล่าในส่วนนี้ให้ฟังว่า เวลานั้น แม้ธุรกิจไปได้ดี แต่ก็ต้องการจะพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น และแข่งขันกับคู่แข่งต่างชาติได้ดียิ่งขึ้น จึงเข้าไปปรึกษากับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้คำแนะนำมาว่า ให้ลองสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบที่อยู่รอบๆ ตัวที่อาจมองข้ามคุณค่าไป โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยงลงทุนกับเครื่องจักรราคาแพง

“หลังได้คำแนะนำ ดิฉันเลยมาคิดถึงการจับของเล็กๆ น้อยๆ แล้วมาเพิ่มเติมไอเดีย เก็บข้อดีของโรงงานรายอื่นๆ มาประยุกต์เป็นแนวทางของเราเอง โดยนำปลาตัวเล็กๆ ที่ผู้บริโภคไม่นิยมกิน แต่จริงๆ เป็นปลาที่อร่อย และมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก ถ้าจะขายแบบเป็นตัว ตลาดก็คงไม่ดี เราก็นำปลาเล็กๆ พวกนี้มาแปรรูปเป็นอาหารทะเลพร้อมบริโภค เช่น ปลากรอบ ปลาหมึกกรอบ กุ้งกรอบ ปลาทุบ ปลาหยอง ข้าวเกรียบ ฯลฯ” นุศรา กล่าว

สำหรับตลาดในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะส่งออกภายใต้แบรนด์ตัวเองกว่า 80% มีตลาดสำคัญ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส รัสเซีย เป็นต้น ซึ่งกลุ่มผู้ซื้อ คือ ชาวเอเชียที่อพยพเข้าไปทำงานในประเทศเหล่านั้น ส่วนตลาดในประเทศ จะส่งตามแหล่งซื้อของฝาก เช่น ตลาดหนองมน จ.ชลบุรี ซึ่งของฝากกว่า 30% รับไปจากโรงงานที่นี่

สินค้าของบริษัทฯแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มอาหารทะเลอบแห้งและรมควัน เช่น ปลาเค็ม ปลาหมึกแห้ง ฯลฯ มียอดขายประมาณ 130 ล้านบาทต่อปี 2.กลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น ปลาผง เครื่องปรุงต่างๆ ยอดขายประมาณ 20 ล้านบาทต่อปี และ 3.กลุ่มอาหารสำเร็จรูป ยอดขายประมาณกว่า 6 ล้านบาทต่อปี

จากยอดขายเห็นได้ว่า ปัจจุบันกลุ่มอาหารสำเร็จรูปจะทำรายได้น้อยที่สุด แต่ทั้งสองเชื่อว่า สินค้ากลุ่มนี้จะเป็นตลาดหลักในอนาคต สามารถแข่งขันในโลกการค้ายุคใหม่ ที่วัดกันเรื่องลดต้นทุน ควบคู่กับสร้างมูลค่า และสร้างมาตรฐานให้สินค้า แม้จะมีปัจจัยภายนอกต่างๆ มากระทบ เช่นล่าสุด เรื่องเงินบาทแข็ง ก็เชื่อว่า จะพาธุรกิจอยู่รอดไปได้

ด้วยแนวคิดดังกล่าว จึงตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานใหม่ มูลค่ากว่า 80 ล้านบาท เพื่อทำกลุ่มอาหารสำเร็จรูปโดยเฉพาะ ซึ่งโรงงานดังกล่าว มีมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมสูงสุดครบถ้วน เช่น GMP , HACCP และฮาลาล เป็นต้น รวมถึง สร้างห้องแลปไว้วิจัยและพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะตลาดอียูที่มีมาตรฐานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี

พงษ์ศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า การหันมาเน้นตลาดอาหารสำเร็จรูป เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกในการกิน อีกทั้ง เป็นตลาดที่ไม่มีคู่แข่งโดยตรง เนื่องจากสินค้าแปรรูปจากทะเลลักษณะนี้ จะมีทำเฉพาะกลุ่มแม่บ้านอย่างโอทอปเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีผู้ผลิตระดับเอสเอ็มอีที่ผลิตได้มาตรฐานสากล และมีแบรนด์เป็นของตัวเองมาจับตลาดนี้เลย ส่วนบริษัทรายใหญ่ก็ไม่สามารถลงมาเน้นตลาดนี้ได้ เนื่องจากในกระบวนการผลิตส่วนใหญ่เป็นงานมือต้องอาศัยแรงงานคน การผลิตด้วยเครื่องจักรแบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่สามารถทำได้

โทร.08-1857-1156, 0-3442-4128-9 www.pnmarine.com
กำลังโหลดความคิดเห็น