xs
xsm
sm
md
lg

คนแม่เมาะจี้เรียงตัว-หาคนรับผิดชอบทำฟอสซิลหอยขมฯพัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวภาคเหนือ – “คนแม่เมาะ/เครือข่ายนักอนุรักษ์”ไล่จี้เรียงตัว หาผู้รับผิดชอบสุสานหอยขมฯ 13 ล้านปีในเหมืองแม่เมาะเสียหาย จากเดิมที่พบ 43 ไร่เหลือแค่ 18 ไร่ หลังศาลปกครองกลางสั่งอนุรักษ์-เพิกถอนประทานบัตรเหมืองถ่านหินแม่เมาะ พร้อมย้อนรอยมติ ครม.ยุค “แม้ว” สั่งลดพื้นที่อนุรักษ์

รายงานข่าวจากกลุ่มอนุรักษ์ฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง แจ้งว่า วันนี้ (31 ก.ค.) กลุ่มอนุรักษ์ฯ และเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะทำเรื่องถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการก่อให้เกิดผลกระทบต่อฟอสซิลหอยขมฯ ที่มีอายุกว่า 13 ล้านปี ตามมติที่ประชุมของกลุ่มเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2550

1.เรียกร้องให้ผู้ถูกฟ้องทั้งหมดในคดีที่นายเฉลียว ทิสาระ ชาวบ้าน อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง กับพวกรวม 18 คนยื่นฟ้อง ครม. รมว.อุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานเหมืองแร่ และกฟผ. เพื่ออนุรักษ์ซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ 13 ล้านปี ในเหมืองถ่านหินแม่เมาะ ยุติการอุทธรณ์ หลังจากศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาออกมาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2550

2.รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐบาลที่ถูกคำสั่งศาลให้ยกเลิกมติ ครม. 21 ธันวาคม 2547 เกี่ยวกับเรื่องนี้ แสดงความรับผิดชอบด้วยการเป็นเจ้าภาพในการฟื้นฟูโบราณสถานซากฟอสซิลหอยขมฯ โดยให้มีการอนุรักษ์เป็นประเพณีแห่งชาติ พร้อมจัดให้มีการทำพิธีขอขมาซากฟอสซิลหอยขมฯ ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์รวมของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ภายในเดือนสิงหาคม 2550 และพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ศึกษาของมนุษยชาติต่อไป

3.ให้รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เพิกถอนประทานบัตรเลขที่ 2349/16341 ตามคำสั่งศาลปกครองกลาง พร้อมทั้งตรวจสอบประทานบัตรของกฟผ.ทั้งหมด เพื่อตรวจสอบว่า กฟผ.ดำเนินการตามเงื่อนไขประทานบัตรครบถ้วนหรือไม่

4.ให้ผู้บริหาร กฟผ. และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง รัฐมนตรี – อธิบดีที่เกี่ยวข้อง แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกทั้งหมด เพราะกลุ่มบุคคลดังกล่าวทำหน้าที่โดยขาดจิตสำนึกต่อการรักษาสมบัติของคนไทยทั้งชาติ

5.ให้มีการจัดตั้งมูลนิธิคุ้มครองซากฟอสซิลหอยขมฯ ด้วยการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมจากองค์กรภาคประชาชน – องค์กรอิสระ เพื่อติดตามเฝ้าระวังดูแลไม่ให้มีการทำลาย หรือสร้างความเสียหายให้แก่ซากฟอสซิลหอยขมฯ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นเจ้าภาพในการสนับสนุนงบประมาณ และให้ กฟผ.ชดเชยค่าเสียหายที่ได้ทำการเปิดหน้าดินทำลายซากฟอสซิลหอยขมฯ จาก 43 ไร่เหลือเพียง 18 ไร่

และ 6.ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง ที่มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2550 อย่างเคร่งครัด
นางมะลิวรรณ นาควิโรจน์ เลขาธิการเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ 1 ในผู้ฟ้องคดี เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวถือเป็นบรรทัดฐานสำหรับภาคประชาชนที่จะหยิบยกขึ้นมาต่อสู้กับ กฟผ.โดยเฉพาะในกรณีเหมืองแม่เมาะต่อไป ซึ่งยังคงมีอีกหลายคดีที่เครือข่ายฯได้ยื่นฟ้อง กฟผ. เช่น กรณีการเปิดเหมืองเฟส 5 ของเหมืองแม่เมาะ ที่พวกตนได้ยื่นฟ้องในลักษณะเดียวกันก็คือ การกระทำผิดเงื่อนไขประทานบัตร คาดว่าจะมีการตัดสินในช่วงปลายปีนี้เช่นกัน

สำหรับคดีอนุรักษ์ซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ 13 ล้านปีนี้ นายเฉลียว ทิสาระ ชาวบ้าน อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง และพวกรวม 18 คน ได้ยื่นฟ้อง ครม. รมว.อุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานเหมืองแร่ และ กฟผ. ต่อศาลปกครองกลางตามคดีหมายเลขดำที่ 459/2548 กระทั่งเมื่อ 26 กรกฎาคม 2550 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติ ครม.วันที่ 21 ธันวาคม 2547 ที่กำหนดพื้นที่แหล่งหอยขมดึกดำบรรพ์แม่เมาะ เป็นพื้นที่อนุรักษ์ 52 ไร่ โดยคิดพื้นที่แหล่งหอยขมดึกดำบรรพ์แค่ 18 ไร่ รวมกับพื้นที่อื่นๆ อีก 34 ไร่ และมติอื่นๆ ที่เป็นคำสั่งของ รมว.อุตสาหกรรม ที่เกี่ยวกับการจัดการซากหอยขมดึกดำบรรพ์

พร้อมทั้งให้รมว.อุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานเหมืองแร่ ควบคุมสั่งการให้ กฟผ.แก้ไขผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และให้ทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ )ในพื้นที่ประทานบัตรเลขที่ 2349/16341 เพื่อสงวนรักษาไว้ซึ่งซากหอยขมดึกดำบรรพ์ ตามพ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 ให้ กฟผ.จัดทำสิ่งป้องกันมิให้เกิดการพังทลายของซากฟอสซิลอันเกิดจากการทำเหมืองถ่านหินลิกไนต์ และภัยธรรมชาติ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานเหมืองแร่เพิกถอนประทานบัตรบริเวณพื้นที่แหล่งซากดึกดำบรรพ์ทั้งหมด 43 ไร่ หรือตามเนื้อที่ที่มีการสำรวจพบทั้งหมด ตามประทานบัตรเลขที่ 24349/16341 ภายใน 30 วัน

และให้ครม.สั่งการให้กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนแหล่งซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์เป็นเขตโบราณสถาน โดยให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันคดีสิ้นสุด

ทั้งนี้หลังจากที่มีการขุดพบซากฟอสซิลหอยขมดึกดำบรรพ์ 13 ล้านปีดังกล่าว กฟผ.ได้ตรวจสอบและแจ้งต่อ ครม. ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ที่ต่อมาได้มีการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการอนุรักษ์พัฒนาพื้นที่ดังกล่าวนี้ ที่จากการตรวจสอบพบว่า เป็นชั้นฟอสซิลหอยขม ที่มีความหนาที่สุดในโลก 12 เมตร

กฟผ.เคยเสนอแนวทางอนุรักษ์ไว้ 2 แนวทาง คือ 1.อนุรักษ์พื้นที่ซากฟอสซิลหอยขมฯไว้ 18 ไร่ โดยทำให้ไม่สามารถขุดถ่านหินลิกไนต์ขึ้นมาใช้ได้บางส่วน หรือ 2.อนุรักษ์พื้นที่ซากฟอสซิลหอยขมฯไว้ทั้งหมด 43 ไร่ โดยที่จะไม่สามารถขุดเอาถ่านหินลิกไนต์ ที่สำรวจพบในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 265 ล้านตันขึ้นมาใช้ได้เลย

ขณะนั้น คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบแนวทางที่ 2 ที่จะให้อนุรักษ์พื้นที่ไว้ทั้งหมด ภายใต้แนวคิดว่า แหล่งฟอสซิลหอยขมฯนี้เป็นมรดกโลกที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ และแนวคิดนี้ก็ได้รับความเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547
ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น กลับสั่งการให้มีการทำการศึกษาเพิ่มเติม ตามที่มีผู้เสนอแนะว่าการอนุรักษ์พื้นที่ไว้ทั้ง 43 ไร่ จะส่งผลกระทบสูงต่อการดำเนินงานของ กฟผ. ผนวกกับการที่ผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ตรวจสอบพบว่า พื้นที่ฟอสซิลหอยขมฯ ไม่เข้าข่ายการเป็นมรดกโลก

แนวทางการอนุรักษ์พื้นที่ไว้เพียง 18 ไร่ จึงถูกเลือก โดย กฟผ.ได้ทำเรื่องเสนอขอให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเดิมทันที จนในที่สุดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแนวทางการอนุรักษ์พื้นที่ฟอสซิลหอยขมฯไว้ 18 ไร่ พร้อมกับการกันพื้นที่อีกส่วนหนึ่งเพิ่มเติมรวมเป็น 52 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งและพิพิธภัณฑ์ถาวร โดยที่พื้นที่อนุรักษ์จะแยกออกจากพื้นที่ทำเหมืองอย่างชัดเจน

พร้อม ๆ กันนั้น กฟผ.ก็พยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า สาเหตุที่ต้องอนุรักษ์ไว้เพียง 18 ไร่ เพราะถ้าหากต้องอนุรักษ์พื้นที่ไว้ทั้งหมด 43 ไร่ จะทำให้ไม่สามารถขุดถ่านหินที่สำรวจพบในบริเวณดังกล่าว จำนวน 265 ล้านตัน มูลค่า 132,500 ล้านบาท ขึ้นมาใช้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้ อันจะส่งผลกระทบทำให้อายุของเหมืองและโรงไฟฟ้าแม่เมาะลดลงกว่าเดิม 26 ปี อันจะเป็นผลให้จังหวัดลำปางขาดเงินหมุนเวียนจาก กฟผ.แม่เมาะไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท

แต่ถ้าอนุรักษ์ไว้ 18 ไร่ จะทำให้ไม่สามารถขุดถ่านหินจำนวน 400,000 ตัน มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถยอมรับได้ เพราะสามารถขุดถ่านหินขึ้นมาใช้ได้ พร้อมกับที่ยังสามารถอนุรักษ์สุสานหอยขมฯไว้ได้ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น