xs
xsm
sm
md
lg

ข่มคนชั่วยกย่องคนดีภารกิจของสังคม

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

.
“นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ” แปลโดยใจความว่า “ข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง” นี่คือพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ และนำไปปฏิบัติเพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบ และในขณะเดียวกันเป็นการกำหนดแนวทางการปกครองโดยอาศัยธรรมควบคู่ไปกับกฎหมายของบ้านเมือง ด้วยมาตรการทางสังคมให้ลงโทษคนชั่ว โดยการดูถูกเหยียบหยามประณามในสิ่งที่คนชั่วกระทำ และยกย่องคนดีโดยการให้เกียรติ เพื่อเป็นแบบอย่างจูงใจให้ทำดียิ่งๆ ขึ้น ทั้งเป็นการชี้ชวนให้ผู้คนในสังคมถือเป็นแบบอย่างด้วย

โดยนัยแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าดังกล่าวข้างต้น บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าให้ผู้คนในสังคมคบคนดี และหลีกหนีคนชั่ว ทั้งนี้ก็เพื่อให้สังคมโดยรวมมีความสงบสุขนั่นเอง

แต่วันนี้ เวลานี้สังคมไทยซึ่งผู้คนในสังคมส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา และที่สำคัญชาวพุทธส่วนหนึ่งกำลังออกมาเรียกร้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติด้วยซ้ำไป กำลังเป็นอยู่และเป็นไปในทิศทางที่เกือบเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกับคำสอนดังกล่าวข้างต้น ดังจะเห็นได้จากการที่คนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ต่อต้านเผด็จการได้ออกมาเดินขบวนเรียกร้องการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พร้อมๆ กับออกมาด่าทอ คมช. จนเลยเถิดไปถึงการจาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อันเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนเป็นอันมากในบ้านเมือง ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลที่ได้กระทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติมาตลอดจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะในฐานะเป็นทหารที่ผ่านตำแหน่งสำคัญๆ ของกองทัพ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตำแหน่งประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จึงไม่ควรที่จะมีผู้ใดก้าวล่วงโดยการด่าทอด้วยวาจาอันหยาบคายเฉกเช่นแกนนำ นปก. ได้กระทำไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยก็ใช่ว่าจะสิ้นผู้คนที่มองเห็นคนที่น่าเคารพนับถือเป็นปูชนียบุคคลอย่าง พล.อ.เปรม ตรงกันข้ามเมื่อข่าวการที่ นปก. ไปด่าทอป๋าเปรมก็ได้มีผู้คนมากมายออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และบางราย เช่น นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นต้น ได้ออกอาการไม่พอใจถึงกับเปรยออกมาว่านายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข เป็นใครที่ออกมากล่าววาจาจาบจ้วงคนดีมีพระคุณต่อประเทศชาติอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นต้น

จากพฤติกรรมที่กลุ่ม นปก. แสดงออกมา แสดงให้เห็นชัดเจนว่าสังคมไทยวันนี้เสื่อมถอยจากคุณธรรมอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้ยกย่องคนดีควรค่าแก่การยกย่องไปแล้วส่วนหนึ่ง มิฉะนั้นแล้วจะมีคนอย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข ออกมาด่าทอบุคคลที่มีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายวีระ มุสิกพงศ์ ถ้ามองจากปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ในอดีตนายวีระก็ถือได้ว่าเป็นลูกป๋าคนหนึ่งที่มีความใกล้ชิดและให้ความเคารพนับถือป๋ามาอย่างน้อยระยะหนึ่งในอดีต ทั้งนายวีระก็ได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลจาก พล.อ.เปรม มาในสมัยที่เป็นนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ถึงขนาดตั้งให้เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล

2. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้ที่คนภาคใต้ให้ความเคารพนับถือในฐานะเป็นชาวใต้ที่ทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติ จึงควรอย่างยิ่งที่นายวีระในฐานะคนใต้ด้วยกันจะให้ความเคารพนับถือเยี่ยงคนใต้ทั้งหลาย

3. ถึงแม้ในระยะหลังๆ นายวีระได้ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ และมาอยู่กับพรรคไทยรักไทยอันเป็นพรรคคู่แข่งทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความรัก ความเคารพมาเป็นความเกลียดชัง ถึงกับออกมาด่าทอ และเรียกร้องให้ลาออกจากประธานองคมนตรีอันเป็นการกระทำที่สวนทางกับผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยในขณะนี้

อะไรคือมูลเหตุแห่งการคัดค้านเผด็จการ ถึงกับพาลไปด่าทอประธานองคมนตรี และเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร?

เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นสิ่งที่น่าจะเชื่อได้ว่าเป็นมูลเหตุให้คนกลุ่มนี้ออกมาแสดงพฤติกรรมต่อต้าน คมช.และพูดพาดพิงถึงประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษด้วยถ้อยคำรุนแรง ชนิดคนที่มีความรับผิดชอบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองฟังแล้วแทบหมดความอดทนไว้ได้นั้น คือเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ความจงรักภักดีต่อพรรคไทยรักไทยในฐานะเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย หรือมิได้เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย แต่เป็นแนวร่วมทางการเมืองกับพรรคไทยรักไทย

ดังนั้นเมื่อพรรคนี้ถูกยุบ และกรรมการบริหารพรรค 111 คนได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จึงเกิดความโกรธแค้นและออกมาแสดงพฤติกรรมคัดค้าน คมช. และก้าวเลยไปถึงผู้ที่พวกเขาคิดว่าจะอยู่เบื้องหลังในการโค่นล้มรัฐบาลที่พรรคนี้เป็นอยู่ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

2. การคัดค้าน คมช. และรัฐบาลที่คณะปฏิรูปฯ ตั้งขึ้นของคนกลุ่มนี้เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับจากที่ตุลาการรัฐธรรมนูญได้พิพากษาให้ยุบพรรค และที่รุนแรงถึงขั้นด่าทอประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอย่างชัดแจ้งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสังเกตให้ดีแล้วจะเห็นว่าได้เริ่มขึ้นหลังจากที่ คตส. เริ่มอายัดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรีและบริวาร

3. ในการที่คนกลุ่มนี้ออกมาแสดงพฤติกรรมต่อต้าน คมช. และรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ รวมไปถึงการคัดค้านไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มีผู้เชื่อว่ามีเหตุจูงใจจากการใช้เงินว่าจ้างให้ก่อกวนสร้างความวุ่นวาย ส่วนความเชื่อที่ว่ามีการจ้างหรือไม่นั้น ถ้าท่านผู้อ่านไปสอบถามผู้ที่อยู่ในวงการเมืองหรือมิได้อยู่ในวงการเมืองก็น่าจะได้คำตอบ อย่างน้อยคำพูดของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ออกมาพูดในลักษณะไม่พอใจกับพฤติกรรมที่คนเหล่านี้แสดงต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ว่านายวีระ และนายจักรภพเป็นใครที่ออกมาจาบจ้วงป๋า ซึ่งเป็นผู้ทำคุณงามความดีเพื่อประเทศมาตลอด และทิ้งท้ายว่า ผมมีคนเป็นแสนคนและไม่ต้องจ้างด้วย

โดยนัยแห่งคำว่าไม่ต้องจ้าง คุณบรรหารน่าจะหมายถึงว่าผู้มาคัดค้านจาบจ้วงประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อันเป็นปูชนียบุคคลควรแก่การยกย่องในครั้งนี้มีการว่าจ้างมา

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คุณบรรหาร ได้พูดทำนองนี้ออกไปนายนพดล ปัทมะ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาแถลงข่าวว่าจะศึกษาคำพูดดังกล่าว และถ้าไปพาดพิงถึงคุณทักษิณก็จะฟ้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนเห็นว่าถ้ามีการฟ้องก็ดีเหมือนกันเพราะเมื่อคดีขึ้นสู่กระบวนการของศาลแล้ว ก็จะได้มีการนำสืบพยาน และน่าจะทำให้ประชาชนได้ทราบว่าที่มีการพูดกันอย่างดาษดื่นนั้นจริงหรือไม่

ส่วนประเด็นที่ว่า การก่อกวนสร้างความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของคนกลุ่มนี้จะจบลงอย่างไรนั้น อีกไม่ช้าคงจะได้เห็นจุดจบของเรื่องนี้ เพราะในขณะที่เขียนบทความเรื่องนี้ได้มีข่าวออกมาแล้วว่า บรรดาแกนนำของกลุ่ม นปก. 9 คนได้ถูกทางเจ้าหน้าที่เรียกตัวมาสอบสวน และกำลังจะนำตัวไปขอฝากขัง จากจุดเริ่มนี้ท่านผู้อ่านคงจะมองเห็นรางๆ แล้วว่าสุดท้ายของผู้ที่ทำผิดกฎหมายก็คือจะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

ส่วนการออกมาจาบจ้วงคนทำดี และอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลควรที่คนไทยจะให้การยกย่องนับถือ อันถือได้ว่าเป็นการกระทำที่สวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ยกมาเป็นบทนำ คงได้เห็นกันแล้วจากการที่คนรักป๋าออกมาแสดงพลังบุกไปถึงบ้านแกนนำ นปก. บางคน และบอกให้พ่อแม่ห้ามปรามมิให้กระทำเช่นนี้อีก อันนี้ถือได้ว่าได้รับโทษทางสังคมไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในทางกรรมคงไม่จบแค่นี้เพราะถ้าเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ผู้ที่ประทุษร้ายคนที่ไม่ประทุษร้ายตอบ ย่อมได้รับโทษ 10 ประการ มีถูกจำคุกคุมขัง เป็นต้น

ส่วนว่าคำสอนที่ว่านี้จะยังคงเป็นสัจธรรมหรือไม่ก็ให้ท่านผู้อ่านที่เป็นชาวพุทธติดตามดู อีกไม่ช้าก็คงจะได้เห็นใครทำกรรมใดไว้จะได้รับผลกรรมนั้นหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น