xs
xsm
sm
md
lg

ปฐมเทศนาอันยิ่งใหญ่ในวันเพ็ญเดือน 8

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

Email: p_ariya_@hotmail.com

นำสาธุชนย้อนหลังไปก่อนพุทธศักราช 45 ปี เป็นวันที่ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันวิสาขปุณณมีวันเพ็ญเดือน 6 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และต่อมาอีก 2 เดือนเต็ม ถึง วันอาสาฬหปุณณมีดิถี วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงพระมหากรุณาประกาศสัจธรรม ทรงแสดงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณให้ประจักษ์แก่ชาวโลก

อาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในเดือน 8 เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงแสดงปฐมเทศนา ประกาศสัจธรรมอันเป็นองค์แห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ

เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวกองค์แรกได้เกิดขึ้นในโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ และท่านได้รับประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา จากพระพุทธเจ้า

เป็นวันแรกที่บังเกิดพระสังฆรัตนะ พระสงฆ์เกิดขึ้นแล้วในโลก สมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัย คือพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

พระพุทธองค์ ได้ทรงแสดงธรรมโปรดเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ, พระวัปปะ, พระภัททิยะ, พระมหานามะ, พระอัสสชิ มีใจความสำคัญว่า บรรพชิตไม่ควรเสพที่สุด 2 อย่าง คือ

1. กามสุขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันอยู่ในกามสุข ซึ่งหย่อนเกินไปไม่เป็นทางให้ตรัสรู้ได้

2. อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบตนให้ลำบาก หรือการทรมานร่างกายตนเอง ซึ่งตึงเกินไป ก็ไม่เป็นทางเพื่อตรัสรู้ได้อีกเช่นกัน

พระพุทธองค์ จึงได้นำเสนอแนวทางใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และนักแสวงหาสัจธรรมก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางเป็นตามเหตุปัจจัย ซึ่งได้แก่มรรคมีองค์ 8 คือ สัมมาทิฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, และสัมมาสมาธิ อันเป็นหนทางปฏิบัติแล้วจะสามารถให้บรรลุพระนิพพานได้

สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ หรือความเห็นถูก เห็นถูกในอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ (ทุกข์สภาวะ, ทุกขเวทนา, ทุกข์อุปาทาน)

ทุกข์สภาวะ คือสังขารทั้งปวงทั้งนามธรรมและรูปธรรม ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตเป็นทุกข์ที่อยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้

ทุกขเวทนา คือทุกข์ทางกาย เช่น ป่วย, หิว, ปวดเบา, ปวดหนัก, มีดบาด โดนทำร้าย เป็นต้น ทุกข์ชนิดนี้แก้ไขได้ชั่วคราวด้วยการเสพ ด้วยการบรรเทาดับทุกข์เพียงชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้น

ทุกข์อุปาทาน คือความทุกข์ที่เกิดจากการยึดมั่น ถือมั่นในความเป็นอัตตาตัวตน ทุกข์ชนิดนี้เกิดจากความเห็นผิด (อวิชชา) แต่ก็สามารถแก้ไขให้หมดไปได้อย่างเด็ดขาด เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ แต่ไม่สามารถพ้นจากทุกข์สภาวะไปได้ คือท่านต้องละสังขารเหมือนคนทั่วไป คนบาปใจร้ายเอาดาบมาฟันคอท่าน ท่านก็ได้รับทุกขเวทนา แต่ท่านไม่รู้สึกโกรธ เพราะท่านได้ละอุปาทาน ได้สิ้นแล้ว ท่านจึงไม่เป็นทุกข์จากอุปาทาน ทุกข์จึงเป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ เช่น ความเกิด, แก่, ความโศก, ความร่ำไรรำพัน, ความทุกข์โทมนัส, ความคับแค้นใจ, ความไม่ประสบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักทั้งหลาย, ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักทั้งหลาย, ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้ในสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ว่าโดยย่อ อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ในขันธ์ 5 เป็นทุกข์

สมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ หรือเหตุอันทำให้เกิดทุกข์ คืออวิชชา ความไม่รู้ในอริยสัจ 4, ความไม่รู้แจ้งในกฎไตรลักษณ์, ความไม่รู้แจ้งในขันธ์ 5 จึงก่อให้เกิดตัณหา 3 กามตัณหา, ภวตัณหา, วิภวตัณหา

กามตัณหา คือความทะยานอยากในกามคุณทั้ง 5 ได้แก่ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส เสพอย่างยึดมั่นเพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริงว่ากามคุณ 5 ตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา กามคุณ 5 นี้ แม้พระอรหันต์ ก็ต้องใช้ประโยชน์จากกามคุณทั้ง 5 แต่ท่านต้องพิจารณาต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างสำรวมระวัง ไม่ติดยึดและรู้เท่าทัน รู้แจ้งตามความเป็นจริง จึงสัมพันธ์กับกามคุณทั้ง 5 อย่างรู้เท่าทันและอิสระจากกามคุณทั้ง 5 ดุจหยดน้ำบนใบบัว

ภวตัณหา คือความทะยานอยาก อยากเป็นโน่น เป็นนี่สารพัดอย่าง โดยไม่รู้แจ้งในความสัมพันธ์ของเหตุ และผลตามความเป็นจริง เช่น อยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่สร้างเหตุปัจจัยไม่เพียงพอ ผลก็ไม่เกิดขึ้น ความอยากตรงนี้จึงก่อให้เกิดทุกข์ หรืออยากเป็นคนมั่งมี แต่ขี้เกียจ อยากได้เงิน แต่ไม่ทำงาน อย่างนี้ก็จะก่อให้เกิดทุกข์ทางใจ ส่วน พระอรหันต์ ไม่ติดในภวตัณหา เพราะท่านเป็นผู้รู้กฎแห่งกรรม หรือกฎของเหตุและผล (กฎอิทัปปัจจยตา “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี”) เมื่อทำอย่างนี้ก็จะรับผลอย่างนี้ ท่านจึงมีปัญญารู้ว่าเป็นธรรมดาของสังขารทั้งปวง เป็นเช่นนั้นเอง (ภว หรือ ภพ แปลว่า ความเป็น ความมี)

วิภวตัณหา คือความทะยานอยากที่จะไม่เป็นนั่น ไม่เป็นนี่สารพัดอย่าง ยกตัวอย่าง คนเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ก็อยากจะเสพอยู่ในตำแหน่งนี้นานๆ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง แต่เขาไม่อยากพ้นจากตำแหน่ง เพราะไม่ต้องการไปเป็นอย่างอื่น อย่างนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ (วิภาวะ หรือ วิภพ แปลว่า ความไม่เป็น ความไม่มี) ความเป็นหรือไม่เป็น ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย คิดเอาเองตามจิตกิเลสปรุงแต่ง ไม่ตรงตามเป็นจริงย่อมเป็นทุกข์ และก่อเวรเป็นกิเลส กรรม วิบาก ไม่สิ้นสุด

ปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลสไม่รู้เหตุปัจจัยดังกล่าวก็จะเกิดทุกข์ พระอรหันต์ย่อมอยู่เหนือหรือพ้นสภาวะ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา เพราะท่านทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมไปตามเหตุปัจจัย สภาวะจิตอยู่เหนือความมีและความไม่มี อยู่เหนือความเป็นและความไม่เป็น ท่านดำรงอยู่ในทางสายกลางอย่างแท้จริง

นิโรธ คือความดับทุกข์ ความดับทุกข์ คือสภาวะอิสระ หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง ในทางจริยธรรม ท่านอยู่กับสังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) แต่ท่านไม่ยึดติดในสังขารทั้งปวง “ดุจหยดน้ำบนใบบัว”

มรรค ปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์ (มรรคมีองค์ 8) นับแต่สัมมาทิฐิ เป็นต้นไป ดังได้กล่าวแล้วในเบื้องต้นกล่าวโดยสรุป ทุกข์ คือสิ่งที่จะต้องกำหนดรู้ สมุทัย คือสิ่งที่ต้องละ นิโรธ คือสิ่งที่ต้องทำให้แจ้ง และ มรรค คือสิ่งที่ควรเจริญ

ผู้ใดมีเจตนาอันสูงส่งดับทุกข์โดยไม่เหลือจะต้องละอวิชชา (ความไม่รู้) ดับสิ้นความกำหนัดโดยไม่เหลือแห่งตัณหา จาโค ความสละตัณหานั้น ปฏินิสสัคโค ความวางตัณหานั้น มุตโต ความปล่อยตัณหานั้น อนาลโย ความไม่อาลัยคือความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น

เมื่อพระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนาจบลง ธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรม ก็ได้บังเกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะ ว่า “ยังกิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ” แปลความว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา”

พระพุทธเจ้า ทรงทราบเช่นนั้น จึงทรงเปล่งอุทานว่า “อัญญาสิ วต โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วต โภ โกณฑัญโญ” ซึ่งแปลว่า “โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอๆ” ธรรมจักษุนี้ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค เรียกบุคคลผู้ได้บรรลุว่า พระโสดาบัน

พระธรรมเทศนานี้ เรียกชื่อว่า “ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร” คือพระสูตรว่าด้วยการหมุนล้อพระธรรม ได้ชื่อว่า ปฐมเทศนา เพราะเป็นการแสดงธรรมครั้งแรกของพระองค์ หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นการเริ่มต้น “ภารกิจแห่งการปฏิวัติสันติอย่างยิ่งใหญ่ทางจิตใจ อันหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้”

เมื่อ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรมหมดความสงสัย จึงทูลขออุปสมบท พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยพระวาจาว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรา กล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด”

เพียงเท่านี้ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ก็ได้ชื่อว่าอุปสมบทเป็นภิกษุโดยชอบ เป็นปฐมสาวกคือสาวกรูปแรกและเป็นภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา นับว่า พระรัตนตรัยได้อุบัติครบพร้อมบริบูรณ์ขึ้นในโลก ณ กาลบัดนั้นเป็นต้นมา การอุปสมบทด้วยวิธีนี้ เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”

เมื่อพระภิกษุทั้ง 5 มีอินทรีย์แก่กล้าควรแก่ การเจริญวิปัสสนา เพื่อวิมุตติได้แล้ว พระองค์จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันมีชื่อเรียกว่า อนัตตลักขณสูตร ซึ่งมีใจความย่อว่า

ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็น อนัตตา มิใช่ตน ถ้าหากขันธ์ 5 เป็นอัตตาคือตัวตนแล้ว ก็ไม่เป็นไปเพื่อความลำบาก และพึงปรารถนาในขันธ์ 5 ได้ตามที่ต้องการแต่เพราะขันธ์ 5 เป็นอนัตตา จึงปรารถนาให้เป็นไปตามที่ใจหวังและต้องการไม่ได้

เมื่อพระภิกษุทั้ง 5 พิจารณาไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนานั้น ดวงจิตก็พ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นับแต่นั้นมาก็ได้สืบสายพระอรหันต์ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ เพื่อสร้างสรรค์ปัญญาอันยิ่ง ความสงบสุข สวัสดี ต่อมวลมนุษยชาติอย่างมิได้ขาดสายจนถึงบัดนี้ ผู้นำชาวพุทธในอดีตนำธรรมะนำชีวิตและสังคมให้สงบสันติสุข แต่น่าเสียดายที่ผู้นำในยุคนี้หลายคนสนใจธรรมะน้อย เกินไป ไม่รู้เรื่องลุ่มหลงแต่เดรัจฉานวิชา เขากลัวธรรมะ ดุจวัวกลัวเสือ อย่างไรอย่างนั้น

ผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยิ่งชีวิตควรรู้ความจริงว่าสภาพการณ์ที่แท้จริงของไทยยังไม่เปลี่ยน คือมิจฉาทิฐิโค่น มิจฉาทิฐิ เผด็จการ โค่นเผด็จการ เผด็จการ 2 รูปแบบผลัดเปลี่ยนกันโค่นยังคงหมุนเวียนวงจรโคตรอุบาทว์ เสี่ยงภัยและเสียเวลา นับนานถึง 75 ปี ตราบใดที่ผู้ปกครองหลงผิดยากที่จะแก้ไขคือเข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย ความจริงคือรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ รวมทั้ง ปี 40 และ 50 ล้วนเป็นมิจฉาทิฐิ เช่นเดิม ขอเชิญสาธุชนทั้งหลายได้ศึกษาวิปัสสนาธรรมให้ถึงแก่นแท้ แก่นไทเถิด

กำลังโหลดความคิดเห็น