xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.ซื้อดอลลาร์1.3แสนล้านบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกฯ ลั่นยังไม่มีแนวคิดกันเงินทุนสำรองไปใช้ แบงก์ชาติเผยภาระฟอร์เวิร์ด ณ 20 ก.ค.เพิ่มมาอยู่ที่ 1.38 หมื่นล้านเหรียญ รวมทุนสำรองแล้วทะลัก 8.57 หมื่นล้าน เซอร์ไพรส์ปรับเพิ่มเป้าจีดีพีจาก 3.8-4.8 เป็น 4-5% หลังส่งออกยังขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ ปตท.ช่วยแก้ปัญหาบาท เล็งซื้อดอลลาร์ 4 พันล้าน หรือ 1.3 แสนล้านบาท สำหรับลงทุนโครงการในเครือ

เช้าวานนี้ (27 ก.ค.) นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง พร้อมด้วยนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เดินทางเข้าพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อรายงานถึงสถานการณ์ค่าเงินบาท ซึ่งเป็นการรายงานปกติทุกวันศุกร์ หลังจากนายกรัฐมนตรีได้สั่งการมาก่อนหน้านี้

หลังจากใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ในเรื่องของค่าเงินบาท อยู่ในฐานะที่เราจะรักษาเสถียรภาพไว้ได้ และยังได้พูดถึงมาตรการในระยะปานกลาง และระยะยาว ซึ่งจะต้องให้มีการรวมศูนย์โดยเฉพาะการที่จะต้องดูแลเอ็สเอ็มอีให้มากขึ้น ซึ่ง รมว.คลังจะประสานกับสภาพัฒน์ฯ เพื่อให้มีการรวบรวมและจัดกลุ่มที่จะดำเนินการในการแก้ไขปัญหาในระยะต่อไป

เมื่อถามว่ามีการประเมินว่าค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าไปถึง 32 บาทต่อดอลลาร์ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ก็เป็นการประเมินของผู้ที่อยู่ภายนอก แต่ในส่วนของเราเองก็เห็นชัดว่าขณะนี้เราสามารถรักษาเสถียรภาพไว้ได้ และเราก็มีความตั้งใจที่จะรักษาเสถียรภาพของค่าเงินไม่ให้เคลื่อนไหวในลักษณะที่ผันแปรมากเกินไป ขณะนี้เรายังรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทได้

"วันนี้ก็ได้ข้อยุติจากทางผู้ว่าฯ ธปท.ที่พูดถึงเรื่องนี้ว่าในสัปดาห์หน้าเราน่าจะรักษาเสถียรภาพไว้ได้ และยังมั่นใจว่ามาตรการนี้จะรักษาเสถียรภาพค่าเงินได้"

ส่วนการประชุมผู้ว่าการธนาคารชาติ 16 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในวันเสาร์ที่ 28 ก.ค.นี้นั้น นายกฯ กล่าวว่า กระทรวงการคลังมีหลักการอยู่แล้วส่วนหนึ่งซึ่งก็คือในเรื่องของการจัดตั้งสถาบันการเงินของเอเชีย ซึ่งในกลุ่มของเอเชียนั้น น่าจะมีการหยิบยกขึ้นมาหารือกันบ้าง เนื่องจากปัจจุบันเรายังไม่มีในส่วนนี้ ที่มีอยู่ก็มีเพียงธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) เท่านั้น ยังไม่มีสถาบันที่รวมศักยภาพทางการเงินของกลุ่มประเทศในเอเชีย ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกในโอกาสข้างหน้า และเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าประเทศจีนจะเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้นการหารือในเรื่องเหล่านี้ก็น่าจะจำเป็นแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการกันทุนสำรองเงินตราต่างประเทศส่วนหนึ่งไปตั้งกองทุนในต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มี

***ฐานะฟอร์เวิร์ดล่าสุด 1.38 หมื่นล้าน
วานนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งว่า ฐานะเงินและเงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 20 ก.ค.50 พบว่า มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งสิ้น 71,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากวันที่ 13 ก.ค.ที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 72,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิเพิ่มเป็น 13,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 13 ก.ค.ที่มี 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ในปัจจุบันมีทุนสำรองทางการระหว่างประเทศ 85,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากวันที่ 13 ก.ค. 84,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือสัปดาห์เดียวเพิ่มขึ้น 1,100 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.6 หมื่นล้านบาท

***เพิ่มเป้าจีดีพีใหม่โต 4-5%
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้เพิ่มขึ้น 0.2% ทำให้ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4-5% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 3.8-4.8% เนื่องจาก ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา แม้เงินบาทจะแข็งค่าไปแล้วประมาณ 7% แต่การส่งออกยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัวในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และจะเห็นได้ชัดในครึ่งปีแรกของปี 2551 จึงคาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ระดับ 4.5-6.0% จากเดิมประเมินไว้ที่ 4.3-5.8%

“จากการประเมินของกนง.ในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อล่าสุด ฉบับเดือนกรกฎาคม พบว่า หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1% จะส่งผลให้การขยายตัวเศรษฐกิจลดลง 0.28% อย่างไรก็ตามแม้ในครึ่งแรกของปีนี้เป็นการเพิ่มขึ้นของราคาถึง 5% แต่การส่งออกยังขยายตัวได้สูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารายได้จากการส่งออกไม่ได้ลดลงมากนัก และทั้งปีนี้กนง.มองว่าการส่งออกในรูปเงินบาทขยายตัวอยู่ที่ 6-7% อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกมีแนวโน้มชัดเจนที่จะลดลงในครึ่งหลังของปีนี้จากการชะลอตัวของประเทศคู่ค้า ค่าเงินบาท และการเสียความสามารถในการแข่งขัน จึงควรมีการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศทั้งการใช้จ่ายและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังเปราะบางอยู่ ดังนั้นทั้งภาคเอกชน นักลงทุน และภาคสถาบันการเงินเองก็ต้องใจกล้าในการทำธุรกิจด้วย”

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้การส่งออกขยายตัวอยู่ที่ระดับ 18% คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้การส่งออกจะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 9-10% ส่วนทั้งปีขยายตัวอยู่ที่ 12-15% และคาดว่าปีหน้าขยายตัวคงที่เท่าประมาณการเดิม คือ อยู่ที่ระดับ 5.5-8.5% ด้านมูลค่าการนำเข้าคาดว่าจะเร่งตัวเพิ่มขึ้น 9-12% จากเดิม 7.5-10.5% ทำให้ปีนี้คาดว่าดุลการค้าจะเกินดุลทั้งปีอยู่ที่ 5,500-7,500 ล้านเหรียญ จากเดิมคาดว่าจะเกินดุล 3,000-5,000 ล้านเหรียญ และดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลทั้งปี 7,000-9,000 ล้านเหรียญ จากเดิมเกินดุล 4,000-6,000 ล้านเหรียญ ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรก เกินดุลไปแล้ว 5,000 ล้านเหรียญ

ส่วนการลงทุนโดยรวมทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนในปีนี้ปรับลดลงอยู่ที่ระดับ 1.5-2.5% จากเดิม 4-5% โดยกนง.ประเมินว่าการลงทุนภาคเอกชนจะติดลบ 0.5-0.5% จากเดิม 2-3% ส่วนภาครัฐมีการลงทุนลดลงเช่นกันเหลือ 7.5-8.5% จากเดิม 9-10% อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนในไตรมาส 2 ของปีนี้ไม่ได้กระเตื้องมากนัก แต่หากการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น คาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะกลับคืนมาในช่วงต้นปีหน้า และการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 8-9% แต่การลงทุนภาครัฐลดลง 5.5-6.5% จากเดิม 7-8%

อย่างไรก็ตาม แม้ในปีนี้ กนง.จะประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนปรับลดลงเหลือ 1.5-2.5% จากเดิม 2.5-3.5% และปีหน้าคงไว้ที่ระดับเดิม คือ 4.5-5.5% ส่วนการบริโภคภาครัฐคาดว่าขยายตัวเพิ่มขึ้น 13-14% จากเดิม 8-9% เป็นผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 166,000 ล้านบาทในปี 2551

แม้ว่าภาครัฐอนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถทยอยปรับราคาสินค้าในประเทศได้ แต่อุปสงค์ในประเทศยังคงชะลออยู่ ทำให้การปรับขึ้นราคาสินค้าอาจมีน้อยลง ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานใน 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้กนง.มีการพิจารณาปรับลดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 0.8-1.5% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 1-2% และปีหน้าคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังคงอยู่ในระดับเดิม คือ 1-2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในปีนี้ กนง.ได้คงประมาณการณ์ไว้ที่ระดับเดิม คือ 1.5-2.5% และอยู่ที่ระดับ 1.0-2.5% ในปีหน้า

สำหรับกรณีที่มีโรงงานปิดกิจการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการเลิกจ้างแรงงานนั้น นางสุชาดา กล่าวว่า บางบริษัทอาจมีผลกระทบบ้างในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว เพราะบางธุรกิจมีการแข่งขันที่สูง หรือบางกิจการก็มีขนาดบริษัทเล็กเกินไป ทำให้ไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่สูงได้ จนกระทั่งขายสินค้าลำบาก ซึ่งจากการสำรวจของกระทรวงพาณิชย์พบว่า เฉลี่ยในแต่ละเดือนจะมีโรงงานปิดกิจการประมาณ 800-900 แห่ง แต่ก็ยังมีกิจการขนาดเล็กที่มีการเปิดโรงงานใหม่ประมาณ 4,000-5,000 แห่งด้วย ฉะนั้นภาคธุรกิจเองก็ควรปรับตัวเองด้วย

นางสุชาดา กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ต้องจับตาดูในระยะต่อไป ได้แก่ ค่าเงินบาท ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลก การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ความเชื่อมั่นของภาครัฐ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจไม่ตรงกับที่กนง.ประมาณการไว้ก็ได้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงด้านบวกยังมีสูงกว่าด้านลบ

***ปตท.ทำฟอร์เวิร์ด 1.3 แสนล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท. กำลังพิจารณาที่จะซื้อดอลลาร์หรือทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟอร์เวิร์ด) สำหรับโครงการลงทุนที่เครือ ปตท. จำเป็นต้องใช้เงินระยะเวลา 1 ปีครึ่ง เป็นเงิน 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 134,800 ล้านบาท รวมทั้งกำลังพิจารณาว่าหนี้ในรูปเงินสกุลระยะยาวและหนี้พันธบัตรเป็นรูปดอลลาร์มีมากน้อยเท่าใด และจะมีการซื้อดอลลาร์เพื่อเก็บไว้สำหรับการใช้หนี้ในอนาคตได้หรือไม่

“ การดำเนินการก็คาดว่าจะทำให้มีการชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ซึ่งโครงการลงทุนของปตท.ส่วนใหญ่ประเมินค่าเงินไว้อยู่ราว 40-41 บาทต่อเหรียญสหรัฐซึ่งปตท.ก็น่าจะได้ประโยชน์ เนื่องจากในอนาคตยังไม่รู้ทิศทางว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงไปหรือไม่ ส่วนโครงการลงทุนส่วนใหญ่เป็นของ ปตท. ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น โรงแยกก๊าซ และโครงการท่อก๊าซ เป็นต้น และเป็นส่วนของ บมจ.ปตท.สผ. ประมาณ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ" นายพิชัยกล่าว.

***รื้อสูตรค่าไฟเอกชนอิงเงินบาท
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานมีนโยบายชะลอการแข็งค่าของเงินบาทโดยสั่งให้หน่วยงานในสังกัดโดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจคือ บมจ.ปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) โดยในส่วนของกฟผ.นั้นได้มอบหมายให้ไปเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนอิสระรายใหญ่หรือไอพีพี เดิมทั้ง 7ราย ในการขอปรับสูตรโครงสร้างค่าไฟฟ้าเป็นเงินบาททั้งหมด รวมถึงการคืนหนี้ต่างประเทศให้เร็วขึ้นซึ่งมีทั้งหมด 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

“ไอพีพีที่กำลังจะเปิดประมูลรอบใหม่นี้ กำลังพิจารณาว่าอาจจะขอให้มีการปรับสูตรค่าไฟ อิงเงินบาทไปด้วยทั้งหมด” นายปิยสวัสดิ์กล่าว.
กำลังโหลดความคิดเห็น