ตำรวจจู่โจมจับ นศ.มหาวิยาลัยชื่อดังกลางเมืองคอนพบเป็นแกนนำป่วนใต้มีหมายจับ 3 ข้อหาหนัก ส่งตัวกลับสะบ้าย้อยดำเนินคดีทันที "พระสงฆ์นำชัยคุ้มภัยใต้" เผยเคยมาจำพรรษาในพื้นที่ใต้มาแล้วไม่พบปัญหาขัดแย้งทางศาสนา ขณะที่ชาวบ้านเตรียมตั้งกลุ่มอารักขาพระเข้มช่วงเข้าพรรษา หวั่นตกเป็นเป้าฝ่ายตรงข้าม เชื่อโจรใต้เอาคืนแน่ สั่งจับตา 27 ก.ค.ครบรอบจัดตั้งมณฑลปัตตานี หลังพบแกนนำป่วนใต้ระดมแนวร่วมวางบึ้มจังหวัดละ 5 จุดตอบโต้ยุทธการปูพรมเจ้าหน้าที่เน้นย่านเศรษฐกิจสำคัญ "ป๋าเปรม" ชี้แนวทางดับไฟใต้ต้องเน้นความเป็นไทยและสร้างความเป็นธรรม
เช้าวานนี้ (26 ก.ค.) พ.ต.อ.วิสิทธิ์ ฤทธิ์แผลง ผกก.สภ.อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ได้รับการประสานงานจากชุดสืบสวน สภ.อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และชุดปฏิบัติการพิเศษจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า มีคนร้ายก่อคดีฆ่าคนตายและพยายามฆ่าซึ่งเป็นคดีความมั่นคงในพื้นที่มากบดานและเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งใน อ.ท่าศาลา โดยมีการส่งหมายจับกุมมา 3 คดีเป็นคดีฆ่า 2 คดีและคดีพยายามฆ่า 1 คดี
จากนั้น พ.ต.อ.วิสิทธิ์ ได้นำกำลังตำรวจและหมายศาลไปดักซุ่มและทำการจับกุมผู้ต้องหาคนดังกล่าวและสามารถจับกุมตัวได้ขณะกำลังออกจากหอพักไปเรียนในอาคารเรียนภายในเขตมหาวิทยาลัย ท่ามกลางความแตกตื่นของบรรดาเพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกัน รวมทั้งครูอาจารย์เจ้าหน้าที่จึงนำตัวออกจากที่เกิดเหตุมายัง สภ.อ.ท่าศาลาทันที เบื้องต้นมีการตรวจสอบหลักฐานประจำตัวทราบชื่อผู้ต้องหาคือนายมะรูซี มะดีเยาะ อายุ 23 ปีเป็นคน ม.6 ต.ทุ่งโพธิ์ อ.สะบ้าย้อย เป็นนักศึกษาชั้นปี 3 คณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยดังกล่าว
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่านายมะรูซี ผู้ต้องหารายนี้มีหมายจับกุมถึง 3 คดีและอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งทำให้เจ้าหน้าที่ตามตัวยาก ต่อมาทางตำรวจทราบว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดังกล่าวและมักจะเปลี่ยนที่นอนตามหอพักชายบ่อยครั้ง ซึ่งจะมาอาศัยกับรุ่นน้องๆ ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง จึงมีการประสานงานกันระหว่างตำรวจ สภ.อ.สะบ้าย้อย และตำรวจ สภ.อ.ท่าศาลา ทำการสืบหาจนทราบที่กบดานแน่ชัดจึงนำหมายศาลมาทำการจับกุมตัว แต่นายมะรูซี ยังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
พ.ต.อ.วิสิทธิ์ กล่าวว่า การจับกุมตัวผู้ต้องหารายนี้ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สุดใจ ญาณรัตน์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ซึ่งน่าจะเชื่อได้ว่าผู้ต้องหารายเป็นแกนนำคนสำคัญในการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพบว่ามีประวัติร้ายกาจ ก่อคดีในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย แล้วได้หนีคดีปลอมตัวมาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และอาศัยอยู่กับรุ่นน้องก่อนถูกตำรวจตามจับกุมตัว ส่วนรายละเอียดของคดีทางตำรวจ สภ.อ.สะบ้าย้อย จะทำการสอบสวนดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป
ด้านพระธวัช ธัมมธิโป อายุ 50 ปี พระสงฆ์จากวัดทุ่งสว่าง อ.เรณูนคร จ.นครพนม 1 ในพระสงฆ์ 347 รูปจากวัดต่างๆ ที่เดินทางลงไปจำพรรษายังวัดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ จ.สงขลา ตามโครงการ "พระสงฆ์นำชัย คุ้มภัยใต้" ซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เผยว่า ที่เดินทางมาจำพรรษาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับพระภิกษุสงฆ์และประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยจะไปจำวัดอยู่ที่วัดชมพูสถิต ต.ยุโป อ.เมืองยะลา อีกทั้งเคยมาอยู่ในพื้นที่ก่อนแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติดี โดยเฉพาะความเป็นอยู่ระหว่างศาสนาไม่มีปัญหา
พระสมบูรณ์ นนฺทสาโร จากวัดหนองโก ต.หนองโก อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ซึ่งจะจำพรรษาอยู่ที่วัดสุนทรประชาราม ต.กายูบอเกาะ อ.รามัน จ.ยะลา เผยว่า รู้สึกดีใจที่ได้ร่วมโครงการนี้ การมาจำพรรษาดังกล่าวคงไม่มีอะไรมากนอกเหนือจากกิจของสงฆ์ ส่วนความปลอดภัยนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากทางการมาดูแลเป็นอย่างดี การมาในครั้งนี้ยังสามารถมารับรู้ข้อเท็จจริงในพื้นที่ เท่าที่ดูในวันแรก ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ได้รับข่าวคราวตามสื่อต่างๆ ส่วนจะจำวัดต่อไรเมื่อครบพรรษาหรือไม่เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องดูกันอีกที
นายวิวัธน์ หริรักษ์ไพบูลย์ โฆษกเครือข่ายพลังแผ่นดินขจัดภัยก่อการร้าย เปิดเผยถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยพระสงฆ์จำนวน 347 รูปพระสงฆ์ในโครงการ "พระสงฆ์นำชัย คุ้มภัยใต้" ว่า ได้เตรียมหารือกับชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่ใกล้กับวัดต่างๆ ให้ช่วยกันดูแลพระภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะพระที่ต้องเดินทางไปจำวัดในพื้นที่รอบนอก หรือเขตที่มีอัตราการก่อความไม่สงบสูง
"สำหรับวัดที่อยู่ในเขตชุมชนเข้มแข็งไม่น่าห่วงเท่ากับวัดที่อยู่พื้นที่รอบนอกโดยเฉพาะในยะลา และนราธิวาสบางแห่งจำเป็นจะต้องมีการจัดตั้งกลุ่มชาวบ้านทำหน้าที่ส่งข่าวแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวที่ผิดสังเกตในชุมชนรอบวัดตัวเองให้ทางการทราบ ส่วนการดูแลความปลอดภัยอาจจะขอความร่วมมือจากอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (อรบ.) ร่วมสนธิกำลังกับทหาร ตำรวจ รักษาความปลอดภัยให้พระ"
นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า จะให้การดูแลพระภิกษุสงฆ์อย่างเต็มที่ โดยจะมีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และ อรบ.ร่วมกับฝ่ายความมั่นคงดูแลความปลอดภัย ส่วนมาตรการดูแลขณะออกบิณฑบาตหรือการประกอบกิจทางสงฆ์ของพระแต่ละวัดในพื้นที่ขอให้ยึดมติของคณะสังฆาธิการของจังหวัด โดยให้แต่ละวัดพิจารณาสถานการณ์ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ยังให้หน่วยงานราชการร่วมกับประชาชนดูแลถวายภัตตาหารให้แก่พระสงฆ์ในวันสำคัญๆ ทางศาสนาอย่างต่อเนื่องด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า แม้เหตุการณ์ฆ่ารายวัน และการวางระเบิดจะลดน้อยลง แต่หน่วยข่าวความมั่นคงยังคงแจ้งเตือนให้ตำรวจ ทหาร ระวังป้องกันการก่อวินาศกรรมในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา อ.สุไหงโก-ลก และ อ.เมือง จ.นราธิวาส อ.เมือง จ.ปัตตานี และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากพบความเคลื่อนไหวของแกนนำที่ได้สั่งการให้แนวร่วมเตรียมลอบวางระเบิดจังหวัดละ 5 แห่ง ในช่วงระหว่างวันที่ 27 ก.ค.นี้เป็นต้นไป เพราะในวันที่ 27 ก.ค.นี้เป็นวันที่รัฐไทยประกาศจัดตั้งมณฑลปัตตานีเพื่อยกเลิกตำแหน่งเจ้าของหรือสุลต่าน 7 หัวเมืองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพบว่าแนวร่วมได้ประกอบระเบิดแสวงเครื่องเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถชี้เป้าหมายที่แน่ชัดได้
นอกจากนี้ หน่วยข่าวความมั่นคงยังได้พบความเคลื่อนไหวของแกนนำและแนวร่วมในพื้นที่ จ.ยะลา และนราธิวาสจำนวนมาก รวมทั้งในพื้นที่ ต.ประกอบ อ.นาทวี ต.เขาแดง และอื่นๆ ใน อ.สะบ้าย้อย โดยมีการอาศัยร้านน้ำชาและงานประเพณีกินเหนียวประชุมสั่งการระหว่างแกนนำกับแนวร่วมอย่างคึกคักด้วย
เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นการวางแผนเพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐที่เปิดยุทธการกวาดล้าง จับกุมแนวร่วมในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา อ.สุไหงปาดี อ.รือเสาะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และยังพบว่าแกนนำและแนวร่วมที่มีหมายจับได้หลบหนีจากพื้นที่ที่มีการเปิดยุทธการ กวาดล้างของ กอ.รมน.ภาค 4 ไปรวมตัวกันในเขตอิทธิพลหลายอำเภอของ จ.ปัตตานี เพื่อเตรียมก่อการร้ายตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐ
พล.ต.จำลอง คุณสงค์ เสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 กล่าวว่า หลังเจ้าหน้าที่เปิดยุทธการกดดันแนวร่วมที่ก่อความไม่สงบโดยนำร่อง 2 อำเภอ คือ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส จนจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนมาก ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มแนวร่วมที่เหลืออย่างใกล้ชิด พบว่าส่วนใหญ่หลบหนีไปกบดานใน จ.ปัตตานี และเขตรอยต่ออื่นๆ จึงสั่งตรึงกำลังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากได้รับรายงานว่ากลุ่มแนวร่วมมีความพยายามจะก่อเหตุหลายครั้งแต่ยังไม่มีโอกาส โดยเฉพาะในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันสำคัญทำให้หลายฝ่ายมีการแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
"ตามยุทธวิธีการรบแล้วเชื่อว่าฝ่ายผู้ก่อเหตุต้องการสร้างสถานการณ์ที่มีความรุนแรงถึงขั้นวินาศกรรม เพื่อสร้างกระแสเอาคืนเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ยืนยันวันเวลา และสถานที่ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเฝ้าระวังพื้นที่เป้าหมายสำคัญ เช่น ย่านเศรษฐกิจ อาทิ สุไหงโก-ลก รวมถึงเขตเมืองใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะในช่วงวันสำคัญวันที่ 27 ก.ค.นี้ ทำให้มีการสั่งเพิ่มมาตรการเข้มงวดระดับสูงเพื่อความปลอดภัย"
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ กล่าวที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลถึงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่มีการกล่าวว่าสาเหตุหนึ่งของปัญหาความไม่สงบเกิดจากคนไทยมุสลิมพูดภาษาไทยไม่ได้ หรือพูดได้บ้าง แต่สื่อไม่เข้าใจนั้นตนไม่เห็นด้วย เพราะเมื่อครั้งเป็นเด็กมีเพื่อนเป็นคนไทยมุสลิม สามารถพูดภาษาไทยได้ และด่าเป็นภาษาไทยได้ ดังนั้น คนอายุรุ่นเดียวกับตน ต้องพูดภาษาไทยได้ เว้นแต่ไม่ประสงค์จะพูด หรืออีกกลุ่มหนึ่ง คือ พวกอพยพมาอยู่ในประเทศไทยเมื่อโตแล้ว อาจพูดได้บ้าง หรือพูดไม่ได้
"ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องภาษาไทย แต่มี 2 ปัญหา คือ ความเป็นไทยและความเป็นธรรม ดังนั้น จึงต้องทำให้คนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสำนึกว่าเป็นคนไทย มีสิทธิหน้าที่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐโดยเท่าเทียมกับคนที่นับถือศาสนาต่างๆ"
เช้าวานนี้ (26 ก.ค.) พ.ต.อ.วิสิทธิ์ ฤทธิ์แผลง ผกก.สภ.อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ได้รับการประสานงานจากชุดสืบสวน สภ.อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา และชุดปฏิบัติการพิเศษจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า มีคนร้ายก่อคดีฆ่าคนตายและพยายามฆ่าซึ่งเป็นคดีความมั่นคงในพื้นที่มากบดานและเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งใน อ.ท่าศาลา โดยมีการส่งหมายจับกุมมา 3 คดีเป็นคดีฆ่า 2 คดีและคดีพยายามฆ่า 1 คดี
จากนั้น พ.ต.อ.วิสิทธิ์ ได้นำกำลังตำรวจและหมายศาลไปดักซุ่มและทำการจับกุมผู้ต้องหาคนดังกล่าวและสามารถจับกุมตัวได้ขณะกำลังออกจากหอพักไปเรียนในอาคารเรียนภายในเขตมหาวิทยาลัย ท่ามกลางความแตกตื่นของบรรดาเพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกัน รวมทั้งครูอาจารย์เจ้าหน้าที่จึงนำตัวออกจากที่เกิดเหตุมายัง สภ.อ.ท่าศาลาทันที เบื้องต้นมีการตรวจสอบหลักฐานประจำตัวทราบชื่อผู้ต้องหาคือนายมะรูซี มะดีเยาะ อายุ 23 ปีเป็นคน ม.6 ต.ทุ่งโพธิ์ อ.สะบ้าย้อย เป็นนักศึกษาชั้นปี 3 คณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยดังกล่าว
สอบสวนเบื้องต้นทราบว่านายมะรูซี ผู้ต้องหารายนี้มีหมายจับกุมถึง 3 คดีและอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งทำให้เจ้าหน้าที่ตามตัวยาก ต่อมาทางตำรวจทราบว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยดังกล่าวและมักจะเปลี่ยนที่นอนตามหอพักชายบ่อยครั้ง ซึ่งจะมาอาศัยกับรุ่นน้องๆ ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง จึงมีการประสานงานกันระหว่างตำรวจ สภ.อ.สะบ้าย้อย และตำรวจ สภ.อ.ท่าศาลา ทำการสืบหาจนทราบที่กบดานแน่ชัดจึงนำหมายศาลมาทำการจับกุมตัว แต่นายมะรูซี ยังให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
พ.ต.อ.วิสิทธิ์ กล่าวว่า การจับกุมตัวผู้ต้องหารายนี้ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สุดใจ ญาณรัตน์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ซึ่งน่าจะเชื่อได้ว่าผู้ต้องหารายเป็นแกนนำคนสำคัญในการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพบว่ามีประวัติร้ายกาจ ก่อคดีในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย แล้วได้หนีคดีปลอมตัวมาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย และอาศัยอยู่กับรุ่นน้องก่อนถูกตำรวจตามจับกุมตัว ส่วนรายละเอียดของคดีทางตำรวจ สภ.อ.สะบ้าย้อย จะทำการสอบสวนดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป
ด้านพระธวัช ธัมมธิโป อายุ 50 ปี พระสงฆ์จากวัดทุ่งสว่าง อ.เรณูนคร จ.นครพนม 1 ในพระสงฆ์ 347 รูปจากวัดต่างๆ ที่เดินทางลงไปจำพรรษายังวัดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ จ.สงขลา ตามโครงการ "พระสงฆ์นำชัย คุ้มภัยใต้" ซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เผยว่า ที่เดินทางมาจำพรรษาเพื่อเป็นกำลังใจให้กับพระภิกษุสงฆ์และประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยจะไปจำวัดอยู่ที่วัดชมพูสถิต ต.ยุโป อ.เมืองยะลา อีกทั้งเคยมาอยู่ในพื้นที่ก่อนแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติดี โดยเฉพาะความเป็นอยู่ระหว่างศาสนาไม่มีปัญหา
พระสมบูรณ์ นนฺทสาโร จากวัดหนองโก ต.หนองโก อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ซึ่งจะจำพรรษาอยู่ที่วัดสุนทรประชาราม ต.กายูบอเกาะ อ.รามัน จ.ยะลา เผยว่า รู้สึกดีใจที่ได้ร่วมโครงการนี้ การมาจำพรรษาดังกล่าวคงไม่มีอะไรมากนอกเหนือจากกิจของสงฆ์ ส่วนความปลอดภัยนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากทางการมาดูแลเป็นอย่างดี การมาในครั้งนี้ยังสามารถมารับรู้ข้อเท็จจริงในพื้นที่ เท่าที่ดูในวันแรก ไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่ได้รับข่าวคราวตามสื่อต่างๆ ส่วนจะจำวัดต่อไรเมื่อครบพรรษาหรือไม่เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องดูกันอีกที
นายวิวัธน์ หริรักษ์ไพบูลย์ โฆษกเครือข่ายพลังแผ่นดินขจัดภัยก่อการร้าย เปิดเผยถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยพระสงฆ์จำนวน 347 รูปพระสงฆ์ในโครงการ "พระสงฆ์นำชัย คุ้มภัยใต้" ว่า ได้เตรียมหารือกับชาวบ้านที่นับถือศาสนาพุทธที่มีบ้านเรือนตั้งอยู่ใกล้กับวัดต่างๆ ให้ช่วยกันดูแลพระภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะพระที่ต้องเดินทางไปจำวัดในพื้นที่รอบนอก หรือเขตที่มีอัตราการก่อความไม่สงบสูง
"สำหรับวัดที่อยู่ในเขตชุมชนเข้มแข็งไม่น่าห่วงเท่ากับวัดที่อยู่พื้นที่รอบนอกโดยเฉพาะในยะลา และนราธิวาสบางแห่งจำเป็นจะต้องมีการจัดตั้งกลุ่มชาวบ้านทำหน้าที่ส่งข่าวแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวที่ผิดสังเกตในชุมชนรอบวัดตัวเองให้ทางการทราบ ส่วนการดูแลความปลอดภัยอาจจะขอความร่วมมือจากอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (อรบ.) ร่วมสนธิกำลังกับทหาร ตำรวจ รักษาความปลอดภัยให้พระ"
นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า จะให้การดูแลพระภิกษุสงฆ์อย่างเต็มที่ โดยจะมีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และ อรบ.ร่วมกับฝ่ายความมั่นคงดูแลความปลอดภัย ส่วนมาตรการดูแลขณะออกบิณฑบาตหรือการประกอบกิจทางสงฆ์ของพระแต่ละวัดในพื้นที่ขอให้ยึดมติของคณะสังฆาธิการของจังหวัด โดยให้แต่ละวัดพิจารณาสถานการณ์ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ยังให้หน่วยงานราชการร่วมกับประชาชนดูแลถวายภัตตาหารให้แก่พระสงฆ์ในวันสำคัญๆ ทางศาสนาอย่างต่อเนื่องด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์การก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า แม้เหตุการณ์ฆ่ารายวัน และการวางระเบิดจะลดน้อยลง แต่หน่วยข่าวความมั่นคงยังคงแจ้งเตือนให้ตำรวจ ทหาร ระวังป้องกันการก่อวินาศกรรมในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา อ.สุไหงโก-ลก และ อ.เมือง จ.นราธิวาส อ.เมือง จ.ปัตตานี และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากพบความเคลื่อนไหวของแกนนำที่ได้สั่งการให้แนวร่วมเตรียมลอบวางระเบิดจังหวัดละ 5 แห่ง ในช่วงระหว่างวันที่ 27 ก.ค.นี้เป็นต้นไป เพราะในวันที่ 27 ก.ค.นี้เป็นวันที่รัฐไทยประกาศจัดตั้งมณฑลปัตตานีเพื่อยกเลิกตำแหน่งเจ้าของหรือสุลต่าน 7 หัวเมืองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพบว่าแนวร่วมได้ประกอบระเบิดแสวงเครื่องเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถชี้เป้าหมายที่แน่ชัดได้
นอกจากนี้ หน่วยข่าวความมั่นคงยังได้พบความเคลื่อนไหวของแกนนำและแนวร่วมในพื้นที่ จ.ยะลา และนราธิวาสจำนวนมาก รวมทั้งในพื้นที่ ต.ประกอบ อ.นาทวี ต.เขาแดง และอื่นๆ ใน อ.สะบ้าย้อย โดยมีการอาศัยร้านน้ำชาและงานประเพณีกินเหนียวประชุมสั่งการระหว่างแกนนำกับแนวร่วมอย่างคึกคักด้วย
เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นการวางแผนเพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐที่เปิดยุทธการกวาดล้าง จับกุมแนวร่วมในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา อ.สุไหงปาดี อ.รือเสาะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส และยังพบว่าแกนนำและแนวร่วมที่มีหมายจับได้หลบหนีจากพื้นที่ที่มีการเปิดยุทธการ กวาดล้างของ กอ.รมน.ภาค 4 ไปรวมตัวกันในเขตอิทธิพลหลายอำเภอของ จ.ปัตตานี เพื่อเตรียมก่อการร้ายตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐ
พล.ต.จำลอง คุณสงค์ เสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 กล่าวว่า หลังเจ้าหน้าที่เปิดยุทธการกดดันแนวร่วมที่ก่อความไม่สงบโดยนำร่อง 2 อำเภอ คือ อ.บันนังสตา จ.ยะลา และ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส จนจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนมาก ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มแนวร่วมที่เหลืออย่างใกล้ชิด พบว่าส่วนใหญ่หลบหนีไปกบดานใน จ.ปัตตานี และเขตรอยต่ออื่นๆ จึงสั่งตรึงกำลังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากได้รับรายงานว่ากลุ่มแนวร่วมมีความพยายามจะก่อเหตุหลายครั้งแต่ยังไม่มีโอกาส โดยเฉพาะในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันสำคัญทำให้หลายฝ่ายมีการแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
"ตามยุทธวิธีการรบแล้วเชื่อว่าฝ่ายผู้ก่อเหตุต้องการสร้างสถานการณ์ที่มีความรุนแรงถึงขั้นวินาศกรรม เพื่อสร้างกระแสเอาคืนเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ยืนยันวันเวลา และสถานที่ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเฝ้าระวังพื้นที่เป้าหมายสำคัญ เช่น ย่านเศรษฐกิจ อาทิ สุไหงโก-ลก รวมถึงเขตเมืองใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะในช่วงวันสำคัญวันที่ 27 ก.ค.นี้ ทำให้มีการสั่งเพิ่มมาตรการเข้มงวดระดับสูงเพื่อความปลอดภัย"
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ กล่าวที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลถึงปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่มีการกล่าวว่าสาเหตุหนึ่งของปัญหาความไม่สงบเกิดจากคนไทยมุสลิมพูดภาษาไทยไม่ได้ หรือพูดได้บ้าง แต่สื่อไม่เข้าใจนั้นตนไม่เห็นด้วย เพราะเมื่อครั้งเป็นเด็กมีเพื่อนเป็นคนไทยมุสลิม สามารถพูดภาษาไทยได้ และด่าเป็นภาษาไทยได้ ดังนั้น คนอายุรุ่นเดียวกับตน ต้องพูดภาษาไทยได้ เว้นแต่ไม่ประสงค์จะพูด หรืออีกกลุ่มหนึ่ง คือ พวกอพยพมาอยู่ในประเทศไทยเมื่อโตแล้ว อาจพูดได้บ้าง หรือพูดไม่ได้
"ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องภาษาไทย แต่มี 2 ปัญหา คือ ความเป็นไทยและความเป็นธรรม ดังนั้น จึงต้องทำให้คนไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสำนึกว่าเป็นคนไทย มีสิทธิหน้าที่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐโดยเท่าเทียมกับคนที่นับถือศาสนาต่างๆ"