ส.ขอนแก่น ทุ่มงบ 30 ล้านบาท อัพเกรดกระบวนการผลิต หวังขยายไลน์สินค้า รองรับแนวทางบุกอาหารไทยใหม่ออกสู่ตลาดในรูปแบบพร้อมทาน ทั้งสแน็กและชีลฟู้ด จับตาอีก 2 เดือนเปิดตัว แบรนด์ใหม่ ยูมิและไคเซน บุกตลาดซีสแน็ก ส่วนแบรนด์อองเทร่ ใส่งบตลาด 15 ล้านบาท เปิดตัว 2 รสชาติใหม่ หวังรายได้รวมทั้งกลุ่มปีนี้ที่ 1,200 ล้านบาท
นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุตสาหกรรมอาหาร ส.ขอนแก่น จำกัด (มหาชน) ในปีนี้บริษัทฯจะลงทุนโดยรวมประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อยกระดับและสร้างประสิทธิภาพที่ดีของกระบวนการผลิต ซึ่งทำให้การผลิตรวดเร็วขึ้น
แนวทางดำเนินธุรกิจจากนี้ไปจะมุ่งเน้นการพัฒนาอาหารไทยใหม่ๆออกสู่ตลาดต่อเนื่องในแบรนด์ต่างๆ ทั้งแบรนด์เก่าที่มีอยู่และแบรนด์ใหม่ โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทานหรือชีลฟู้ด ซึ่งบริษัทฯเคยทำตลาดเมื่อ 2 ปีก่อนแต่ได้หยุดไป ขณะนี้จะกลับมาทำเต็มที่อีกครั้ง เช่น เมนูขาหมู หมูแดง เป็นต้น หรือการขยายตลาดซีสแน็ค ตลาดเนื้อไก่ ในรูปแบบพร้อมทานหรือสแน็คมากขึ้น จากเดิมที่มีตลาดเนื้อหมูเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มบางส่วนเท่านั้นในโรงงานเดิมหลัก 3 แห่งคือ กิ่งแก้ว มหาชัยและนครปฐม และมีฟาร์มอยู่ที่นครราชสีมา
ปัจจุบันบริษัทฯมีสินค้าหลายแบรนด์เช่น ส.ขอนแก่น, บ้านไผ่, หมูดี, หมูแชมป์, แหนมห้วยแก้ว, อองเทร่ เป็นต้น ที่จับกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกันไปในหลายระดับราคา รวมทั้งจะมีแบรนด์ใหม่อีกหลายแบรนด์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในอีก 2 เดือนจากนี้บริษัทฯมีแผนรุกตลาดซีสแน็กด้วยซึ่งผลิตจากโรงงานที่มหาชัยและยังได้รับมาตรฐานฮาลาลด้วย โดยเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบ ปลาแผ่นกรอบ กุ้งแผ่นกรอบ รสต้มยำ รสคลาสสิค โดยเตรียมชื่อไว้ 2 แบรนด์ทำตลาดพร้อมกันคือ 1.ยูมิ 2.ไคเซน และยังรุกตลาด ลูกชิ้นปลาส่งออกไปอเมริกาด้วยชื่อว่า ไคเซน และ แต้จิ๋ว
ทั้งนี้บริษัทฯวางเป้าหมายยอดขายของบริษัทฯปีนี้ไว้ที่ 800 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ประมาณ 70 ล้านบาทหรือเติบโต 5-6% ส่วนรายได้รวมทั้งกลุ่มปีนี้ตั้งไว้ที่ 1,200 ล้านบาท โดยในประเทศเป็นตลาดหลัก 90% และตลาดส่งออกเพียง 10% เท่านั้น
สำหรับแบรนด์อองเทร่นั้น หลังจากทำตลาดมาได้ประมาณปีเศษแล้วพบว่า ตลาดตอบรับดีมาก โดยมียอดขายประมาณ 70 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว และตั้งเป้าหมายยอดขายจากนี้ไปอีก 1 ปีจะได้ 200 ล้านบาท พร้อมกับการทำตลาดเต็มที่ เช่น การออกรสชาติใหม่เพื่อตอบสนองกระแสรักสุขภาพ 2 รสชาติคือ โรยงาขาวและโรยสาหร่ายโนริ จากเดิมที่มี 3 รสชาติคือ คลาสสิก, กระเทียมพริกไทย, น้ำพริกเผาตลอดจนการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดย 3 เดือนหลังปีนี้จะใช้งบประมาณ 10 ล้านบาทในการทำโฆษณา และงบประชาสัมพันธ์อีก 5 ล้านบาท การทำกิจกรรม ณ จุดขาย โรดโชว์ในต่างจังหวัด ในโมเดิร์นเทรดทั้งหลาย เป็นต้น
ขณะเดียวกันจะออกไซส์ใหม่ขนาดราคา 10 บาทเพื่อขยายช่องทางร้านค้าทั่วไป จากเดิมมีเพียงขนาดเดียวคือ 20 บาท เน้นขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ส่วนขนาดกระป๋องนั้นเป็นสินค้าตามฤดูกาล โดยที่ อองเทร่ นั้นยังไม่มีคู่แข่งที่ชัดเจน ในตลาดสแน็คที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 12,000 ล้านบาท
นายเจริญ รุจิราโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อุตสาหกรรมอาหาร ส.ขอนแก่น จำกัด (มหาชน) ในปีนี้บริษัทฯจะลงทุนโดยรวมประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อยกระดับและสร้างประสิทธิภาพที่ดีของกระบวนการผลิต ซึ่งทำให้การผลิตรวดเร็วขึ้น
แนวทางดำเนินธุรกิจจากนี้ไปจะมุ่งเน้นการพัฒนาอาหารไทยใหม่ๆออกสู่ตลาดต่อเนื่องในแบรนด์ต่างๆ ทั้งแบรนด์เก่าที่มีอยู่และแบรนด์ใหม่ โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทานหรือชีลฟู้ด ซึ่งบริษัทฯเคยทำตลาดเมื่อ 2 ปีก่อนแต่ได้หยุดไป ขณะนี้จะกลับมาทำเต็มที่อีกครั้ง เช่น เมนูขาหมู หมูแดง เป็นต้น หรือการขยายตลาดซีสแน็ค ตลาดเนื้อไก่ ในรูปแบบพร้อมทานหรือสแน็คมากขึ้น จากเดิมที่มีตลาดเนื้อหมูเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มบางส่วนเท่านั้นในโรงงานเดิมหลัก 3 แห่งคือ กิ่งแก้ว มหาชัยและนครปฐม และมีฟาร์มอยู่ที่นครราชสีมา
ปัจจุบันบริษัทฯมีสินค้าหลายแบรนด์เช่น ส.ขอนแก่น, บ้านไผ่, หมูดี, หมูแชมป์, แหนมห้วยแก้ว, อองเทร่ เป็นต้น ที่จับกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกันไปในหลายระดับราคา รวมทั้งจะมีแบรนด์ใหม่อีกหลายแบรนด์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในอีก 2 เดือนจากนี้บริษัทฯมีแผนรุกตลาดซีสแน็กด้วยซึ่งผลิตจากโรงงานที่มหาชัยและยังได้รับมาตรฐานฮาลาลด้วย โดยเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบ ปลาแผ่นกรอบ กุ้งแผ่นกรอบ รสต้มยำ รสคลาสสิค โดยเตรียมชื่อไว้ 2 แบรนด์ทำตลาดพร้อมกันคือ 1.ยูมิ 2.ไคเซน และยังรุกตลาด ลูกชิ้นปลาส่งออกไปอเมริกาด้วยชื่อว่า ไคเซน และ แต้จิ๋ว
ทั้งนี้บริษัทฯวางเป้าหมายยอดขายของบริษัทฯปีนี้ไว้ที่ 800 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ประมาณ 70 ล้านบาทหรือเติบโต 5-6% ส่วนรายได้รวมทั้งกลุ่มปีนี้ตั้งไว้ที่ 1,200 ล้านบาท โดยในประเทศเป็นตลาดหลัก 90% และตลาดส่งออกเพียง 10% เท่านั้น
สำหรับแบรนด์อองเทร่นั้น หลังจากทำตลาดมาได้ประมาณปีเศษแล้วพบว่า ตลาดตอบรับดีมาก โดยมียอดขายประมาณ 70 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว และตั้งเป้าหมายยอดขายจากนี้ไปอีก 1 ปีจะได้ 200 ล้านบาท พร้อมกับการทำตลาดเต็มที่ เช่น การออกรสชาติใหม่เพื่อตอบสนองกระแสรักสุขภาพ 2 รสชาติคือ โรยงาขาวและโรยสาหร่ายโนริ จากเดิมที่มี 3 รสชาติคือ คลาสสิก, กระเทียมพริกไทย, น้ำพริกเผาตลอดจนการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดย 3 เดือนหลังปีนี้จะใช้งบประมาณ 10 ล้านบาทในการทำโฆษณา และงบประชาสัมพันธ์อีก 5 ล้านบาท การทำกิจกรรม ณ จุดขาย โรดโชว์ในต่างจังหวัด ในโมเดิร์นเทรดทั้งหลาย เป็นต้น
ขณะเดียวกันจะออกไซส์ใหม่ขนาดราคา 10 บาทเพื่อขยายช่องทางร้านค้าทั่วไป จากเดิมมีเพียงขนาดเดียวคือ 20 บาท เน้นขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ส่วนขนาดกระป๋องนั้นเป็นสินค้าตามฤดูกาล โดยที่ อองเทร่ นั้นยังไม่มีคู่แข่งที่ชัดเจน ในตลาดสแน็คที่มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 12,000 ล้านบาท