เช้าตรู่ ของวันที่ 26 กรกฎาคม 2550 เป็นวันพฤหัสบดี ที่ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพราะมีเวรประจำสัปดาห์ที่ต้องรับผิดชอบ จัดรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ขณะขับรถไปทำงานที่สำนักงานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ไม่รู้ว่ามีแรงบันดาลใจจากสิ่งใด ทำให้ ผมเปลี่ยนเส้นทางจากที่เคยใช้เป็นปกติ หันไปใช้เส้นทางถนนราชดำเนินโดยวิ่งผ่านกระทรวงเกษตรฯ
ภาพที่เคยเห็นคุ้นตา ปรากฏขึ้นเป็นเค้าลาง ท่ามกลางแสงสลัวยามเช้ามืด
ภาพผู้คนที่มองปราดเดียวก็ย่อมรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นคนต่างจังหวัด
การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงอาชีพที่เป็นคนเลี้ยงโลก สร้างแผ่นดิน
ผิวกายที่หยาบกร้าน ด้วยการที่ทั้งชีวิต ต้องตรากตรำทำงานหนัก
การเดินเหินบนถนนคอนกรีต ดูหยิบโย่งเพราะไม่คุ้นเคย พี่น้องเหล่านั้นมักเดินตามกันเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง โดยมิพักต้องนัดหมายหรือให้ใครมาจัดแถว เพราะเขาคุ้นชินกับการเดินและใช้ชีวิตในชนบท ที่ต้องเดินบนหัวไร่ปลายนา น้อยครั้งมากที่เขาจะมาใช้สิทธิเดินบนถนนอันรโหฐาน ซึ่งใจกลางของศูนย์กลางอำนาจรัฐ ที่จะบันดาลความถูกผิด ชั่วดี หรือแม้กระทั่งกำหนดชะตากรรม วิถีชีวิต ของสัตว์มนุษย์ที่จะให้อยู่ หรือจะให้รอด หรือจะให้เป็นทาส เป็นไพร่ เป็นสัตว์สังคมที่เป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่มีลมหายใจ ทำให้วงจรแห่งการเสพเสวยสุขของสัตว์กลุ่มหนึ่งมีห่วงโซ่ในการกดขี่ขูดรีดอย่างสมบูรณ์
เกิดเป็นผู้คนในสังคมไทย เป็นได้แค่นี้หรือ
คุณค่าของความเป็นมนุษย์ มันช่างมีช่องว่าง และไม่มีวันเสมอภาคเลยหรือ
และที่สำคัญ คำจำกัดความที่ถูกหล่อหลอม ยัดเหยียด หลอกให้ผู้คนในสังคมนี้เชื่อว่า
จงภูมิใจ ในการเกิดมาเป็นคนไทย ที่มีความเป็นไท.....
ไม่ได้เป็นทาส ใคร......
มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ......
คำตอบ....เชื่อว่า ทุกคนตอบได้หากมีวิญญาณที่เป็นเสรีชน
ภาพของพี่น้องชาวไร่ ชาวนา ที่หอบข้าวของสัมภาระพะรุงพะรัง นอกจากข้าวสาร อาหารแห้งแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนถือแน่นอยู่ในมือ
คือสัญญาทาส และคำพิพากษาของศาล ที่ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายลงไปสัมผัส บางคนเชื่อได้ว่า แม้แต่ต้นข้าวก็อาจยังไม่รู้จัก
พวกเขารู้จักแต่กติกา กฎ ระเบียบ เมื่อผิดนัดชำระ ไม่สามารถคืนเงินต้น และส่งดอกเบี้ยมหาโหดได้ ก็ใช้อำนาจที่แอบอ้างว่าชอบธรรม ยึดๆๆ แล้วก็นำมาขายใช้หนี้นายเงินหน้าเลือด โดยไม่สนใจว่าพี่น้องเหล่านั้นจะประสบชะตากรรมอย่างไร
ใช่สิ....คนเหล่านั้นไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ เป็นชาวไร่ชาวนา
นี่คือโลกของความเป็นจริง
ไม่ว่าจะเป็น
รัฐประชาธิปไตยจอมปลอม
รัฐเผด็จการทหาร
รัฐสามานย์ทุนนิยมผูกขาด
หรือรัฐอมาตยธิปไตยที่กำลังเบ่งบาน
ก็ยังไม่เห็นวิสัยทัศน์ หรือความจริงใจ ในการเข้าไปแก้และปฏิรูปสังคมคืนความเป็นคน
คืนความเป็นมนุษย์ คืนฐานะที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี
คืนฐานะทางชนชั้นที่สร้างโลก สร้างประเทศ
ให้กับพี่น้องชาวไร่ ชาวนาเหล่านั้น
อย่ามีแต่คำเยินยอที่สามานย์
ในยุดเผด็จการ คงจำได้คำพูดที่สวยหรู กรอกหูทุกเช้าค่ำ
“ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ”
สันหลังที่ผุลงทุกวัน ใช่ไหม?
ในยุคสามานย์ทุนนิยมผูกขาด คำโฆษณาที่ยังดังก้อง แต่หาสาระไม่ได้
“เราจะเป็นครัวของโลก”
ถามว่าโลกของใคร? ช่วยกันตอบหน่อย
มาถึงยุคอมาตยธิปไตย อยู่อย่างพอเพียงดีไหม?
ยอมๆ กันไปเถอะ
มีน้อยใช้ค่อยบรรจง มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท
ไปตลาดอย่าลืมแวะเซเว่นและโลตัส
นี้หรือ...
คือทางรอดของสังคม......มันช่างไม่มีอนาคตจริงๆ
ถึงวันนี้ รัฐจะเอาอย่างไร หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
การลุกขึ้นมาทวงถามถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐ ที่จะต้องดูแลและจัดการแก้ปัญหาของพี่น้องชาวไร่ชาวนา เป็นความชอบธรรม
การขอสิทธิในทางกฎหมาย ที่จะรวมตัวกัน สร้างองค์กรของเกษตรกร ให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
วันนี้ พี่น้องชาวไร่ชาวนาต้องการที่ดิน ปัจจัยการผลิต และขอสิทธิในการทำเกษตรกรรมแบบรวมหมู่
สถาบันการศึกษาด้านการเกษตร หน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะกรมส่งเสริมวิชาการ ที่ทำหน้าที่เป็นทาส ของบริษัทผูกขาดที่หากินบนหยาดเหงื่อของเกษตรกร
หยุดได้ไหม ที่จะทำตัวเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาท
ดูเหมือนเจตนาจะดี แต่เบื้องลึกแอบแฝงด้วยผลประโยชน์
จริงหรือไม่?
คำกล่าว ของสาธารณชนที่ว่า
ความยากจนของเกษตร คือลาภอันประเสริฐของข้าราชการชั่ว และพ่อค้าที่เลวทราม
สหกรณ์การเกษตร ภายใต้แอกของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็เลิกและยุบเสีย เปลืองงบประมาณ
วิญญาณของท่านปรีดี พนมยงค์ หากยังรับรู้ได้
ท่านคงเสียใจที่มีลูกหลานชั่ว แปรจิตเจตนาและอุดมการณ์ของสหกรณ์
ให้สามานย์ และเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ จนหมดความน่าเชื่อถือ
เชื่อหรือไม่?
สหกรณ์ ที่กล่าวอ้างว่า ประสบผลสำเร็จทุกวันนี้
คือสหกรณ์ ที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าปล่อยเงินกู้ ให้ธนาคารส่งเสริมการเกษตรกรและสหกรณ์ รวมทั้งเป็นเครื่องมือของนักการเมืองอุบาทว์ และข้าราชการชั่ว ในการคิดและเสนอโครงการเฉพาะกิจ ผ่องถ่ายงบประมาณผลาญเงินภาษีของประชาชน ในโครงการประกันราคาสินค้าการเกษตรและอีกสารพัดโครงการ
ดังนั้นจึงไม่แปลก เกษตรกรที่มาชุมนุมกันในวันนี้ ส่วนใหญ่ คือสมาชิกสหกรณ์ ที่ถูกหลอกให้ตกอยู่ภายใต้ระบบสินเชื่อที่ดอกเบี้ยแพงมหาโหด
ข้อมูลเหล่านี้ถามว่า นายกฯ สุรยุทธ์ รู้ไหม รัฐมนตรีธีระ รู้ไหม
ผมไม่ตอบ
แต่รู้อย่างหนึ่งว่า คนที่ผ่านโลกมากว่า 50 ปี หากไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของปัญหา เกษตรกรรม บ้านเราก็ช่างน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก
โดยเฉพาะ รัฐมนตรีธีระ ที่เป็นถึงอดีตอธิการบดี สถาบันการศึกษาด้านการเกษตร ที่บรรดายักษ์ใหญ่ เจ้าพ่อนักธุรกิจ ผูกขาดด้านการเกษตร ทั้งที่มีสัญชาติไทย และต่างชาติ เฝ้าฟูมฟัก สนับสนุน ดูแลมาอย่างต่อเนื่อง
คงปฏิเสธ ไม่ได้ดอกว่า หากจะแก้ปัญหาการเกษตร บ้านเราควรเริ่มจากจุดใด ขอเพียงแต่ว่า วันนี้ท่านกล้าพอหรือยังที่ปรับเปลี่ยนจุดยืน และทรยศต่อสิ่งที่คุ้นชิน
หันมายืนอยู่เคียงข้างผลประโยชน์ของพี่น้องชาวไร่ชาวนา
บั้นปลายชีวิต น่าจะมีความสุขยิ่งนัก
หากได้ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ
อย่าให้เป็นความฝันเลย...สงสารพี่น้องชาวไร่ชาวนาบ้างเถอะ..
ที่สำคัญ...ความอดกลั้นของมนุษย์มีขีดจำกัด
ไม่อยากเห็น .....ไม่อยากได้ยิน....
บทเพลง “จดหมายจากชาวนา”
“อย่าให้เฮาต้องลุกฮือถือปืน”
ภาพที่เคยเห็นคุ้นตา ปรากฏขึ้นเป็นเค้าลาง ท่ามกลางแสงสลัวยามเช้ามืด
ภาพผู้คนที่มองปราดเดียวก็ย่อมรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นคนต่างจังหวัด
การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงอาชีพที่เป็นคนเลี้ยงโลก สร้างแผ่นดิน
ผิวกายที่หยาบกร้าน ด้วยการที่ทั้งชีวิต ต้องตรากตรำทำงานหนัก
การเดินเหินบนถนนคอนกรีต ดูหยิบโย่งเพราะไม่คุ้นเคย พี่น้องเหล่านั้นมักเดินตามกันเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง โดยมิพักต้องนัดหมายหรือให้ใครมาจัดแถว เพราะเขาคุ้นชินกับการเดินและใช้ชีวิตในชนบท ที่ต้องเดินบนหัวไร่ปลายนา น้อยครั้งมากที่เขาจะมาใช้สิทธิเดินบนถนนอันรโหฐาน ซึ่งใจกลางของศูนย์กลางอำนาจรัฐ ที่จะบันดาลความถูกผิด ชั่วดี หรือแม้กระทั่งกำหนดชะตากรรม วิถีชีวิต ของสัตว์มนุษย์ที่จะให้อยู่ หรือจะให้รอด หรือจะให้เป็นทาส เป็นไพร่ เป็นสัตว์สังคมที่เป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่มีลมหายใจ ทำให้วงจรแห่งการเสพเสวยสุขของสัตว์กลุ่มหนึ่งมีห่วงโซ่ในการกดขี่ขูดรีดอย่างสมบูรณ์
เกิดเป็นผู้คนในสังคมไทย เป็นได้แค่นี้หรือ
คุณค่าของความเป็นมนุษย์ มันช่างมีช่องว่าง และไม่มีวันเสมอภาคเลยหรือ
และที่สำคัญ คำจำกัดความที่ถูกหล่อหลอม ยัดเหยียด หลอกให้ผู้คนในสังคมนี้เชื่อว่า
จงภูมิใจ ในการเกิดมาเป็นคนไทย ที่มีความเป็นไท.....
ไม่ได้เป็นทาส ใคร......
มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ......
คำตอบ....เชื่อว่า ทุกคนตอบได้หากมีวิญญาณที่เป็นเสรีชน
ภาพของพี่น้องชาวไร่ ชาวนา ที่หอบข้าวของสัมภาระพะรุงพะรัง นอกจากข้าวสาร อาหารแห้งแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนถือแน่นอยู่ในมือ
คือสัญญาทาส และคำพิพากษาของศาล ที่ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายลงไปสัมผัส บางคนเชื่อได้ว่า แม้แต่ต้นข้าวก็อาจยังไม่รู้จัก
พวกเขารู้จักแต่กติกา กฎ ระเบียบ เมื่อผิดนัดชำระ ไม่สามารถคืนเงินต้น และส่งดอกเบี้ยมหาโหดได้ ก็ใช้อำนาจที่แอบอ้างว่าชอบธรรม ยึดๆๆ แล้วก็นำมาขายใช้หนี้นายเงินหน้าเลือด โดยไม่สนใจว่าพี่น้องเหล่านั้นจะประสบชะตากรรมอย่างไร
ใช่สิ....คนเหล่านั้นไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ เป็นชาวไร่ชาวนา
นี่คือโลกของความเป็นจริง
ไม่ว่าจะเป็น
รัฐประชาธิปไตยจอมปลอม
รัฐเผด็จการทหาร
รัฐสามานย์ทุนนิยมผูกขาด
หรือรัฐอมาตยธิปไตยที่กำลังเบ่งบาน
ก็ยังไม่เห็นวิสัยทัศน์ หรือความจริงใจ ในการเข้าไปแก้และปฏิรูปสังคมคืนความเป็นคน
คืนความเป็นมนุษย์ คืนฐานะที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี
คืนฐานะทางชนชั้นที่สร้างโลก สร้างประเทศ
ให้กับพี่น้องชาวไร่ ชาวนาเหล่านั้น
อย่ามีแต่คำเยินยอที่สามานย์
ในยุดเผด็จการ คงจำได้คำพูดที่สวยหรู กรอกหูทุกเช้าค่ำ
“ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ”
สันหลังที่ผุลงทุกวัน ใช่ไหม?
ในยุคสามานย์ทุนนิยมผูกขาด คำโฆษณาที่ยังดังก้อง แต่หาสาระไม่ได้
“เราจะเป็นครัวของโลก”
ถามว่าโลกของใคร? ช่วยกันตอบหน่อย
มาถึงยุคอมาตยธิปไตย อยู่อย่างพอเพียงดีไหม?
ยอมๆ กันไปเถอะ
มีน้อยใช้ค่อยบรรจง มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท
ไปตลาดอย่าลืมแวะเซเว่นและโลตัส
นี้หรือ...
คือทางรอดของสังคม......มันช่างไม่มีอนาคตจริงๆ
ถึงวันนี้ รัฐจะเอาอย่างไร หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
การลุกขึ้นมาทวงถามถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐ ที่จะต้องดูแลและจัดการแก้ปัญหาของพี่น้องชาวไร่ชาวนา เป็นความชอบธรรม
การขอสิทธิในทางกฎหมาย ที่จะรวมตัวกัน สร้างองค์กรของเกษตรกร ให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
วันนี้ พี่น้องชาวไร่ชาวนาต้องการที่ดิน ปัจจัยการผลิต และขอสิทธิในการทำเกษตรกรรมแบบรวมหมู่
สถาบันการศึกษาด้านการเกษตร หน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะกรมส่งเสริมวิชาการ ที่ทำหน้าที่เป็นทาส ของบริษัทผูกขาดที่หากินบนหยาดเหงื่อของเกษตรกร
หยุดได้ไหม ที่จะทำตัวเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาท
ดูเหมือนเจตนาจะดี แต่เบื้องลึกแอบแฝงด้วยผลประโยชน์
จริงหรือไม่?
คำกล่าว ของสาธารณชนที่ว่า
ความยากจนของเกษตร คือลาภอันประเสริฐของข้าราชการชั่ว และพ่อค้าที่เลวทราม
สหกรณ์การเกษตร ภายใต้แอกของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็เลิกและยุบเสีย เปลืองงบประมาณ
วิญญาณของท่านปรีดี พนมยงค์ หากยังรับรู้ได้
ท่านคงเสียใจที่มีลูกหลานชั่ว แปรจิตเจตนาและอุดมการณ์ของสหกรณ์
ให้สามานย์ และเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ จนหมดความน่าเชื่อถือ
เชื่อหรือไม่?
สหกรณ์ ที่กล่าวอ้างว่า ประสบผลสำเร็จทุกวันนี้
คือสหกรณ์ ที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าปล่อยเงินกู้ ให้ธนาคารส่งเสริมการเกษตรกรและสหกรณ์ รวมทั้งเป็นเครื่องมือของนักการเมืองอุบาทว์ และข้าราชการชั่ว ในการคิดและเสนอโครงการเฉพาะกิจ ผ่องถ่ายงบประมาณผลาญเงินภาษีของประชาชน ในโครงการประกันราคาสินค้าการเกษตรและอีกสารพัดโครงการ
ดังนั้นจึงไม่แปลก เกษตรกรที่มาชุมนุมกันในวันนี้ ส่วนใหญ่ คือสมาชิกสหกรณ์ ที่ถูกหลอกให้ตกอยู่ภายใต้ระบบสินเชื่อที่ดอกเบี้ยแพงมหาโหด
ข้อมูลเหล่านี้ถามว่า นายกฯ สุรยุทธ์ รู้ไหม รัฐมนตรีธีระ รู้ไหม
ผมไม่ตอบ
แต่รู้อย่างหนึ่งว่า คนที่ผ่านโลกมากว่า 50 ปี หากไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของปัญหา เกษตรกรรม บ้านเราก็ช่างน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก
โดยเฉพาะ รัฐมนตรีธีระ ที่เป็นถึงอดีตอธิการบดี สถาบันการศึกษาด้านการเกษตร ที่บรรดายักษ์ใหญ่ เจ้าพ่อนักธุรกิจ ผูกขาดด้านการเกษตร ทั้งที่มีสัญชาติไทย และต่างชาติ เฝ้าฟูมฟัก สนับสนุน ดูแลมาอย่างต่อเนื่อง
คงปฏิเสธ ไม่ได้ดอกว่า หากจะแก้ปัญหาการเกษตร บ้านเราควรเริ่มจากจุดใด ขอเพียงแต่ว่า วันนี้ท่านกล้าพอหรือยังที่ปรับเปลี่ยนจุดยืน และทรยศต่อสิ่งที่คุ้นชิน
หันมายืนอยู่เคียงข้างผลประโยชน์ของพี่น้องชาวไร่ชาวนา
บั้นปลายชีวิต น่าจะมีความสุขยิ่งนัก
หากได้ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ
อย่าให้เป็นความฝันเลย...สงสารพี่น้องชาวไร่ชาวนาบ้างเถอะ..
ที่สำคัญ...ความอดกลั้นของมนุษย์มีขีดจำกัด
ไม่อยากเห็น .....ไม่อยากได้ยิน....
บทเพลง “จดหมายจากชาวนา”
“อย่าให้เฮาต้องลุกฮือถือปืน”