ผู้จัดการรายวัน-“ขนมเปี๊ยะบางเลน” ขึ้นชื่อความอร่อยมายาวนาน แม้ปัจจุบันจะมีผู้ผลิตหลายรายแอบอ้างว่าเป็นต้นตำรับ ทว่า ตัวจริง เสียงจริง คือ ร้าน “เฮ่งเฮียง” ซึ่งนับถึงวันนี้มีอายุกว่า 80 ปีแล้ว สืบทอดกิจการจากรุ่นพ่อสู่ทายาท โดยคงรักษาความอร่อยที่ลูกค้ายอมรับได้เสมอมา
ปพิชา อภินันทนกูล ทายาทผู้ดูแลกิจการขนมเปี๊ยะเฮ่งเฮียงในปัจจุบัน เล่าให้ฟังว่า พ่อของเธอ (นายเชียง อื้อ) เกิดในชุมชนที่เป็นแหล่งผลิตขนมขึ้นชื่อของประเทศจีน ก่อนจะหิ้วเสื่อหมอนใบมาอยู่เมืองไทย เปิดร้านขายขนมเปี๊ยะ “เฮ่งเฮียง” ในตลาดบางเลน จ.นครปฐม เมื่อกว่า 80 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นร้านแรกในชุมชนแห่งนี้ และอยู่ยาวนานถึงทุกวันนี้
สิ่งที่ทำให้ขนมเปี๊ยะของร้านครองใจลูกค้ามาตลอด คือ รสชาติความอร่อย มีเคล็ดลับเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดี ทำสดใหม่วันต่อวัน ไม่ใส่สารกันบูดใดๆ ทั้งสิ้น และสำคัญที่สุดเป็นสูตรดั้งเดิมของรุ่นพ่อที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อชิมแล้ว จะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากเจ้าอื่นชัดเจน
ถึงจะยึดมั่นสูตรขนมดั้งเดิม ก็ไม่ได้หมายความจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม เธอพัฒนาให้สินค้าเดินควบคู่กันไปได้ระหว่างแนวอนุรักษ์ กับพัฒนาตอบรับความต้องการของตลาดยุคใหม่ เช่น ทำบรรจุภัณฑ์สวยงม เหมาะเป็นของฝากของขวัญ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน หรือในพิธีแต่งงาน รวมถึง จัดขนมเป็นชุด และปรับขนาดให้ชิ้นเล็กลง กินง่ายขึ้น พอดีคำ เหมาะสำหรับชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่
อีกทั้ง ประยุกต์และเพิ่มเติมไส้ขนมเปี๊ยะใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เช่น ไส้กุ้ง ไส้ธัญพืช ไส้ฟักปนไข่เค็ม เป็นต้น นอกเหนือจาก 4 ไส้ดั้งเดิม ที่ประกอบด้วย ไส้ถั่วเหลือง ไส้ถั่วดำ ไส้ฟัก และไส้เค็ม ขณะเดียวกัน ขนมโบราณต่างๆ ก็ยังมีบริการครบถ้วน กว่า 20 ชนิด เช่น ขนมปลา ขนมใบไม้ ขนมโก๋ ขนมโก๋อ่อน ถั่วตัด งาตัด คอเป็ด แป้งกวนเหม่งทึ้ง ขนมกวางตุ้ง เป็นต้น ทุกชนิดสามารถเก็บไว้กินได้ประมาณ 7 – 15 วัน
ปพิชา ระบุว่า เคยมีความคิดจะเปลี่ยนชื่อแบรนด์ รวมถึงปรับโฉมให้ทันสมัยเหมือนกับขนมเปี๊ยะตลาดบนหลายราย แต่เมื่อย้อนกลับมามองจุดเด่นที่แท้จริงของตัวเอง อยู่ที่ความอร่อยจากสูตรแก่เก่า ดังนั้น เธอจึงกลับมายึดจะรักษาเอกลักษณ์ของขนมเปี๊ยะบางเลนไว้ วางตำแหน่งการค้า ให้เป็นขนมสำหรับลูกค้าระดับกลางกึ่งบน ที่ซื้อเพราะต้องการกินขนมที่อร่อยมากกว่าจะซื้อเพราะรูปลักษณ์ภายนอก
“หลังจากที่ดิฉันมารับช่วงได้สัก 15 ปี เคยมีความคิดจะปรับรูปแบบ เปลี่ยนชื่อใหม่ ให้เรียกง่ายๆ ทันสมัยตามกระแสนิยม หรือเลิกรูปแบบที่ต้องตีตราอักษรจีนสีแดง แต่เวลาคิดถึงเตี่ย ก็รู้สึกทำไม่ลง เพราะนี่คือ เอกลักษณ์ที่เตี่ยสร้างมา และถึงวันนี้ มันพิสูจน์ว่า สิ่งที่เรารักษาไว้ คือ คุณค่าที่ลูกค้าเชื่อถือ” ปพิชา กล่าวและอธิบายต่อว่า
“เราตั้งอุดมการณ์ว่า จะขายตัวขนมเปี๊ยะ ในระดับราคาที่เหมาะสม ไม่ได้ขายความรู้สึก หรือขายแค่บรรจุภัณฑ์สวยๆ ถึงเราจะมีบรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ แต่ก็ออกแบบให้อยู่บนความเหมาะสมไม่จำเป็นต้องบวกค่าการตลาดสูงเกินไป เพราะยึดว่า จุดขายของเราคือ ตัวขนมจริงๆ” ปพิชา เผยทัศนะ
ปัจจุบัน การผลิตขนมเปี๊ยะของร้านใช้เครื่องจักรมาช่วยบ้าง เช่น การนวดแป้ง และกวนไส้ แต่ขั้นตอนส่วนใหญ่มากกว่า 80% ยังจำเป็นต้องใช้แรงงานคน ถึงจะมีข้อเสียที่จะผลิตขนมได้ช้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อดีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ไม่สามารถลงมาแย่งตลาดนี้ไปได้ เพราะการผลิตในแบบโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำด้วยเครื่องจักรครั้งละมากๆ จะกระทบรสชาติให้ผิดเพี้ยน
ด้านช่องทางจำหน่ายขนมเปี๊ยะเฮ่งเฮียง ตลาดต่างจังหวัดส่งให้ร้านตัวแทนจำหน่าย ใน จ.นครปฐม สุพรรณบุรี เป็นต้น ส่วนตลาดกรุงเทพฯ มีหน้าร้านของตัวเองที่ เจ เจ มอลล์ และไปออกร้านตามสถานที่ราชการหลายๆ แห่ง เช่น ตลาดนัดวันอังคารที่กรมวิชาการเกษตร วันพฤหัสบดีที่กระทรวงการคลัง วันศุกร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา และกรมประมง เป็นต้น มียอดขายประมาณ 300,000 บาทต่อเดือน
ส่วนกรณีที่มีผู้ผลิตหลายรายแอบอ้างชื่อขนมเปี๊ยะบางเลนนั้น ปพิชา ระบุว่า ช่วงแรกมีปัญหาลูกค้าสับสน ไม่รู้ว่า ต้นตำรับแท้จริงคือใครกันแน่ แต่หลังจากลูกค้าได้ลองกินจากหลายๆ เจ้า ในที่สุด ก็จะรู้ว่า รสชาติของเฮ่งเฮียงแตกต่างจากรายที่อ้างชื่อชัดเจน ช่วยส่งผลดีให้เวลานี้ ลูกค้าจะเจาะจงยี่ห้อเฮ่งเฮียง จากเดิมจำแค่ขนมเปี้ยะบางเลน
ด้านเงินทุนดำเนินธุรกิจ ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารภาครัฐ อย่างธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ซึ่งนอกจากจะให้สินเชื่อแล้ว ทางธนาคารยังส่งเข้าโครงการอบรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด การลดต้นทุน รวมถึง พาไปออกงานแสดงสินค้า ช่วยเพิ่มช่องทางจำหน่ายมากยิ่งขึ้น
ทายาทธุรกิจ ทิ้งท้ายว่า ในอนาคตจะพยายามพัฒนาขนมเปี๊ยะให้เป็นอาหารว่างสำหรับคนรุ่นใหม่ ปรับปรุงโรงงานเข้ามาตรฐานสากล และสร้างแบรนด์เฮ่งเฮียงให้ลูกค้าทั่วไป รู้ว่าเป็นต้นตำรับขนมเปี๊ยะบางเลนตัวจริง และสิ่งสำคัญที่สุด จะต้องรักษาสูตรดั้งเดิมจากรุ่นพ่อให้อยู่สืบทอดต่อไป
โทร.0-2889-4260 , 08-9444-2107
ปพิชา อภินันทนกูล ทายาทผู้ดูแลกิจการขนมเปี๊ยะเฮ่งเฮียงในปัจจุบัน เล่าให้ฟังว่า พ่อของเธอ (นายเชียง อื้อ) เกิดในชุมชนที่เป็นแหล่งผลิตขนมขึ้นชื่อของประเทศจีน ก่อนจะหิ้วเสื่อหมอนใบมาอยู่เมืองไทย เปิดร้านขายขนมเปี๊ยะ “เฮ่งเฮียง” ในตลาดบางเลน จ.นครปฐม เมื่อกว่า 80 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นร้านแรกในชุมชนแห่งนี้ และอยู่ยาวนานถึงทุกวันนี้
สิ่งที่ทำให้ขนมเปี๊ยะของร้านครองใจลูกค้ามาตลอด คือ รสชาติความอร่อย มีเคล็ดลับเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดี ทำสดใหม่วันต่อวัน ไม่ใส่สารกันบูดใดๆ ทั้งสิ้น และสำคัญที่สุดเป็นสูตรดั้งเดิมของรุ่นพ่อที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อชิมแล้ว จะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากเจ้าอื่นชัดเจน
ถึงจะยึดมั่นสูตรขนมดั้งเดิม ก็ไม่ได้หมายความจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม เธอพัฒนาให้สินค้าเดินควบคู่กันไปได้ระหว่างแนวอนุรักษ์ กับพัฒนาตอบรับความต้องการของตลาดยุคใหม่ เช่น ทำบรรจุภัณฑ์สวยงม เหมาะเป็นของฝากของขวัญ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน หรือในพิธีแต่งงาน รวมถึง จัดขนมเป็นชุด และปรับขนาดให้ชิ้นเล็กลง กินง่ายขึ้น พอดีคำ เหมาะสำหรับชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่
อีกทั้ง ประยุกต์และเพิ่มเติมไส้ขนมเปี๊ยะใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เช่น ไส้กุ้ง ไส้ธัญพืช ไส้ฟักปนไข่เค็ม เป็นต้น นอกเหนือจาก 4 ไส้ดั้งเดิม ที่ประกอบด้วย ไส้ถั่วเหลือง ไส้ถั่วดำ ไส้ฟัก และไส้เค็ม ขณะเดียวกัน ขนมโบราณต่างๆ ก็ยังมีบริการครบถ้วน กว่า 20 ชนิด เช่น ขนมปลา ขนมใบไม้ ขนมโก๋ ขนมโก๋อ่อน ถั่วตัด งาตัด คอเป็ด แป้งกวนเหม่งทึ้ง ขนมกวางตุ้ง เป็นต้น ทุกชนิดสามารถเก็บไว้กินได้ประมาณ 7 – 15 วัน
ปพิชา ระบุว่า เคยมีความคิดจะเปลี่ยนชื่อแบรนด์ รวมถึงปรับโฉมให้ทันสมัยเหมือนกับขนมเปี๊ยะตลาดบนหลายราย แต่เมื่อย้อนกลับมามองจุดเด่นที่แท้จริงของตัวเอง อยู่ที่ความอร่อยจากสูตรแก่เก่า ดังนั้น เธอจึงกลับมายึดจะรักษาเอกลักษณ์ของขนมเปี๊ยะบางเลนไว้ วางตำแหน่งการค้า ให้เป็นขนมสำหรับลูกค้าระดับกลางกึ่งบน ที่ซื้อเพราะต้องการกินขนมที่อร่อยมากกว่าจะซื้อเพราะรูปลักษณ์ภายนอก
“หลังจากที่ดิฉันมารับช่วงได้สัก 15 ปี เคยมีความคิดจะปรับรูปแบบ เปลี่ยนชื่อใหม่ ให้เรียกง่ายๆ ทันสมัยตามกระแสนิยม หรือเลิกรูปแบบที่ต้องตีตราอักษรจีนสีแดง แต่เวลาคิดถึงเตี่ย ก็รู้สึกทำไม่ลง เพราะนี่คือ เอกลักษณ์ที่เตี่ยสร้างมา และถึงวันนี้ มันพิสูจน์ว่า สิ่งที่เรารักษาไว้ คือ คุณค่าที่ลูกค้าเชื่อถือ” ปพิชา กล่าวและอธิบายต่อว่า
“เราตั้งอุดมการณ์ว่า จะขายตัวขนมเปี๊ยะ ในระดับราคาที่เหมาะสม ไม่ได้ขายความรู้สึก หรือขายแค่บรรจุภัณฑ์สวยๆ ถึงเราจะมีบรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ แต่ก็ออกแบบให้อยู่บนความเหมาะสมไม่จำเป็นต้องบวกค่าการตลาดสูงเกินไป เพราะยึดว่า จุดขายของเราคือ ตัวขนมจริงๆ” ปพิชา เผยทัศนะ
ปัจจุบัน การผลิตขนมเปี๊ยะของร้านใช้เครื่องจักรมาช่วยบ้าง เช่น การนวดแป้ง และกวนไส้ แต่ขั้นตอนส่วนใหญ่มากกว่า 80% ยังจำเป็นต้องใช้แรงงานคน ถึงจะมีข้อเสียที่จะผลิตขนมได้ช้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อดีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ไม่สามารถลงมาแย่งตลาดนี้ไปได้ เพราะการผลิตในแบบโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำด้วยเครื่องจักรครั้งละมากๆ จะกระทบรสชาติให้ผิดเพี้ยน
ด้านช่องทางจำหน่ายขนมเปี๊ยะเฮ่งเฮียง ตลาดต่างจังหวัดส่งให้ร้านตัวแทนจำหน่าย ใน จ.นครปฐม สุพรรณบุรี เป็นต้น ส่วนตลาดกรุงเทพฯ มีหน้าร้านของตัวเองที่ เจ เจ มอลล์ และไปออกร้านตามสถานที่ราชการหลายๆ แห่ง เช่น ตลาดนัดวันอังคารที่กรมวิชาการเกษตร วันพฤหัสบดีที่กระทรวงการคลัง วันศุกร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา และกรมประมง เป็นต้น มียอดขายประมาณ 300,000 บาทต่อเดือน
ส่วนกรณีที่มีผู้ผลิตหลายรายแอบอ้างชื่อขนมเปี๊ยะบางเลนนั้น ปพิชา ระบุว่า ช่วงแรกมีปัญหาลูกค้าสับสน ไม่รู้ว่า ต้นตำรับแท้จริงคือใครกันแน่ แต่หลังจากลูกค้าได้ลองกินจากหลายๆ เจ้า ในที่สุด ก็จะรู้ว่า รสชาติของเฮ่งเฮียงแตกต่างจากรายที่อ้างชื่อชัดเจน ช่วยส่งผลดีให้เวลานี้ ลูกค้าจะเจาะจงยี่ห้อเฮ่งเฮียง จากเดิมจำแค่ขนมเปี้ยะบางเลน
ด้านเงินทุนดำเนินธุรกิจ ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารภาครัฐ อย่างธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ซึ่งนอกจากจะให้สินเชื่อแล้ว ทางธนาคารยังส่งเข้าโครงการอบรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด การลดต้นทุน รวมถึง พาไปออกงานแสดงสินค้า ช่วยเพิ่มช่องทางจำหน่ายมากยิ่งขึ้น
ทายาทธุรกิจ ทิ้งท้ายว่า ในอนาคตจะพยายามพัฒนาขนมเปี๊ยะให้เป็นอาหารว่างสำหรับคนรุ่นใหม่ ปรับปรุงโรงงานเข้ามาตรฐานสากล และสร้างแบรนด์เฮ่งเฮียงให้ลูกค้าทั่วไป รู้ว่าเป็นต้นตำรับขนมเปี๊ยะบางเลนตัวจริง และสิ่งสำคัญที่สุด จะต้องรักษาสูตรดั้งเดิมจากรุ่นพ่อให้อยู่สืบทอดต่อไป
โทร.0-2889-4260 , 08-9444-2107