.
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คือการปกครองที่ประชาชนมีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่เนื่องจากประชากรมีมากจึงต้องใช้วิธีการเลือกตัวแทน ตัวแทนเหล่านั้นจะทำหน้าที่ในการออกกฎหมายหรือเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ การบริหารประเทศหรือฝ่ายบริหาร และบางครั้งก็มีส่วนในการให้การอนุมัติในอำนาจตุลาการ นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีองค์กรต่างๆ อีกในสังคมที่ต้องได้รับการอนุมัติจากประชาชนในการใช้อำนาจที่เรียกว่า อำนาจรัฐ เช่น การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจึงต้องเดินตามกฎกติกาที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน กติกาดังกล่าวนั้นเรียกว่ารัฐธรรมนูญ ในประเทศอังกฤษซึ่งเป็นที่เริ่มต้นการปกครองแบบประชาธิปไตยในยุคใหม่ ที่เรียกว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา โดยมีตัวแทนที่เลือกโดยประชาชนมาเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ ซึ่งต่างจากระบบประชาธิปไตยโดยตรง (direct democracy) อย่างนครรัฐในกรีกโบราณ เป็นประเทศที่ไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นการเขียนประมวลเป็นเล่ม เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ใช้ประเพณีเป็นหลัก รวมทั้งใช้กฎหมายที่ตราขึ้นในแต่ละเรื่อง พูดง่ายๆ คือไม่มีกฎหมายแม่บทเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนสหรัฐอเมริกาเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่แม้ในสหรัฐอเมริกาเองก็ตามรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ยาวนัก ส่วนใหญ่ต้องใช้ประเพณีการปกครองโดยมีพื้นฐานมาจากหลักปรัชญาการปกครองแบบประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยของปวงชน สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การอยู่ในกรอบของกฎหมายที่เรียกว่า หลักนิติธรรม (the rule of law)
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจึงต้องมีความชอบธรรมทางการเมือง (political legitimacy) ซึ่งมีสองส่วนคือ ในส่วนที่เข้าสู่ตำแหน่งอำนาจ การเลือกตั้งต้องบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม เมื่อใดก็ตามที่การเลือกตั้งมีการใช้เงินซื้อเสียง มีการโกงการเลือกตั้งด้วยการใช้บัตรเลือกตั้งปลอมเพื่อเพิ่มจำนวน การนับคะแนนผิดโดยจงใจ หรือโดยวิธีการอื่นใด ความชอบธรรมในส่วนนี้จะไม่เกิดขึ้นแม้ไม่มีหลักฐานจับได้แน่ชัด แม้จะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งว่าถูกตามตามกฎหมาย (legality) แต่ในทางการเมืองย่อมไม่มีความชอบธรรม (legitimacy) ทั้งในส่วนของผู้ใช้เงินซื้อเสียงและในส่วนของประชาชนซึ่งไม่เชื่อผลการเลือกตั้งนั้น แต่ทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นเหตุหนึ่งทำให้ศรัทธาต่อระบบประชาธิปไตยเสื่อมคลายลง
ความชอบธรรมในส่วนที่สองคือ ผลการปฏิบัติงานของผู้ใช้อำนาจรัฐ (performance) ถ้าผู้ใช้อำนาจรัฐนั้นได้อำนาจมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีความชอบธรรมทางการเมือง บริหารประเทศด้วยความสามารถ แก้วิกฤตเศรษฐกิจให้ดีขึ้น รักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม ยกฐานะของระดับศีลธรรมจริยธรรมสูงขึ้น เพิ่มพูนความรู้และระดับการศึกษาของประชาชน ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยดำเนินไปอย่างถูกต้องตามครรลอง ทั้งถูกต้องตามกฎหมาย มีความชอบธรรมทางการเมือง มีหลักนิติธรรม ผู้ใช้อำนาจรัฐไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร หรือฝ่ายตุลาการที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะมีความชอบธรรมทางการเมืองทั้งสองมิติ คือ การเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจ และผลงานจากการใช้อำนาจรัฐ
การที่จะได้ความชอบธรรมในแง่ผลงานมีหลักการสำคัญคือ จะต้องเดินตามแนวปรัชญาการเมืองการบริหารอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นหลักการและวิธีปฏิบัติที่ต้องนำไปใช้ทั้งในส่วนของการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น และส่วนของการบริหารอันได้แก่ระบบราชการปรัชญาหรือหลักการนั้นคือหลักธรรมาภิบาล (good governance) ซึ่งประกอบด้วย 5 ข้อใหญ่ๆ คือ
(1) ความชอบธรรม (legitimacy)
(2) ความโปร่งใส (transparency)
(3) การมีส่วนร่วมของประชาชน (participation)
(4) ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้โดยประชาชน (accountability)
(5)ประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness)
ในส่วนของความชอบธรรมนั้นได้แก่ การบริหารประเทศในนโยบายใดก็ตามจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย และต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนว่ามีเหตุมีผล สมควรต่อการใช้งบประมาณนั้น โครงการหลายโครงการอาจจะถูกต้องตามกฎหมายแต่อาจจะไม่สมเหตุสมผล ก็จะขาดความชอบธรรม
ความโปร่งใส คือ กระบวนการทำงานที่ไม่มีการปกปิดข้อมูลนอกจากที่จำเป็น เปิดให้ทุกฝ่ายมีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งการเสนอตนเข้ามาประมูลงานของรัฐ ซึ่งความโปร่งใสนี้จะต้องครอบไปถึงกระบวนการทำงานของกลไกของรัฐทุกระดับทุกขั้นตอน
การมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการเมืองสมัยใหม่ที่ต้องเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ทำการประชาพิจารณ์ และบางครั้งลงประชามติ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าได้อาณัติจากประชาชนอย่างแท้จริง บางโครงการใหญ่เกินกว่าที่จะให้ตัวแทนของประชาชนเป็นผู้ตัดสินแทนประชาชน ต้องถามประชาชนโดยตรงด้วยการลงประชามติ เช่น การขุดคอคอดกระ เป็นต้น
ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้โดยประชาชน นั้น หมายถึง การที่ต้องสามารถตอบคำถามด้วยข้อมูล ด้วยเหตุด้วยผล ในโครงการใดๆ หรือการกระทำใดๆ เมื่อมีการตั้งคำถามโดยสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับงบประมาณในการก่อสร้าง การจัดซื้อจัดจ้าง เพราะ
ถ้าไม่สมเหตุสมผลย่อมนำไปสู่ความเข้าใจได้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
ประสิทธิภาพ ได้แก่ ความสามารถทำโครงการใดให้เสร็จและได้ผลได้ (output) ออกมา โดยใช้งบประมาณ เวลาน้อยกว่าผู้อื่น ส่วนประสิทธิผล คือ ผลลัพธ์ (outcome) คือผลที่ได้นั้นสอดคล้องกับความมุ่งหมายที่ตั้งไว้ เช่น การสร้างสะพานทางข้ามเพื่อแก้ปัญหาการจราจร อาจจะสร้างสะพานได้อย่างดีเยี่ยมด้วยราคาไม่แพง เสร็จก่อนกำหนด ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพดี แต่การทำให้จราจรคับคั่งน้อยลงกลับไร้ผลก็ต้องถือว่าไม่มีประสิทธิผล ซึ่งย่อมไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล
การปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งมีกระบวนการได้อำนาจทางการเมือง การใช้อำนาจรัฐ และการควบคุมการใช้อำนาจ จำเป็นต้องสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล อันได้แก่ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติ ที่สามารถแก้ปัญหาของสังคมและสามารถนำไปสู่การพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ในการบริหารประเทศนั้นมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอยู่ 5 ประเด็นที่จะนำไปสู่การเสียความชอบธรรมทางการเมือง อันจะนำไปสู่การสั่นคลอนศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้ใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งระบบประชาธิปไตย ได้แก่
1. Legitimacy (ความชอบธรรม) การได้อำนาจรัฐที่มาจากการซื้อเสียง ทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ย่อมจะขาดความชอบธรรมในส่วนที่เข้าสู่ตำแหน่งอำนาจรัฐตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
2. Corruption (การฉ้อราษฎร์บังหลวง) การบริหารประเทศเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้งบประมาณแผ่นดินในการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งการก่อสร้างหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง มีการใช้อำนาจรัฐส่งเสริมการทำธุรกิจของตนเอง ญาติโกโหติกาและพรรคพวก ด้วยการแก้กฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษี ฯลฯ รวมทั้งการบิดเบือนนโยบายที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ความจำเป็นและความเหมาะสม
3. Abuse of Power (การลุแก่อำนาจ) มีการละเมิดกฎหมายโดยไม่เกรงกลัวต่อผลเสียหายที่จะตามมา ทั้งในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม รวมทั้งจริยธรรมของสังคม การละเมิดกฎหมายในลักษณะลุแก่อำนาจ และการละเมิดต่อหลักนิติธรรม (the rule of law) ด้วยการตีความกฎหมายตะแบง ขยายอำนาจจนเกินขอบเขต แก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการหาผลประโยชน์ทางธุรกิจจนไม่คำนึงถึงความเสียหายที่มีต่อชาติ
นอกจากนี้ยังมีการทำลายโครงสร้างและกระบวนการของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ด้วยการทำให้อำนาจของฝ่ายบริหารกลายเป็นกลไกที่มีผู้สั่งการเพียงคนเดียว องค์กรควบคุมการใช้อำนาจทั้งหลาย รวมทั้งองค์กรที่คานอำนาจตกอยู่ในการครอบงำด้วยการแทรกแซงและการใช้อำนาจเงิน เพื่อให้คนที่อยู่ในอาณัติของตนดำรงตำแหน่งในองค์กรที่มีอำนาจควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้ย่อมจะนำไปสู่การเสียความชอบธรรมทางการเมืองและเสื่อมศรัทธาในระบบ
4. Nepotism and Cronyism (การเอื้อประโยชน์ต่อญาติโกโหติกาและพรรคพวก) การบริหารประเทศมิได้เป็นไปตามหลักคุณธรรม มีการเล่นพรรคเล่นพวก นำคนซึ่งมีปัญหาเรื่องจริยธรรม คุณธรรม ความสามารถ มาดำรงตำแหน่งจนทำให้ระบบการบริหารราชการประจำเกิดความเสียหาย เป็นการใช้ระบบอุปถัมภ์ในทางที่ผิด นำไปสู่ความเสียหายต่อสังคมในแง่จริยธรรม เศรษฐกิจและธุรกิจ ในแง่การแข่งขันโดยเสรีและระบบการเมืองการปกครองบริหาร
5. Immorality (พฤติกรรมของผู้ใช้อำนาจรัฐ) มีพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของสังคม เช่น มีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับคาวโลกีย์ และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของผู้นำ ดังเช่นที่มีความพยายามถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาออกจากตำแหน่งที่เพิ่งผ่านมานี้ เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นผู้นำ
กล่าวโดยสรุป ผู้ใช้อำนาจรัฐจะต้องเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีความชอบธรรมทางการเมือง ต้องไม่เป็นผู้ซึ่งละเมิดกฎหมาย ลุแก่อำนาจ กระทำการที่ขัดต่อหลักนิติธรรม มีพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อการเป็นผู้นำที่ใช้อำนาจรัฐอันสูงสุด โดยประชาชนให้ความไว้วางใจในความเป็นคนดี มีความเด็ดขาด มีความเป็นผู้นำที่ใช้หลักเหตุและผลในการบริหารประเทศ รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน โดยคัดสรรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีจริยธรรม มาร่วมงาน แต่ที่สำคัญที่สุด จะต้องไม่เป็นผู้ซึ่งใช้อำนาจรัฐและการตะแบงเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หาผลประโยชน์จากการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยการใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง การก่อสร้าง การเสนอโครงการที่เรียกว่าอภิมหาโครงการ หรือกลเม็ดเด็ดพรายใดเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน รวมทั้งตำแหน่งอำนาจและสถานะทางสังคมที่ไม่สอดคล้องกับความเหมาะสมแก่พรรคพวก และญาติโกโหติกา
ผู้ใช้อำนาจรัฐคนใดไม่สามารถจะธำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตย-ธรรมาภิบาล อาจจะดำรงอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีสัจธรรมแห่งโลกคือกฎแห่งกรรมได้ ผลที่ตามมาคือการตกจากตำแหน่งอำนาจ การสูญเสียทรัพย์ศฤงคาร เกียรติยศชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล ของบุคคลนั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้น ซึ่งมีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คือการปกครองที่ประชาชนมีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่เนื่องจากประชากรมีมากจึงต้องใช้วิธีการเลือกตัวแทน ตัวแทนเหล่านั้นจะทำหน้าที่ในการออกกฎหมายหรือเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ การบริหารประเทศหรือฝ่ายบริหาร และบางครั้งก็มีส่วนในการให้การอนุมัติในอำนาจตุลาการ นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีองค์กรต่างๆ อีกในสังคมที่ต้องได้รับการอนุมัติจากประชาชนในการใช้อำนาจที่เรียกว่า อำนาจรัฐ เช่น การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจึงต้องเดินตามกฎกติกาที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน กติกาดังกล่าวนั้นเรียกว่ารัฐธรรมนูญ ในประเทศอังกฤษซึ่งเป็นที่เริ่มต้นการปกครองแบบประชาธิปไตยในยุคใหม่ ที่เรียกว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา โดยมีตัวแทนที่เลือกโดยประชาชนมาเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ ซึ่งต่างจากระบบประชาธิปไตยโดยตรง (direct democracy) อย่างนครรัฐในกรีกโบราณ เป็นประเทศที่ไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นการเขียนประมวลเป็นเล่ม เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ใช้ประเพณีเป็นหลัก รวมทั้งใช้กฎหมายที่ตราขึ้นในแต่ละเรื่อง พูดง่ายๆ คือไม่มีกฎหมายแม่บทเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนสหรัฐอเมริกาเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่แม้ในสหรัฐอเมริกาเองก็ตามรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ยาวนัก ส่วนใหญ่ต้องใช้ประเพณีการปกครองโดยมีพื้นฐานมาจากหลักปรัชญาการปกครองแบบประชาธิปไตย และอำนาจอธิปไตยของปวงชน สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การอยู่ในกรอบของกฎหมายที่เรียกว่า หลักนิติธรรม (the rule of law)
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยจึงต้องมีความชอบธรรมทางการเมือง (political legitimacy) ซึ่งมีสองส่วนคือ ในส่วนที่เข้าสู่ตำแหน่งอำนาจ การเลือกตั้งต้องบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม เมื่อใดก็ตามที่การเลือกตั้งมีการใช้เงินซื้อเสียง มีการโกงการเลือกตั้งด้วยการใช้บัตรเลือกตั้งปลอมเพื่อเพิ่มจำนวน การนับคะแนนผิดโดยจงใจ หรือโดยวิธีการอื่นใด ความชอบธรรมในส่วนนี้จะไม่เกิดขึ้นแม้ไม่มีหลักฐานจับได้แน่ชัด แม้จะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งว่าถูกตามตามกฎหมาย (legality) แต่ในทางการเมืองย่อมไม่มีความชอบธรรม (legitimacy) ทั้งในส่วนของผู้ใช้เงินซื้อเสียงและในส่วนของประชาชนซึ่งไม่เชื่อผลการเลือกตั้งนั้น แต่ทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นเหตุหนึ่งทำให้ศรัทธาต่อระบบประชาธิปไตยเสื่อมคลายลง
ความชอบธรรมในส่วนที่สองคือ ผลการปฏิบัติงานของผู้ใช้อำนาจรัฐ (performance) ถ้าผู้ใช้อำนาจรัฐนั้นได้อำนาจมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีความชอบธรรมทางการเมือง บริหารประเทศด้วยความสามารถ แก้วิกฤตเศรษฐกิจให้ดีขึ้น รักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม ยกฐานะของระดับศีลธรรมจริยธรรมสูงขึ้น เพิ่มพูนความรู้และระดับการศึกษาของประชาชน ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยดำเนินไปอย่างถูกต้องตามครรลอง ทั้งถูกต้องตามกฎหมาย มีความชอบธรรมทางการเมือง มีหลักนิติธรรม ผู้ใช้อำนาจรัฐไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร หรือฝ่ายตุลาการที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะมีความชอบธรรมทางการเมืองทั้งสองมิติ คือ การเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจ และผลงานจากการใช้อำนาจรัฐ
การที่จะได้ความชอบธรรมในแง่ผลงานมีหลักการสำคัญคือ จะต้องเดินตามแนวปรัชญาการเมืองการบริหารอันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นหลักการและวิธีปฏิบัติที่ต้องนำไปใช้ทั้งในส่วนของการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น และส่วนของการบริหารอันได้แก่ระบบราชการปรัชญาหรือหลักการนั้นคือหลักธรรมาภิบาล (good governance) ซึ่งประกอบด้วย 5 ข้อใหญ่ๆ คือ
(1) ความชอบธรรม (legitimacy)
(2) ความโปร่งใส (transparency)
(3) การมีส่วนร่วมของประชาชน (participation)
(4) ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้โดยประชาชน (accountability)
(5)ประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness)
ในส่วนของความชอบธรรมนั้นได้แก่ การบริหารประเทศในนโยบายใดก็ตามจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย และต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนว่ามีเหตุมีผล สมควรต่อการใช้งบประมาณนั้น โครงการหลายโครงการอาจจะถูกต้องตามกฎหมายแต่อาจจะไม่สมเหตุสมผล ก็จะขาดความชอบธรรม
ความโปร่งใส คือ กระบวนการทำงานที่ไม่มีการปกปิดข้อมูลนอกจากที่จำเป็น เปิดให้ทุกฝ่ายมีโอกาสเท่าเทียมกันที่จะเข้าถึงข้อมูล รวมทั้งการเสนอตนเข้ามาประมูลงานของรัฐ ซึ่งความโปร่งใสนี้จะต้องครอบไปถึงกระบวนการทำงานของกลไกของรัฐทุกระดับทุกขั้นตอน
การมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการเมืองสมัยใหม่ที่ต้องเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ทำการประชาพิจารณ์ และบางครั้งลงประชามติ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าได้อาณัติจากประชาชนอย่างแท้จริง บางโครงการใหญ่เกินกว่าที่จะให้ตัวแทนของประชาชนเป็นผู้ตัดสินแทนประชาชน ต้องถามประชาชนโดยตรงด้วยการลงประชามติ เช่น การขุดคอคอดกระ เป็นต้น
ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้โดยประชาชน นั้น หมายถึง การที่ต้องสามารถตอบคำถามด้วยข้อมูล ด้วยเหตุด้วยผล ในโครงการใดๆ หรือการกระทำใดๆ เมื่อมีการตั้งคำถามโดยสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับงบประมาณในการก่อสร้าง การจัดซื้อจัดจ้าง เพราะ
ถ้าไม่สมเหตุสมผลย่อมนำไปสู่ความเข้าใจได้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น
ประสิทธิภาพ ได้แก่ ความสามารถทำโครงการใดให้เสร็จและได้ผลได้ (output) ออกมา โดยใช้งบประมาณ เวลาน้อยกว่าผู้อื่น ส่วนประสิทธิผล คือ ผลลัพธ์ (outcome) คือผลที่ได้นั้นสอดคล้องกับความมุ่งหมายที่ตั้งไว้ เช่น การสร้างสะพานทางข้ามเพื่อแก้ปัญหาการจราจร อาจจะสร้างสะพานได้อย่างดีเยี่ยมด้วยราคาไม่แพง เสร็จก่อนกำหนด ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพดี แต่การทำให้จราจรคับคั่งน้อยลงกลับไร้ผลก็ต้องถือว่าไม่มีประสิทธิผล ซึ่งย่อมไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล
การปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งมีกระบวนการได้อำนาจทางการเมือง การใช้อำนาจรัฐ และการควบคุมการใช้อำนาจ จำเป็นต้องสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล อันได้แก่ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติ ที่สามารถแก้ปัญหาของสังคมและสามารถนำไปสู่การพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ในการบริหารประเทศนั้นมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอยู่ 5 ประเด็นที่จะนำไปสู่การเสียความชอบธรรมทางการเมือง อันจะนำไปสู่การสั่นคลอนศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้ใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งระบบประชาธิปไตย ได้แก่
1. Legitimacy (ความชอบธรรม) การได้อำนาจรัฐที่มาจากการซื้อเสียง ทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ย่อมจะขาดความชอบธรรมในส่วนที่เข้าสู่ตำแหน่งอำนาจรัฐตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
2. Corruption (การฉ้อราษฎร์บังหลวง) การบริหารประเทศเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง ใช้งบประมาณแผ่นดินในการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งการก่อสร้างหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง มีการใช้อำนาจรัฐส่งเสริมการทำธุรกิจของตนเอง ญาติโกโหติกาและพรรคพวก ด้วยการแก้กฎหมาย หลีกเลี่ยงภาษี ฯลฯ รวมทั้งการบิดเบือนนโยบายที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ความจำเป็นและความเหมาะสม
3. Abuse of Power (การลุแก่อำนาจ) มีการละเมิดกฎหมายโดยไม่เกรงกลัวต่อผลเสียหายที่จะตามมา ทั้งในทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม รวมทั้งจริยธรรมของสังคม การละเมิดกฎหมายในลักษณะลุแก่อำนาจ และการละเมิดต่อหลักนิติธรรม (the rule of law) ด้วยการตีความกฎหมายตะแบง ขยายอำนาจจนเกินขอบเขต แก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการหาผลประโยชน์ทางธุรกิจจนไม่คำนึงถึงความเสียหายที่มีต่อชาติ
นอกจากนี้ยังมีการทำลายโครงสร้างและกระบวนการของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ด้วยการทำให้อำนาจของฝ่ายบริหารกลายเป็นกลไกที่มีผู้สั่งการเพียงคนเดียว องค์กรควบคุมการใช้อำนาจทั้งหลาย รวมทั้งองค์กรที่คานอำนาจตกอยู่ในการครอบงำด้วยการแทรกแซงและการใช้อำนาจเงิน เพื่อให้คนที่อยู่ในอาณัติของตนดำรงตำแหน่งในองค์กรที่มีอำนาจควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้ย่อมจะนำไปสู่การเสียความชอบธรรมทางการเมืองและเสื่อมศรัทธาในระบบ
4. Nepotism and Cronyism (การเอื้อประโยชน์ต่อญาติโกโหติกาและพรรคพวก) การบริหารประเทศมิได้เป็นไปตามหลักคุณธรรม มีการเล่นพรรคเล่นพวก นำคนซึ่งมีปัญหาเรื่องจริยธรรม คุณธรรม ความสามารถ มาดำรงตำแหน่งจนทำให้ระบบการบริหารราชการประจำเกิดความเสียหาย เป็นการใช้ระบบอุปถัมภ์ในทางที่ผิด นำไปสู่ความเสียหายต่อสังคมในแง่จริยธรรม เศรษฐกิจและธุรกิจ ในแง่การแข่งขันโดยเสรีและระบบการเมืองการปกครองบริหาร
5. Immorality (พฤติกรรมของผู้ใช้อำนาจรัฐ) มีพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของสังคม เช่น มีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับคาวโลกีย์ และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของผู้นำ ดังเช่นที่มีความพยายามถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาออกจากตำแหน่งที่เพิ่งผ่านมานี้ เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นผู้นำ
กล่าวโดยสรุป ผู้ใช้อำนาจรัฐจะต้องเข้าสู่ตำแหน่งอำนาจรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีความชอบธรรมทางการเมือง ต้องไม่เป็นผู้ซึ่งละเมิดกฎหมาย ลุแก่อำนาจ กระทำการที่ขัดต่อหลักนิติธรรม มีพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อการเป็นผู้นำที่ใช้อำนาจรัฐอันสูงสุด โดยประชาชนให้ความไว้วางใจในความเป็นคนดี มีความเด็ดขาด มีความเป็นผู้นำที่ใช้หลักเหตุและผลในการบริหารประเทศ รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน โดยคัดสรรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีจริยธรรม มาร่วมงาน แต่ที่สำคัญที่สุด จะต้องไม่เป็นผู้ซึ่งใช้อำนาจรัฐและการตะแบงเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หาผลประโยชน์จากการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยการใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้าง การก่อสร้าง การเสนอโครงการที่เรียกว่าอภิมหาโครงการ หรือกลเม็ดเด็ดพรายใดเพื่อได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเงิน รวมทั้งตำแหน่งอำนาจและสถานะทางสังคมที่ไม่สอดคล้องกับความเหมาะสมแก่พรรคพวก และญาติโกโหติกา
ผู้ใช้อำนาจรัฐคนใดไม่สามารถจะธำรงไว้ซึ่งประชาธิปไตย-ธรรมาภิบาล อาจจะดำรงอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีสัจธรรมแห่งโลกคือกฎแห่งกรรมได้ ผลที่ตามมาคือการตกจากตำแหน่งอำนาจ การสูญเสียทรัพย์ศฤงคาร เกียรติยศชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล ของบุคคลนั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้น ซึ่งมีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ