xs
xsm
sm
md
lg

คาราทผุด4แผนกฝ่าวิกฤติชี้3สินค้าใช้สื่อสวนกระแส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฉบับวันที่ 25-7-50
ผู้จัดการรายวัน - “คาราท” ชูความเป็นมีเดียครบวงจร เสริมเสริมทัพ4 แผนก เพิ่มความสะดวกการใช้สื่อเสนอลูกค้า ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง มั่นใจสิ้นปีรายได้ขยับขึ้น 15% หรือกว่า 6,000 ล้านบาท ฟันธงตลาดโฆษณาปีนี้มีเฮ โตแน่ๆ 3% ชี้มี 3 ธุรกิจหลักโหมใช้สื่อสวนกระแส พุ่งขึ้นเกิน 50% เชื่อคว้าวิกฤติเป็นโอกาสสำเร็จ

นายวิชัย สุภาสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านมีเดียเอเจนซี่แบบครบวงจร เปิดเผยว่า จากต้นปีที่ผ่านมา แม้สภาพเศรษฐกิจของไทยจะยังไม่ดีขึ้นก็ตาม แต่บริษัทฯยังคงดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ทางบริษัทฯได้เพิ่ม 4 แผนกขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการทำงานและบริการลูกค้าได้สะดวกยิ่งขึ้น คือ
1.เสริมแผนกรีเสิร์ชขึ้นมา เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทฯ และบริการต่อลูกค้าอันจะช่วยให้การทำตลาดประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น  2.เสริมแผนก สื่อ เอาท์ ออฟ โฮม ออกมาอย่างชัดเจน เนื่องจากแนวโน้มการใช้สื่อดังกล่าวมีอัตราที่สูงขึ้นรองจากสื่อโรงภาพยนตร์ในปีนี้ 3.มีแผนเสริมแผนกดิจิตอล (ในช่วงครึ่งปีหลัง) เนื่องจากแนวโน้มสื่อดังกล่าวกำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการมีแผนกดังกล่าวจะทำให้เข้าถึงสื่อนี้ได้เร็วขึ้น และ4.เสริมแผนก Comms Planing เป็นแผนกที่จะช่วยในเรื่องของการวางแผนกลยุทธ์
“จากการวางแผนการดำเนินธุรกิจดังกล่าว บริษัทฯมั่นใจว่า จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ 3 ข้อที่วางไว้ได้ คือ 1.จะต้องช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ดีที่สุด จากบริการที่ครบวงจร 2.จะต้องให้ลูกค้าได้รับผลประโยชน์สูงสุด หรือมากกว่ารายอื่น 25% เป็นอย่างน้อย และ3.จะต้องเป็นนายจ้างที่ดีที่สุดแก่พนักงาน อันจะทำให้ไม่เกิดการเข้าออกของพนักงานมากจนเกินไป หรือจะเพิ่มโอกาสให้คนเก่งฝีมือดีต้องการมาร่วมงานกับทางบริษัทฯมากยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา  บริษัทฯยังคงมีผลประกอบการเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ คือ 2,700 ล้านบาท หรือทั้งปีตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 15% คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท มั่นใจว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากส่วนหนึ่งบริษัทฯมีลูกค้าไหม้เพิ่มขึ้นมาหลายราย เช่นในครึ่งปีแรกนี้ ได้แก่ สินค้าประเภทสแนกฟู้ด ของกลุ่ม เบอร์ลี่ ยุคเกอร์, วิสกี้ ยี่ห้อใหม่, “พีเจ้น เบบี้ไวพส์ และโจ๊ก ตราเกษตร ซึ่งสามารถสร้างรายได้ในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 8-10% คิดเป็นจำนวนกว่า 200 กว่าล้านบาท ทั้งนี้ตลอดทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าใหม่ประมาณ 600 ล้านบาท
ขณะที่ส่วนหนึ่งของการเติบโตเกิดจากลูกค้าที่มาจากต่างชาติกว่า 50% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมด มีการใช้จ่ายเงินในการทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อในช่วงวิกฤติทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เพราะลูกค้าเหล่านี้จะมองวิกฤติดังกล่าวเป็นโอกาสทางการตลาดมากกว่าบริษัทคนไทย ที่จะยังคงรอดูสถานการณ์ต่างๆก่อน เมื่อมั่นใจแล้วจึงจะลงมือทำ
**โอกาสทองของ 3 ธุรกิจใหม่**
นายวิชัย กล่าวต่อว่า ในสภาพเศรษฐกิจที่ยังแย่อยู่ในขณะนี้ พบว่า มี 3 สินค้าหลักที่มีการใช้สื่อโฆษณาเพิ่มสูงขึ้น มากกว่า 50% และถือว่าประสบความสำเร็จด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งได้แก่1.กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย จะพบว่า สินค้าประเภทดังกล่าว เริ่มมีเข้ามาในตลาดตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา
ขณะที่ในปีนี้มีแนวโน้มทำตลาดมากยิ่งขึ้น จนขึ้นมาเป็นอีกเซกเม้นต์หนึ่งของตลาดที่มีอัตราการเติบโตที่ดีและเริ่มมีการแข่งขันกันสูงขึ้น โดยเฉพาะในเดือนม.ค.2550-มิ.ย. 2550 มีการใช้สื่อโฆษณาสูงขึ้น 72% เทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าประมาณ 707 ล้านบาท จากเดิม 410 ล้านบาท ขณะที่สินค้าที่มีการใช้สื่อโฆษณาสูงสุด 3 อันดับแรก คือ แชมพู คลินิก ฟอร์เมน ใช้ไปประมาณ 107 ล้านบาท รองลงมาคือ AXE ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นใต้วงแขนสำหรับผู้ชาย ใช้ 98 ล้านบาท และเฮด แอนด์ โชลเดอร์ ประมาณ 89 ล้านบาท
2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีการใช้เม็ดเงินโฆษณาสูงขึ้นกว่า 56%หรือประมาณ 729 ล้านบาท จากเดิม 466 ล้านบาท โดยสินค้าที่มีการใช้สื่อ 3 อันดับสูงสุด ได้แก่ 1. ดัชมิลล์ โยเกิร์ต ดริงกิ้ง 126 ล้านบาท รองลงมา คือ สลิมอัพ บิวตี้ เซ็นเตอร์ 102 ล้านบาท และสาม คือ นมถั่วเหลือง แลคตาซอย อีก 63 ล้านบาท
3.กลุ่มคอนโดมิเนียม  ถือว่า 6 เดือนที่ผ่านมามีการใช้สื่อโฆษณาเพิ่มขึ้นถึง 1,000%จาก 27.9.8 ล้านบาท เป็น 307.193 ล้านบาทในปีนี้ โดยมี 3 อันดับแรกในการใช้สื่อสูงสุดคือ1. กลุ่ม แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 72 ล้านบาท 2. เอ สเปซ คอนโดมิเนียม 36 ล้านบาท และ3.พร๊อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟ็ก 23 ล้านบาท
**ฟันธงตลาดโฆษณาทั้งปีดีขึ้น 3%**
อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขของทางเอซี นีลเส็น จะพบว่า ตลาดโฆษณาช่วงครึ่งปีแรกจะมีอัตราการเติบโตลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.48% คิดเป็นมูลค่าที่ 43,813 ล้านบาท ก็ตาม แต่เชื่อมั่นว่าครึ่งปีหลังจะดีขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้ภาพรวมของตลาดโฆษณายังคงมีอัตราการเติบโตที่ 3% ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้จะน้อยกว่าปี 2549 ที่โตถึง 4.8% ก็ตามกลุ่มสินค้าที่มีการใช้สื่อโฆษณามากสุด 3 อันดับแรก ในครึ่งปีนี้ คือ 1.สกินแคร์ 3,021 ล้านบาท 2. คมนาคมและการสื่อสาร 2,743 ล้านบาท และ3.เครื่องดื่ม, น้ำอัดลม 2,546 ล้านบาท
ขณะที่สื่อโทรทัศน์ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 3% หรือประมาณ 25,452 ล้านบาท โดยที่ช่อง3 มีรายได้เพิ่มขึ้นมากสุด 8% จาก 5,927 ล้านบาท เพิ่มเป็น 6,419 ล้านบาท ส่วนอสมท มีรายได้จากโฆษณาลดลงมากที่สุดกว่า 16 % จาก 3,811 ล้านบาท เหลือเพียง 3,184 ล้านบาท ส่วนสื่อหนังสือพิมพ์ 6 เดือนที่ผ่านมา ลดลง 5% เหลือ 7,354 ล้านบาท นิตยสารลดลง 4% เหลือ 2,855 ล้านบาท วิทยุลดลง 5% เหลือ 3,046 ล้านบาท
สื่อโรงภาพยนตร์โตขึ้น 191% คิดเป็นมูลค่า 1,978 ล้านบาท สื่อนอกบ้านโตขึ้น 0.59% หรือกว่า 2,919 ล้านบาท สุดท้ายคือดิจิตอลมีเดีย หรือออนไลน์ มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี นี้คาดว่าจะสูงขึ้น 20% จากฐานผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ 10 ล้านคน
กำลังโหลดความคิดเห็น