xs
xsm
sm
md
lg

สรรพสิ่งไม่พ้นไปจากกฎอิทัปปัจจยตา

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

Email: p_ariya_@hotmail.com

ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย ขอให้ท่านตั้งใจ ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ใช้ความเพียรอุทิศตน เพื่อให้รู้แจ้งกฎอิทัปปัจจยตา ย่อมเป็นปัจจัยก่อให้เกิดปัญญาอันยิ่ง และจะเป็นพลังอันสำคัญสูงส่งอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่ชาติไทยเรา

สภาพการณ์ของไทยเราที่ผ่านมาล่วงแล้ว 75 ปี เมื่อพิจารณาตามสภาวธรรมที่ผู้รู้แจ้งทั้งหลายแล้ว เป็นสภาพการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ผู้ปกครอง นักการเมืองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าต่างก็ทับถมความมิจฉาทิฐิให้กับประเทศ สร้างปัจจัยอันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายลบหรือฝ่ายเลื่อม ทั้งนี้ไม่เพียงผู้ปกครองขาดปัญญาอันยิ่ง (ตัวเป็นไทยใจฝรั่ง) ซ้ำยังเหยียบคบไฟส่องทางของแผ่นดิน ที่บูรพกษัตริย์ทรงวินิจฉัยแล้วว่ายอดเยี่ยมที่สุด เหล่าวิญญูชนและบรรพชนทั้งหลายต่างก็ยอมรับพิทักษ์เชิดชู ทำนุบำรุงอุปถัมภ์ค้ำชูตามประวัติศาสตร์อันยาวนานร่วม 2,000 กว่าปี ทุกวันนี้พุทธศาสนาถอยร่นลงทุกวัน

สภาพการณ์ที่ตกเป็นทาสแนวคิด ทฤษฏีตะวันตกเสียสิ้น ดูหมิ่นเหยียดหยามปัญญาอันยิ่งแห่งแผ่นดินที่หยั่งรากลึกมายาวนาน ละทิ้งไม่สนใจไยดี จึงเป็นเหตุให้การเมืองการปกครองไทยต้องล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก ล้มเหลวอย่างซ้ำซาก ตกอยู่ในสภาพอัปยศอดสูที่สุด แต่ผู้ปกครองไทยกลับเชิดหน้าชูตา ลอยหน้าลอยตา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในแนวทางแห่งมิจฉาทิฐิ ในลักษณะมิจฉาทิฐิโค่นมิจฉาทิฐิ...มิจฉาทิฐิโค่นมิจฉาทิฐิ... เรื่อยมา จนกลายเป็นโคตรวงจรอุบาทว์หยั่งรากลึกครอบงำผู้ปกครองจนโงหัว ไม่เคยจะฉุกคิด และไม่สามารถแนะนำตักเตือนได้เสียแล้ว

"สภาพสังคมทุกวันนี้แย่มากเจ้าค่ะ" "สังคมเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ ฉลาดแกมโกง เห็นแก่ตัว คอร์รัปชัน บ่อนการพนัน ยาเสพติด โสเภณี สังคมเสื่อมจากศีลธรรม ครอบครัวแตกแยก สารพัดเจ้าค่ะ"

แล้วอะไรละ? เป็นสาเหตุที่ทำให้สังคม ไทยต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ละ "ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับท่าน ผมไม่มีความหวังอะไรเลยครับ"

กัลยาณมิตรท่านหนึ่ง ก็ได้หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง แล้วยกให้ดู ทุกคนต่างเพ่งมองพิจารณาไปที่กระดาษแผ่นขาวว่ามีอะไรซ่อนอยู่บ้าง แล้วท่านก็ถามขึ้นว่า เห็นอะไรไหม? "เห็นสีขาวเจ้าค่ะ" "เห็นเป็นกรอบสี่เหลี่ยมครับ"

แล้วเห็นอะไรอีกไหม? "เห็นรอยยับเจ้าค่ะ" แล้วเห็นอะไรอีก... ผู้เป็นกัลยาณมิตร ก็ถามซ้ำๆ ว่า แล้วเห็นอะไรอีกๆๆๆ

ท่านได้อธิบายว่า การที่เราเห็นดังกล่าวนั้น เป็นการเห็นจากตาเนื้อธรรมดา เรียกว่า มังสะจักษุ เป็นการเห็นแบบอัตตา เป็นการเห็นอย่างตายตัว เป็นการเห็นที่เกิดจากความคิดที่สังคมหล่อหลอมให้มีอัตตาตัวตน มีเขา มีเรา เป็นการมองอย่างตายตัว ซึ่งใครๆ เขาก็มองกันอย่างนี้ทุกคน

แต่ถ้าพวกเราตั้งใจสักนิด พิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือการเห็นอย่างมีเหตุปัจจัยสัมพันธ์ มองแล้ว เห็นแล้วต้องคิดพิจารณาแบบโยนิโสมนสิการ คือการรู้จักวิธีคิด การทำในใจให้แยบคาย เพ่งมองสิ่งทั้งหลายอย่างมีเหตุปัจจัยสัมพันธ์เป็นลักษณะกระบวนการ (Process) ในลักษณะเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด คิดใคร่ครวญเพื่อให้รู้แจ้งตามที่มันเป็นตามความเป็นจริงแห่งสภาวธรรมทั้งปวง

คราวนี้ลองดูใหม่อีกทีซิ แล้วให้คิดพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ "เห็นเช่นเดิม เจ้าค่ะ"

แล้วคนอื่นละ?

"เห็นเท่าที่เห็นนั่นแหละครับท่าน"

ผู้เป็นกัลยาณมิตร กล่าวว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไหนลองย้อนมาถามเราดูซิ ว่าเห็นอะไรบ้าง?

"ท่านครับ แล้วท่านเห็นอย่างไรบ้างละครับ"

เอานะตั้งใจฟังให้ดีก็แล้วกัน... ตั้งใจพิจารณาไปด้วยนะ ในกระดาษแผ่นนี้เห็นอะไรๆ ได้ตั้งหลายอย่าง ถ้าเรามองอย่างเป็นกระบวนการ หรือเป็นการมองด้วยเหตุปัจจัยสัมพันธ์ของเหตุและผล จะเห็นว่าตอนนี้เป็นกระดาษอยู่ในมือเรา แล้วย้อนกลับไปดูในอดีต ก่อนหน้านี้อยู่ที่ร้านค้าย่อย ถัดไปก็เป็นร้านค้าใหญ่, ถัดไปก็เป็นคลังสินค้า (Store) เก็บกระดาษ, ถัดไปก็เป็นโรงงานผลิตกระดาษ เห็นกระบวนการผลิต เห็นเครื่องจักร, เห็นพนักงานในโรงงาน, เห็นการเอื้ออาทร, เห็นการกดขี่เอารัดเอาเปรียบ, เห็นรัฐบาลอนุมัติให้จัดตั้งโรงงานทำกระดาษ, เห็นธนาคาร, สืบสาวย้อนไปที่อินพุท (Input) เห็นวัตถุดิบคือต้นไผ่ เห็นก่อไผ่ เห็นคนตัดต้นไผ่, เห็นรถสิบล้อขนไม้ไผ่ เห็นพรรณไม้ต่างๆ, เห็นดิน, เห็นน้ำ, เห็นนก, กระรอก, สิงสาราสัตว์ต่างๆ, เห็น... เห็นดวงจันทร์, เห็นดวงอาทิตย์ ฯลฯ จะเห็นว่า...กระดาษแผ่นนี้สามารถเป็นตัวแทนของสรรพสิ่งได้ทั้งหมด ทั้งนี้...ไม่ว่าเราจะหยิบสิ่งของใดๆ ขึ้นมาอธิบายก็ตาม ก็สามารถอธิบายได้ในทำนองเดียวกัน นี่แหละ กฎอิทัปปัจจยตามนี้เอง เป็นปัญญาอันยิ่งเป็นปัจจัยให้พระพระพุทธเจ้า ทรงเป็นสัพพัญญู (ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีปัญญารอบรู้ ผู้รู้ทั่ว)

แต่จุดมุ่งหมายในการพูดคุยกันในวันนี้ ก็เพื่อ...จะให้เราได้เปลี่ยนแปลงการมอง การเห็นสรรพสิ่ง การคิดและทัศนคติเสียใหม่ ทางฝ่ายตะวันตกเรียกว่าโลกทัศน์ คือการมองความจริงของโลก ผู้ที่ติดยึดในแนวทางกิเลสนั้นผลเป็นอย่างไร ก็รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่แล้วนะ

แต่การที่เราจะสร้างสรรค์ปัญญา ให้มีความคิด ความเห็นและวิธีคิดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการมองแบบ ธรรมทัศน์ คือการมองความจริงแห่งสภาวธรรมหรือ การเห็นตามความจริงของสภาวะกฎธรรมชาติ หรือสัจธรรม เป็นการมอง การเห็นทั้งภายใน และภายนอกทั้งนามธรรมและรูปธรรม สิ่งที่เป็นความคิด และสิ่งที่เหนือความคิด ทั้งสิ่งปรุงแต่งหรือสังขารทั้งปวง (สังขตธรรม) และสิ่งที่พ้นจากการปรุงแต่ง (อสังขตธรรม นิพพาน ธรรมาธิปไตย) เป็นการเห็นแจ้ง รู้แจ้งสภาวธรรมทั้งองค์รวม นั่นเอง

ถ้าเราจะถามว่า "ชีวิตคืออะไร" ก็ต้องตอบว่า "ชีวิตคือสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด" ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์ โลก สภาวะธาตุต่างๆ ฯลฯ พืชและสัตว์ มนุษย์ ก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้

"ใช่แล้วครับท่าน"

การพูดคุยกันวันนี้ก็เป็นการเปลี่ยนทัศนะแบบอัตตา ให้เป็น "อนัตตา" นั่นเอง สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นเองอย่างลอยๆ สรรพสิ่งล้วนมีปัจจัยมีที่มาที่ไป สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนสัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เป็นไปตามกฎธรรมชาติที่เรียกว่า "กฎอิทัปปัจจยตา" คือกฎความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัยของเหตุและผล "เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี" หรือ "สิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงมี" หรือเมื่อมีเหตุ ก็ต้องมีผล หรือผล ย่อมมาจากเหตุ มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันกันไปดุจฟันเฟืองเครื่องจักร

จะยกตัวอย่างในเรื่องหลักๆ สำคัญๆ เช่น การพิจารณาองค์ประกอบของสังคม จะเห็นว่า ถ้ามีระบอบการเมืองหรือหลักการปกครองดีถูกต้อง จะเป็นเหตุปัจจัยให้รัฐธรรมนูญดีถูกต้อง และจะเป็นปัจจัยให้การปกครองดีถูกต้อง ให้ความยุติธรรมต่อประชาชน ก็จะเป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจดี, เมื่อเศรษฐกิจดี ก็จะเป็นปัจจัยทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนดีตามไปด้วย อย่างเป็นไปเองขับเคลื่อนไปตามเหตุปัจจัยตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า

ในทางตรงกันข้ามถ้าระบอบการเมืองไม่ดีไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ก็จะเป็นปัจจัยทำให้การปกครองไม่ดี, การปกครองไม่ดี ก็จะปัจจัยทำให้เศรษฐกิจไม่ดี, เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ก็จะเป็นปัจจัยให้การดำเนินชีวิตของประชาชนก็ย่ำแย่ ประเทศชาติก็วิกฤตหายนะ คือว่านับหนึ่ง มันก็เป็นมิจฉาทิฐิเสียแล้ว มันก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยแผ่ความมิจฉาทิฐิ ความเลวออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด สมดังอุปมาที่ว่า "น้ำเน่า ปลาย่อมได้รับพิษร้ายจากน้ำเน่าฉันใด ระบอบการเมืองเลว ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้ประชาชนระทมทุกข์ อย่างโงหัวไม่ขึ้นฉันนั้น"

การที่รัฐบาลมัวแต่แก้ปัญหาปลายเหตุ
โดยไม่สืบสาวไปหาเหตุแห่งวิกฤตที่แท้จริง นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังเป็นการลงทุนลงแรงที่สูญเปล่า ทั้งจะนำภัยร้ายแรงมาสู่ประเทศชาติและประชาชน ให้หนักยิ่งขึ้นๆ นี่เป็นการมองแบบภาพรวม หรือการมองแบบบูรณาการอย่างแท้จริง

ที่นี้พวกเราลองมาพิจารณากระดาษแผ่นนี้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ผลจากการที่เราได้ยินได้ฟังได้เข้าใจตามที่บรรยายมาแล้วนั้น เราทั้งหลายได้รับอะไรบ้าง?

"ดิฉันรู้สึกขึ้นมาว่า ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้เข้าใจอย่างนี้บ้าง ก็จะทำให้สังคมมีความเมตตาต่อกันมากขึ้น และก็จะมีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุแห่งวิกฤตชาติด้วยเจ้าค่ะ"

แล้วคุณละ "ผมคิดอย่างนี้ครับท่าน ถ้าเข้าใจ กฎอิทัปปัจจยตา นี้นะครับ สังคมประเทศชาติ พรรคการเมือง สังคมทุกระดับ จะก่อให้เกิดความรู้รักสามัคคีธรรมอย่างรอบด้าน แม้กระทั่งระดับโลก"

"ผมมองทะลุไปว่า มนุษย์ที่ขัดแย้งกันนั้น ก็เพราะมีทัศนะเป็นอัตตานี่เอง เพียงแค่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เรียนรู้ อันเป็นสิ่งสมมติทั้งปวง แล้วไปยึด เกาะเกี่ยว เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วทำให้เกิดการเปรียบเทียบแบบตายตัว จึงเป็นเหตุให้เกิดความกลัว โลภ โกรธ หลงขึ้นได้"

"ถ้าเราไม่ยึดติดในสมมติ ในสื่อ ในภาษา ในสัญลักษณ์ ในความคิด เช่น ติดยึดในภาค ติดยึดในพรรค ติดยึดในประเทศ ติดของตนยึด ในศาสนาของตนๆ เราจะมีอิสระมากใช่ไหมครับท่าน"

"ตามที่ผมเข้าใจคือว่าเราต้องเรียนรู้ แต่ในใจไม่ยึดติดในการเรียนรู้, จงเปรียบเทียบแต่ไม่ยึดติดในการเปรียบเทียบในใจ รู้สมมติ แต่ไม่ยึดติดในสมมติ ใช้สมมติอย่างถูกต้อง ทั้งที่เป็นประโยชน์ และที่ไม่ใช่ประโยชน์"

กัลยาณมิตร กล่าวว่า ดีแล้วละ พึงผัสสะ หรือสัมพันธ์อย่างอิสระจากสิ่งทั้งปวงย่อมพ้นทุกข์ "พึงพิจารณาเหตุปัจจัยภายนอก เพื่อประโยชน์สุขของปวงชน พิจารณาภายในใจตนให้อิสระหลุดพ้นจากกิเลส" เอาละวันนี้พวกเราก็พอจะสรุปได้ว่า "สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด หรือชีวิตคือสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด" จึงเห็นชัดว่า "สรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา"

ทั้งนี้ถ้าระดับรัฐบาล ท่านมีอำนาจ ถ้าท่านสนใจสัจธรรมสักนิด รู้จักกฎอิทัปปัจจยตา รู้จักแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ
เมื่อเหตุดี ผลก็ดีด้วย หรือเมื่อเหตุเลว ผลก็เลวด้วยด้วย หรือ Input ถูกต้อง Output ก็จะถูกต้องด้วย เข้าใจวีถีแห่งธรรมดังนี้แล้ว ย่อมก่อให้เกิดความเมตตาต่อเพื่อนมนุษยชาติอย่างไม่มีประมาณ ช่วยกันแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ ก็จะเป็นสายธารแห่งมหาเมตตาเจริญรอยตามแบบอย่างพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย หวังจะให้ท่านทั้งหลายเป็นปัญญาชนของแผ่นดินโดยทั่วกัน (สนใจเปิดอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www. Dhammathipatai.com) สมัครเป็นสมาชิกได้ที่ Email: p_ariya_@hotmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น