xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 55 อำลาชีวิตเด็กวัด (ตอน 1)

เผยแพร่:   โดย: เรืองวิทยาคม

ในคณะศิลปศาสตร์นักศึกษาที่สมัครเรียนทุกคณะจะต้องมาเรียนรวมกัน โดยแบ่งเป็นห้องๆ และมีการถ่ายทอดโทรทัศน์วงจรปิดเพื่อให้นักศึกษาได้รับฟังคำบรรยายของอาจารย์ไปพร้อมๆ กัน

ยกเว้นก็แต่วิชาเลือกที่มีการแยกห้องเรียนสำหรับนักศึกษาที่เลือกเรียนวิชานั้นๆ เป็นการเฉพาะ

ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นในความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเรียนการสอนในขณะนั้น เพราะผมไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ผ่านมาก็คุ้นอยู่กับการเรียนในชั้นเรียนที่มีครูสอนคนหนึ่งและนักเรียนในชั้นเรียนไม่เกิน 60 คนเท่านั้น

ในปีการศึกษาแรกของชีวิตในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกหลายคน โดยเฉพาะคือเพื่อนร่วมห้องเรียนและเพื่อนร่วมชมรม

ผมได้รู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนนักศึกษาชาวนครปฐมคนหนึ่งซึ่งเป็นนักศึกษาใหม่ด้วยกันคือประกอบ สงัดศัพท์ ซึ่งเป็นน้องชายของคุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ และเป็นพี่ชายของคุณประสาร มฤคพิทักษ์ เป็นแต่มีความจำเป็นในวงศ์ตระกูล ประกอบจึงได้ใช้นามสกุลสงัดศัพท์แทนมฤคพิทักษ์

ประกอบเป็นสมาชิกของชมรมกีฬาในร่ม และเป็นนักหมากรุกฝีมือดีของมหาวิทยาลัย ผมรักทางหมากฮอส ประกอบรักทางหมากรุก ซึ่งแม้จะเป็นกีฬาในร่มคนละแขนงแต่เป็นกีฬาในร่มประเภทที่ต้องใช้ความคิดและสติปัญญาเหมือนกัน

เมื่อรู้จักคบหากันมาพักหนึ่ง ผมและประกอบก็ถูกอัธยาศัยกันเป็นอันมาก จึงยิ่งมีความสนิทสนมและคุ้นเคยกันเป็นพิเศษ หนักเข้าไปไหนก็ไปด้วยกัน กลายเป็นคู่หูหมากรุกหมากฮอสที่ไปถึงสนามไหนก็มีโอกาสได้เล่นทั้งนั้น เพราะสนามนั้นหากไม่เล่นหมากรุกก็ต้องเล่นหมากฮอส

ในมหาวิทยาลัยมีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ โดยทั่วไปจนแทบจะเต็มไปทุกหนทุกแห่ง คือจะมีใบปลิวบ้าง แผ่นโปสเตอร์บ้าง ติดตามบอร์ดทั่วไปแทบทุกตึก แม้กระทั่งตามหนทางเดิน

การรณรงค์ส่วนใหญ่เป็นเรื่องข่าวสารทางวิชาการ กิจกรรมของชมรม และการรณรงค์เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง ทำให้ผมได้สัมผัสกับรสชาติกลิ่นอายทางการเมืองเป็นครั้งแรกนับแต่เดินทางเข้ามาเมืองหลวง

ความจริงผมคุ้นเคยกับการเมืองแบบบ้านนอกอยู่บ้างเพราะพ่อผมเป็นนักอ่านและรับหนังสือพิมพ์รายวันทุกวัน พ่อผมอ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็วิจารณ์การเมืองให้พรรคพวกเพื่อนฝูงฟัง จึงมีคนมาฟังพ่อผมวิจารณ์การเมืองที่บ้านอยู่เสมอ ทำให้ผมได้ซึมซับกับการเมืองมาตั้งแต่น้อย พอมาสัมผัสกลิ่นอายการเมืองในรั้วมหาวิทยาลัยก็รู้สึกชอบและสนใจการเมืองเป็นพิเศษมาตั้งแต่บัดนั้น

ในรั้วธรรมศาสตร์มีพรรคการเมืองของนักศึกษาอยู่หลายพรรค ทั้งที่เป็นพรรคในระดับคณะและเป็นพรรคในระดับมหาวิทยาลัย ต่างพรรคต่างสร้างสรรค์กิจกรรมและรณรงค์ขยายสมาชิกกันอย่างครึกโครม ทำให้ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยมีบรรยากาศของการเมืองซึมซ่านอยู่โดยทั่วไป

เนื่องจากในปีแรกนักศึกษาจะต้องเรียนในคณะศิลปศาสตร์ ดังนั้นการสัมผัสและรับรู้การเมืองในมหาวิทยาลัยจึงเป็นเพียงการให้ความสนใจและรับรู้ความเคลื่อนไหวเท่านั้น ส่วนใหญ่จะไม่มีใครสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค ผมเองก็ได้แต่คอยดูท่าทีและดูกิจกรรมของแต่ละพรรคเหมือนกับเพื่อนนักศึกษาโดยทั่วไปนั่นเอง

พรรคนักศึกษาแต่ละพรรค รวมทั้งชมรมที่มีกิจกรรมทางการเมืองต่างก็พิมพ์หนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาความคิดและลัทธิการเมืองต่างๆ

ในขณะนั้นถึงแม้ว่ากฎหมายคอมมิวนิสต์ยังมีผลใช้บังคับ แต่การบังคับใช้กฎหมายยังคงมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือที่เรียกกันโดยภาษาทางจิตวิทยาว่า ผกค. ซึ่งทำให้คนทั้งหลายที่ได้ยินคำนี้แล้วก็จะรู้สึกว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์เป็นผู้ก่อการร้ายและเป็นผู้ร้าย เพื่อจะได้มีใจรังเกียจไม่อยากข้องแวะเกี่ยวข้องด้วย

ในขณะนั้นยังไม่มีการห้ามการมีหนังสือที่เขาเรียกกันว่าหนังสือก้าวหน้า จึงมีการจัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับบุคคลและวีรกรรมของชาวพรรคคอมมิวนิสต์ ตลอดจนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีและการปฏิบัติของฝ่ายสังคมนิยมหรือฝ่ายคอมมิวนิสต์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง ผมจึงได้มีโอกาสรับรู้และเรียนรู้เกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นครั้งแรก

ถึงกระนั้นผมก็มิได้เข้าร่วมในการอบรมหรือในการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับลัทธิการเมืองการปกครอง ซึ่งบรรดารุ่นพี่นิยมที่จะจับกลุ่มกันวิพากษ์วิจารณ์หรือถกแถลงเกี่ยวกับการเมืองการปกครองกันโดยทั่วไป ความรู้สึกในขณะนั้นอยู่ในขั้นสนใจและตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศใหม่ๆ ภายในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น แม้เพียงเท่านี้เวลาของผมส่วนใหญ่ก็สิ้นเปลืองไปกับกิจกรรมต่างๆ จนมีเวลาให้กับการศึกษาเพียงเท่าที่ได้เข้าฟังอาจารย์สอนในห้องเรียนเท่านั้น

ชีวิตในมหาวิทยาลัยปีที่หนึ่งจึงเป็นชีวิตที่มีกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยมากหลาย และผมยังมีกิจกรรมที่ต้องพบปะสังสรรค์เสวนากับเพื่อนสนิทมิตรสหาย รวมทั้งสามตัวประหลาด ตลอดจนการเดินทางไปเล่นหมากฮอสในต่างจังหวัด ดังนั้นจึงทำให้เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปในกิจกรรมนอกหลักสูตร และย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียนเป็นธรรมดา

ผลการเรียนของผมเริ่มแย่ลง ถึงกระนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังคงใช้เวลาไปกับกิจกรรมนอกหลักสูตร ชีวิตในช่วงนี้จึงโลดแล่นและเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชีวิตของผม ซึ่งเป็นไปตามความในบทเพลงธรรมศาสตร์รักกัน ซึ่งวงดนตรีสุนทราภรณ์แต่งให้กับมหาวิทยาลัยไว้ตอนหนึ่งว่า

“ก่อนนั้นสุขนัก เมื่อเราเป็นนักศึกษา ใช้วัยชีวา สำราญเริงร่าทุกวันๆๆๆ”

เป็นจริงดังความในบทเพลงที่ว่านี้ เพราะในชีวิตของผมนั้นไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่มีการใช้วัยชีวา ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานสำราญเริงร่า ปราศจากความทุกข์ร้อนกังวลใดๆ เหมือนกับเมื่อครั้งที่เรียนหนังสือในคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลย

เป็นช่วงชีวิตที่ไม่มีความรับผิดชอบอะไร เพราะได้ผ่านช่วงเวลาสำคัญในการสอบแข่งขันมาแล้ว ฐานะการเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็มีความมั่นคง เพราะไม่ต้องแข่งขันกับใคร เพียงแต่แข่งขันกับตัวเองเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดชอบครอบครัวหรือรายได้ใดๆ ทั้งขณะช่วงของวัยนั้นก็เป็นวัยที่รู้ความทั้งปวงแล้ว ช่วงชีวิตเช่นนี้จึงถือได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขสนุกสนานที่สุด

ความจริงวันเวลานั้นผมได้ย่างเข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว พ้นจากความเป็นวัยรุ่นแล้ว ผมได้ใช้ชีวิตคะนองโลดแล่นไปด้วยความเริงร่าในรั้วมหาวิทยาลัย การอันใดที่เด็กหนุ่มในวัยนั้นจะพึงรู้ พึงเรียน พึงสัมผัสรับประสบการณ์ ผมก็พลอยได้รับรู้ เรียนรู้และสัมผัสและได้รับประสบการณ์ไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆ นักศึกษาที่อยู่ในวัยเดียวกัน

เหตุทั้งหลายย่อมส่งผลที่แน่นอน กรรมทั้งหลายย่อมมีวิบากที่แน่นอน เมื่อเหตุของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในปีแรกเป็นเช่นนี้ ผลการเรียนของผมซึ่งมีการทดสอบอยู่เป็นระยะๆ จึงแย่ลงกว่าทุกระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ยังคงถือเสียว่าไม่เป็นไร เพราะหวังไว้ว่าเมื่อถึงเวลาสอบจริง หากได้ทุ่มเทเวลาเรียนหนังสือสักหน่อยก็คงจะสอบได้.

โปรดติดตามตอนที่ 55 “อำลาชีวิตเด็กวัด ตอน 2 (จบ)” ในวันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม 2550
กำลังโหลดความคิดเห็น