xs
xsm
sm
md
lg

วัฒนธรรมทางจิตใจ

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

.
หลวงประพันธ์ไพรัชพากย์ เคยเขียนเรื่อง “วัธนธัมทางจิตใจ” ไว้เมื่อปีที่ผมเกิด (2487) ว่า ผู้มีวัฒนธรรมทางจิตใจควรมีคุณสมบัติดังนี้

1. เป็นผู้รักษาไว้ซึ่งเกียรติ และความเป็นเอกราชของชาติ

2. เป็นผู้เสียสละให้แก่ชาติ

3. เป็นผู้ซื่อตรง

4. เป็นผู้รักษาวินัยอย่างเคร่งครัด

5. เป็นผู้กล้าหาญ

6. เป็นผู้รักความสามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์

7. เป็นผู้รักษาเกียรติศักดิ์ของตน

8. เป็นผู้ทำงานด้วยความเข้มแข็งมานะอดทน

9. เป็นผู้มีความสุภาพเป็นนิสัย

เวลานี้เราไม่ค่อยได้ยินเรื่องวัฒนธรรมทางจิตใจเท่าไรนัก เพราะในยุคประชาธิปไตย แม้รัฐจะตั้งกระทรวงวัฒนธรรมขึ้น แต่รัฐและรัฐบาลก็ไม่ได้มีแผนการที่จะสร้างคนให้มีลักษณะนิสัยที่เป็นคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แต่พูดรวมๆ ว่าให้เป็นคนดี มีคุณธรรม บางชาติ เช่น ญี่ปุ่นจะมีการกำหนดลักษณะนิสัยที่พึงประสงค์ไว้ และมีการกล่อมเกลาตั้งแต่เด็ก

การกล่อมเกลาจิตใจคนนั้น ทำได้โดยครอบครัว และโรงเรียนครอบครัวสมัยใหม่ พ่อ-แม่ทำงานทั้งคู่ เวลาอยู่กับลูกมีน้อย ลูกๆ ส่วนมากจะอยู่กับเพื่อน และดูหนังดูทีวีฟังเพลง เวลาที่อยู่ในโรงเรียน ส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องเรียน ซึ่งเน้นเนื้อหาสาระวิชาต่างๆ โอกาสที่เด็กๆ จะได้รับการอบรมสั่งสอนหรืออยู่ร่วมกับผู้อื่น และจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันจึงมีน้อย

ในยุคโลกาภิวัตน์ความเป็นชาติไม่มีความชัดเจนเท่าไร นอกจากเวลาเราเชียร์ทีมกีฬาชาติไทย แต่ความภักดีของคนดูฟุตบอลก็ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะทีมชาติไทย เพราะมีทีมฟุตบอลอังกฤษ สเปน และอีกหลายชาติ

ถ้าเช่นนั้นโอกาสที่เด็กไทยจะเรียนรู้ที่จะเสียสละให้แก่ชาติ หรือช่วยรักษาเกียรติและความเป็นเอกราชของชาติจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เด็กที่เข้าโรงเรียนทหารคงเป็นกลุ่มเดียวที่จะซึมซับสิ่งนี้

ยังดีที่ในสมัยนี้ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัวมาแทนที่ พระเจ้าอยู่หัวเป็นแหล่งรวมใจของคนไทย และหากได้ดูการส่ง SMS ไปที่โทรทัศน์ช่องต่างๆ ก็จะเป็นการถวายความจงรักภักดีต่อในหลวง นอกจากนั้น พระราชดำรัสต่างๆ ก็มีการนำมาเผยแพร่ ดังนั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับคุณธรรมแม้รัฐจะไม่ได้กำหนดไว้โดยตรง แต่การนำพระราชดำรัสมาเผยแพร่มีส่วนที่ทำให้เด็กไทยได้เรียนรู้คุณลักษณะที่ดีของคนไทยหลายอย่าง

ที่สำคัญที่สุดก็คือ วิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการเผยแพร่อย่างจริงจังจากรัฐบาลปัจจุบัน การเรียนรู้ของคนไทยจึงต่างไปจากสมัยการสร้างชาติเมื่อ 60 ปีที่แล้ว คุณธรรมบางประการ เช่น ความเพียรก็ได้มีการสอบผ่านพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก

แม้จะไม่มีการจัดคุณธรรมเหล่านี้ให้เป็นหมวดหมู่หรือเป็นข้อๆ แต่ถ้ารวมคุณธรรมจากพระราชดำรัสต่างๆ แล้ว จะเห็นได้ว่ามีคุณธรรมชุดหนึ่งที่คนไทยรุ่นนี้ได้รับการสั่งสอน คือ

1. การมีความสามัคคี

2. การมีความเพียร

3. การมีความซื่อสัตย์

4. การมีความพอเพียง พอประมาณ

5. การมีเหตุผล

ที่จริงยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมาก แต่คุณธรรมหรือจะเรียกว่าคุณลักษณะที่คนไทยพึงมีทั้งห้าประการนี้มีความชัดเจนมากกว่าคุณลักษณะอื่นใด

คำถามก็คือ ใครมีหน้าที่ทำให้คนไทยมีคุณลักษณะเหล่านี้ จริงอยู่เราได้ฟังการกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ แต่การเรียนรู้เพื่อสร้างลักษณะนิสัย จะทำได้ก็ต้องอาศัยโรงเรียน การสอบเน้นหนักไปทางด้านวิชาการ ก่อให้เกิดนิสัยการแข่งขันและความเพียรพยายาม แต่ความสามัคคี ความซื่อสัตย์ ความพอเพียง และการมีเหตุมีผลเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง หรือผ่านกิจกรรม ไม่ใช่มีแค่วิชาหน้าที่พลเมืองศีลธรรม

เด็กๆ สมัยผมเติบโตมาจากการกล่อมเกลาของพ่อ-แม่ พี่น้องและครู ตลอดจนการเรียนรู้จากการอยู่ร่วมกันในหมู่เพื่อน ลักษณะนิสัยบางอย่างเช่น การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม การเสียสละก็ได้มาจากการอยู่ร่วมกันกับเพื่อน ผมเติบโตมาภายใต้บรรยากาศของความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน หากต้องแข่งขันก็เป็นการแข่งกีฬา ซึ่งเป็นการร่วมมือกันแข่งขันโดยมีกติกาที่ชัดเจน เป็นการแข่งขันที่มีกรอบกติกา และมีการยอมรับการพ่ายแพ้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใช่การพ่ายแพ้ตลอดกาล กลับทำให้ต้องมีการเตรียมตัวฟิตซ้อมให้ดีขึ้น

โรงเรียนไป-มามีโอกาสน้อยในการอบรมบ่มนิสัยเด็ก จึงควรส่งเสริมให้มีกิจกรรมมากๆ และเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เล่นกีฬาอย่างน้อยทุกวันๆ ละหนึ่งชั่วโมง โดยเฉพาะกีฬาที่เล่นเป็นทีม

ทุกชาติต่างมีวิธีการกล่อมเกลาพลเมืองของตน ไทยเราเป็นชาติที่เคยผ่านสมัยชาตินิยมมาแล้ว ในปัจจุบันแม้รัฐจะไม่มีแผนการสร้างนิสัยให้พลเมืองอย่างจริงจัง แต่ถ้ามีการสอนลักษณะนิสัยที่ดีอย่างน้อยห้าประการดังกล่าวมาแล้ว ก็จะช่วยลดปัญหาสังคมลงได้มาก
กำลังโหลดความคิดเห็น