.
กระทรวงพาณิชย์ได้แถลงข่าวเมื่อ 2-3 วันมานี้ว่าจะดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในปีการผลิตนี้ โดยวิธีการรับจำนำกุ้งในราคาที่จะได้พิจารณากำหนดต่อไป โดยจะเปิดรับจำนำขั้นแรกจำนวน 10,000 ตัน
เมื่อเริ่มต้นเรื่องราวด้วยการแสดงเจตนาที่จะช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ก็พอจะเห็นได้ว่าน่าจะเป็นเจตนาดี และควรที่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั้งประเทศจะได้สนใจติดตาม และเตรียมใจอนุโมทนาสาธุในความปรารถนาดีของรัฐบาลในครั้งนี้
แต่เรื่องราวของการรับจำนำแบบนี้มันเป็นแผลเป็นอยู่ในหัวใจของเกษตรกร และเป็นแผลฝังใจในใจของประชาชนคนไทยทั่วประเทศ เพราะที่ผ่านมานั้นมหกรรมโกงชาติอย่างหนึ่งก็ได้ใช้วิธีการรับจำนำแบบนี้แหละ
การรับจำนำกุ้งประมาณ 10,000 ตันในครั้งนี้ ประมาณการว่าจะต้องใช้เงินราว 2,000 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นภาษีอากรของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งถ้าหากเป็นมรรคเป็นผลจริงก็ควรแก่การอนุโมทนาสาธุ
แต่ถ้าเป็นการฉวยโอกาสโกงชาติโกงบ้านโกงเมืองโดยที่เกษตรกรก็ไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง ก็เป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศต้องช่วยกันจับตา ช่วยกันจับผิดแล้วเอาคนผิดไปเข้าคุกเข้าตะรางให้จงได้
ก็ขอบอกฝากเพื่อนชาวกวีศรีสยามแห่งขบวนการยามเฝ้าแผ่นดินให้ช่วยกันติดตามและช่วยกันบรรเพลงเพลงกวีในเรื่องนี้ ปลุกสำนึกให้คนไทยทั่วประเทศช่วยกันจับตาเพื่อให้การได้เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเรื่องการรับจำนำก่อนว่าปกตินั้นการรับจำนำก็คือการให้ยืมเงินชนิดหนึ่ง โดยมีสังหาริมทรัพย์เป็นประกัน คือเป็นทรัพย์จำนำเป็นประกันนั่นเอง
เมื่อถึงคราวชำระหนี้ หากไม่มีการไถ่จำนำ เจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์นำทรัพย์จำนำออกขาย ได้เงินมาเท่าใดก็เป็นอันว่าหมดหนี้หมดสินกันไป คือขายได้เงินมากกว่าหนี้ เจ้าหนี้ก็ได้กำไรไปอีกส่วนหนึ่ง แต่ถ้าขายทรัพย์จำนำได้น้อยกว่าหนี้ เจ้าหนี้ก็ขาดทุน เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันว่าบังคับจำนำได้เงินขาดเท่าใด ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบเพิ่มเติม ก็ต้องว่าไปตามข้อตกลงนั้น
เพราะเหตุที่การจำนำต้องใช้เวลา ดังนั้นหลักประกันที่นำมาจำนำจึงมักจะเป็นวัตถุที่เสียหายได้ยาก เช่น นาฬิกา สร้อยคอ เป็นต้น แต่ต่อมารัฐบาลก็ได้ขยับขยายการรับจำนำไปเป็นข้าวเปลือกบ้าง ข้าวโพดบ้าง มันสำปะหลังบ้าง ซึ่งก็พอกล้อมแกล้มกันไปได้
เพราะพืชผลเกษตรเหล่านี้อาจอยู่ได้เป็นปีโดยไม่เน่าเสีย แต่ต่อมาก็มีพวกหัวใสคิดอ่านโกงชาติโดยรับจำนำของเสียง่ายอ้างว่าช่วยเหลือเกษตรกร เช่นโครงการรับจำนำลิ้นจี่ รับจำนำลำไย และรับจำนำกุ้ง เป็นต้น
ของพวกนี้ไม่กี่วันก็เน่าเสีย ดังนั้นจึงเป็นช่องทางของการโกงชาติ โกงราษฎร์ไปพร้อมกัน คือแทนที่จะรับจำนำกันจริง ๆ ก็เอาเงินไปแบ่งปันกันเองโดยไม่ถึงมือเกษตรกร แล้วทำหลักฐานว่าของที่รับจำนำนั้นเน่าเสียหายไปหมดแล้ว เป็นอันว่าเงินรับจำนำเท่าใดก็ถูกโกงจนหมด โดยไม่ถึงมือเกษตรกรเลย
นี่คือแผลใหญ่แผลใจในหัวใจของเกษตรกรและประชาชนคนไทย ซึ่งถึงวันนี้คดีโกงแบบนี้ก็ยังชำระสะสางกันไม่เสร็จ ดังตัวอย่างเช่นการโกงในกรณีรับจำนำลำไยที่อ้างว่าลำไยที่รับจำนำไว้หายไปตั้ง 50,000 ตัน ซึ่งหากวัดเป็นปริมาณก็คงกองเต็มสนามหลวง สูงเท่ากับตึกใบหยก
มันหายไปก็เพราะโกงกันโดยวิธีที่ว่านี้แหละ!
ในปีการผลิต 2550 นี้ การเลี้ยงกุ้งได้ผลดี มีผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 10% ทำให้ปริมาณการผลิตกุ้งได้มากถึง 500,000 ตัน แต่ราคากุ้งกลับตกต่ำและส่งออกไม่ได้ เพราะค่าเงินบาทแข็ง ราคากุ้งจึงแพง แข่งขันกับตลาดโลกเขาไม่ได้
เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจึงเดือดร้อนกันทั้งประเทศ แล้วก็ไม่มีหน่วยงานไหนใส่ใจช่วยเหลือ ยิ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งนายกรัฐมนตรีก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง ดังนั้นเสียงร้องระงมของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจึงก้องกระหึ่มไปทุกหย่อมหญ้า
ดังนั้นพอกระทรวงพาณิชย์แสดงเจตนาว่าจะช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ผู้คนก็ชื่นใจ แต่พอเอาเข้าจริงก็จะรับจำนำกันเพียง 10,000 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่าเงินราว ๆ 2,000 ล้านบาทเท่านั้น
จำนวนที่จะรับจำนำแค่ 10,000 ตันมันไม่พอยาไส้ และบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งได้เลย เพราะปริมาณการผลิตกุ้งถึง 500,000 ตัน แต่จะรับจำนำกันเพียง 10,000 ตัน ย่อมเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย น้ำหยดเดียวจะไปดับไฟใหญ่อย่างไรได้
ดังนั้นโครงการรับจำนำกุ้ง 10,000 ตันจึงทำให้เกิดความกังวลและสงสัยว่าอาจมีการเลือกปฏิบัติรับจำนำเอาเฉพาะผู้ที่มีอำนาจวาสนาหรือมีบุญใกล้ชิดกับผู้คนในรัฐบาลหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรืออย่างไรกัน
เพราะเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งหรืออีกนัยหนึ่งก็คือปริมาณกุ้งที่เหลืออีกร่วม 500,000 ตันนั้นก็ยังขาดทุนย่อยยับเหมือนเดิม นี่เป็นความกังวลสงสัยประการแรก
ในประการถัดมา ก็ต้องตั้งคำถามว่าการจะรับจำนำกุ้ง 10,000 ตันนั้นจะรับจำนำกุ้งชนิดไหน เพราะกุ้งมีอยู่หลายชนิด คือกุ้งกุลาชนิดหนึ่ง กุ้งขาวชนิดหนึ่ง กุ้งแม่น้ำหรือที่เรียกกันว่ากุ้งหลวงชนิดหนึ่ง ส่วนกุ้งฝอยนั้นแม้จะมีการเลี้ยงบ้างก็เพียงเล็กน้อย คงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
กระทรวงพาณิชย์จะรับจำนำกุ้งชนิดไหนก็ควรจะประกาศกันให้ชัดเจน เพราะกุ้งแต่ละชนิดนั้นเป็นผลประโยชน์ของคนแต่ละกลุ่ม คือถ้าเป็นกุ้งแม่น้ำก็เป็นที่แน่นอนว่าผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงคือเกษตรกรตัวจริง เพราะไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไหนเขาเลี้ยงกุ้งแม่น้ำ
ดังนั้นจึงต้องจับตาดูกันให้ดีและเห็นทีว่าการรับจำนำกุ้ง 10,000 ตันนี้น่าจะเป็นการรับจำนำกุ้งกุลาและกุ้งขาว ซึ่งเป็นกุ้งที่บริษัทยักษ์ใหญ่เขาทำกันเป็นฟาร์ม ในขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศก็เลี้ยงกุ้งประเภทดังกล่าวด้วย
ถัดมาอีกก็ต้องจับตาดูกันให้ดีว่าเป็นการรับจำนำกุ้งสดหรือเป็นการรับจำนำกุ้งแช่แข็งกันแน่ เพราะตรงนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าโครงการนี้ตั้งขึ้นเพื่อนายทุนยักษ์ใหญ่หรือเพื่อเกษตรกรกันแน่?
เพราะบรรดาเกษตรกรทั้งประเทศที่เลี้ยงกุ้ง ไม่ว่าจะเลี้ยงกุ้งกุลาหรือกุ้งขาวก็ตาม เขาไม่มีห้องเย็นเก็บกุ้งแช่แข็งเอง เขาขายผลผลิตกันสด ๆ คือผลิตกุ้งได้เท่าใดก็ขายไปสด ๆ เท่านั้น อยู่ได้แค่วันเดียวก็เน่าเสียแล้ว
เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจะขายกุ้งให้กับเอเย่นต์ผู้รับซื้อกุ้ง ซึ่งจะนำกุ้งนั้นไปขายต่อให้กับโรงงานแช่แข็งอีกต่อหนึ่งเพื่อเตรียมการส่งออก ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำการเลี้ยงกุ้งเขาเลี้ยงกุ้งเองแบบอุตสาหกรรม ครั้นถึงเวลาจับกุ้งก็ส่งเข้าห้องเย็นแช่แข็งของตนเองในทันทีเพื่อเตรียมการส่งออก
ดังนั้นถ้าเป็นการรับจำนำกุ้งสดก็พอเชื่อได้ว่าโครงการรับจำนำครั้งนี้มีเจตนาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งโดยตรง และควรสนับสนุนแต่ถ้าเป็นการรับจำนำกุ้งแช่แข็งแล้วไซร้ ก็ช่วยกันด่าล่วงหน้าได้เลยว่านี่เป็นโครงการโกงชาติและเป็นโครงการเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทผู้ส่งออกยักษ์ใหญ่โดยที่ไม่มีผลประโยชน์ตกแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเลย
เพราะถ้าเป็นการรับจำนำกุ้งแช่แข็งก็ไม่มีทางที่จะรับจำนำจากเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเพราะเขาไม่มีโรงงานแช่แข็งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่มีโรงงานแช่แข็งที่จะรับเอากุ้งสดที่รับจำนำมาแช่แข็งเอาไว้ได้ ทั้งการรับจำนำกุ้งสดนั้น กระทรวงพาณิชย์ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ออกไปรับจำนำทุกหัวระแหงทั่วประเทศ
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการรับจำนำกุ้งสดจากเกษตรกร เพราะเหตุนี้จึงต้องจับตาดูกันให้ดีว่าโครงการรับจำนำกุ้ง 10,000 ตันนี้เห็นทีจะเป็นโครงการรับจำนำกุ้งแช่แข็งจากบริษัทผู้ส่งออก หรือยักษ์ใหญ่ผู้เลี้ยงกุ้ง หรือยักษ์ใหญ่ผู้ทำการค้ากุ้ง ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนโดยไม่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างแท้จริงตามที่คนทั้งหลายเข้าใจ
เอาล่ะ ถ้าหากจะมีการยืนยันว่าเป็นโครงการรับจำนำกุ้งสด ก็ต้องเฝ้าจับตากันให้ดีเพราะนี่จะเป็นลีลาโกงชาติที่ชัดเจนตามแบบที่เคยทำกันมาแล้ว คือเอาเงินไปแบ่งปันกันในหมู่คณะโดยไม่ได้รับจำนำกับเกษตรกร แล้วในที่สุดก็จะมีการทำหลักฐานเท็จว่ากุ้งซึ่งรับจำนำเน่าเสียหมดแล้ว ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนั่นเอง
ใครก็ได้ช่วยเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านนายกรัฐมนตรีให้รู้ท่าทีอย่างรู้เท่าทันเพื่อไม่ให้การโกงชาติเกิดขึ้นในสมัยนี้ และช่วยเอาเรื่องนี้ไปส่งให้คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ช่วยจับจ้องติดตามดูสักหน่อย
จะได้กระชากหน้ากากไอ้พวกโคตรโกงที่ยังแอบแฝงฝังและไม่รู้จักเข็ดหลาบเอามาประจานกันกลางสนามหลวงต่อไป.
กระทรวงพาณิชย์ได้แถลงข่าวเมื่อ 2-3 วันมานี้ว่าจะดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในปีการผลิตนี้ โดยวิธีการรับจำนำกุ้งในราคาที่จะได้พิจารณากำหนดต่อไป โดยจะเปิดรับจำนำขั้นแรกจำนวน 10,000 ตัน
เมื่อเริ่มต้นเรื่องราวด้วยการแสดงเจตนาที่จะช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ก็พอจะเห็นได้ว่าน่าจะเป็นเจตนาดี และควรที่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั้งประเทศจะได้สนใจติดตาม และเตรียมใจอนุโมทนาสาธุในความปรารถนาดีของรัฐบาลในครั้งนี้
แต่เรื่องราวของการรับจำนำแบบนี้มันเป็นแผลเป็นอยู่ในหัวใจของเกษตรกร และเป็นแผลฝังใจในใจของประชาชนคนไทยทั่วประเทศ เพราะที่ผ่านมานั้นมหกรรมโกงชาติอย่างหนึ่งก็ได้ใช้วิธีการรับจำนำแบบนี้แหละ
การรับจำนำกุ้งประมาณ 10,000 ตันในครั้งนี้ ประมาณการว่าจะต้องใช้เงินราว 2,000 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นภาษีอากรของประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งถ้าหากเป็นมรรคเป็นผลจริงก็ควรแก่การอนุโมทนาสาธุ
แต่ถ้าเป็นการฉวยโอกาสโกงชาติโกงบ้านโกงเมืองโดยที่เกษตรกรก็ไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริง ก็เป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศต้องช่วยกันจับตา ช่วยกันจับผิดแล้วเอาคนผิดไปเข้าคุกเข้าตะรางให้จงได้
ก็ขอบอกฝากเพื่อนชาวกวีศรีสยามแห่งขบวนการยามเฝ้าแผ่นดินให้ช่วยกันติดตามและช่วยกันบรรเพลงเพลงกวีในเรื่องนี้ ปลุกสำนึกให้คนไทยทั่วประเทศช่วยกันจับตาเพื่อให้การได้เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเรื่องการรับจำนำก่อนว่าปกตินั้นการรับจำนำก็คือการให้ยืมเงินชนิดหนึ่ง โดยมีสังหาริมทรัพย์เป็นประกัน คือเป็นทรัพย์จำนำเป็นประกันนั่นเอง
เมื่อถึงคราวชำระหนี้ หากไม่มีการไถ่จำนำ เจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์นำทรัพย์จำนำออกขาย ได้เงินมาเท่าใดก็เป็นอันว่าหมดหนี้หมดสินกันไป คือขายได้เงินมากกว่าหนี้ เจ้าหนี้ก็ได้กำไรไปอีกส่วนหนึ่ง แต่ถ้าขายทรัพย์จำนำได้น้อยกว่าหนี้ เจ้าหนี้ก็ขาดทุน เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันว่าบังคับจำนำได้เงินขาดเท่าใด ลูกหนี้ต้องรับผิดชอบเพิ่มเติม ก็ต้องว่าไปตามข้อตกลงนั้น
เพราะเหตุที่การจำนำต้องใช้เวลา ดังนั้นหลักประกันที่นำมาจำนำจึงมักจะเป็นวัตถุที่เสียหายได้ยาก เช่น นาฬิกา สร้อยคอ เป็นต้น แต่ต่อมารัฐบาลก็ได้ขยับขยายการรับจำนำไปเป็นข้าวเปลือกบ้าง ข้าวโพดบ้าง มันสำปะหลังบ้าง ซึ่งก็พอกล้อมแกล้มกันไปได้
เพราะพืชผลเกษตรเหล่านี้อาจอยู่ได้เป็นปีโดยไม่เน่าเสีย แต่ต่อมาก็มีพวกหัวใสคิดอ่านโกงชาติโดยรับจำนำของเสียง่ายอ้างว่าช่วยเหลือเกษตรกร เช่นโครงการรับจำนำลิ้นจี่ รับจำนำลำไย และรับจำนำกุ้ง เป็นต้น
ของพวกนี้ไม่กี่วันก็เน่าเสีย ดังนั้นจึงเป็นช่องทางของการโกงชาติ โกงราษฎร์ไปพร้อมกัน คือแทนที่จะรับจำนำกันจริง ๆ ก็เอาเงินไปแบ่งปันกันเองโดยไม่ถึงมือเกษตรกร แล้วทำหลักฐานว่าของที่รับจำนำนั้นเน่าเสียหายไปหมดแล้ว เป็นอันว่าเงินรับจำนำเท่าใดก็ถูกโกงจนหมด โดยไม่ถึงมือเกษตรกรเลย
นี่คือแผลใหญ่แผลใจในหัวใจของเกษตรกรและประชาชนคนไทย ซึ่งถึงวันนี้คดีโกงแบบนี้ก็ยังชำระสะสางกันไม่เสร็จ ดังตัวอย่างเช่นการโกงในกรณีรับจำนำลำไยที่อ้างว่าลำไยที่รับจำนำไว้หายไปตั้ง 50,000 ตัน ซึ่งหากวัดเป็นปริมาณก็คงกองเต็มสนามหลวง สูงเท่ากับตึกใบหยก
มันหายไปก็เพราะโกงกันโดยวิธีที่ว่านี้แหละ!
ในปีการผลิต 2550 นี้ การเลี้ยงกุ้งได้ผลดี มีผลผลิตเพิ่มขึ้นถึง 10% ทำให้ปริมาณการผลิตกุ้งได้มากถึง 500,000 ตัน แต่ราคากุ้งกลับตกต่ำและส่งออกไม่ได้ เพราะค่าเงินบาทแข็ง ราคากุ้งจึงแพง แข่งขันกับตลาดโลกเขาไม่ได้
เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจึงเดือดร้อนกันทั้งประเทศ แล้วก็ไม่มีหน่วยงานไหนใส่ใจช่วยเหลือ ยิ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งนายกรัฐมนตรีก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง ดังนั้นเสียงร้องระงมของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจึงก้องกระหึ่มไปทุกหย่อมหญ้า
ดังนั้นพอกระทรวงพาณิชย์แสดงเจตนาว่าจะช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง ผู้คนก็ชื่นใจ แต่พอเอาเข้าจริงก็จะรับจำนำกันเพียง 10,000 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่าเงินราว ๆ 2,000 ล้านบาทเท่านั้น
จำนวนที่จะรับจำนำแค่ 10,000 ตันมันไม่พอยาไส้ และบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งได้เลย เพราะปริมาณการผลิตกุ้งถึง 500,000 ตัน แต่จะรับจำนำกันเพียง 10,000 ตัน ย่อมเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย น้ำหยดเดียวจะไปดับไฟใหญ่อย่างไรได้
ดังนั้นโครงการรับจำนำกุ้ง 10,000 ตันจึงทำให้เกิดความกังวลและสงสัยว่าอาจมีการเลือกปฏิบัติรับจำนำเอาเฉพาะผู้ที่มีอำนาจวาสนาหรือมีบุญใกล้ชิดกับผู้คนในรัฐบาลหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หรืออย่างไรกัน
เพราะเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งหรืออีกนัยหนึ่งก็คือปริมาณกุ้งที่เหลืออีกร่วม 500,000 ตันนั้นก็ยังขาดทุนย่อยยับเหมือนเดิม นี่เป็นความกังวลสงสัยประการแรก
ในประการถัดมา ก็ต้องตั้งคำถามว่าการจะรับจำนำกุ้ง 10,000 ตันนั้นจะรับจำนำกุ้งชนิดไหน เพราะกุ้งมีอยู่หลายชนิด คือกุ้งกุลาชนิดหนึ่ง กุ้งขาวชนิดหนึ่ง กุ้งแม่น้ำหรือที่เรียกกันว่ากุ้งหลวงชนิดหนึ่ง ส่วนกุ้งฝอยนั้นแม้จะมีการเลี้ยงบ้างก็เพียงเล็กน้อย คงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
กระทรวงพาณิชย์จะรับจำนำกุ้งชนิดไหนก็ควรจะประกาศกันให้ชัดเจน เพราะกุ้งแต่ละชนิดนั้นเป็นผลประโยชน์ของคนแต่ละกลุ่ม คือถ้าเป็นกุ้งแม่น้ำก็เป็นที่แน่นอนว่าผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงคือเกษตรกรตัวจริง เพราะไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไหนเขาเลี้ยงกุ้งแม่น้ำ
ดังนั้นจึงต้องจับตาดูกันให้ดีและเห็นทีว่าการรับจำนำกุ้ง 10,000 ตันนี้น่าจะเป็นการรับจำนำกุ้งกุลาและกุ้งขาว ซึ่งเป็นกุ้งที่บริษัทยักษ์ใหญ่เขาทำกันเป็นฟาร์ม ในขณะที่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศก็เลี้ยงกุ้งประเภทดังกล่าวด้วย
ถัดมาอีกก็ต้องจับตาดูกันให้ดีว่าเป็นการรับจำนำกุ้งสดหรือเป็นการรับจำนำกุ้งแช่แข็งกันแน่ เพราะตรงนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าโครงการนี้ตั้งขึ้นเพื่อนายทุนยักษ์ใหญ่หรือเพื่อเกษตรกรกันแน่?
เพราะบรรดาเกษตรกรทั้งประเทศที่เลี้ยงกุ้ง ไม่ว่าจะเลี้ยงกุ้งกุลาหรือกุ้งขาวก็ตาม เขาไม่มีห้องเย็นเก็บกุ้งแช่แข็งเอง เขาขายผลผลิตกันสด ๆ คือผลิตกุ้งได้เท่าใดก็ขายไปสด ๆ เท่านั้น อยู่ได้แค่วันเดียวก็เน่าเสียแล้ว
เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งจะขายกุ้งให้กับเอเย่นต์ผู้รับซื้อกุ้ง ซึ่งจะนำกุ้งนั้นไปขายต่อให้กับโรงงานแช่แข็งอีกต่อหนึ่งเพื่อเตรียมการส่งออก ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำการเลี้ยงกุ้งเขาเลี้ยงกุ้งเองแบบอุตสาหกรรม ครั้นถึงเวลาจับกุ้งก็ส่งเข้าห้องเย็นแช่แข็งของตนเองในทันทีเพื่อเตรียมการส่งออก
ดังนั้นถ้าเป็นการรับจำนำกุ้งสดก็พอเชื่อได้ว่าโครงการรับจำนำครั้งนี้มีเจตนาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งโดยตรง และควรสนับสนุนแต่ถ้าเป็นการรับจำนำกุ้งแช่แข็งแล้วไซร้ ก็ช่วยกันด่าล่วงหน้าได้เลยว่านี่เป็นโครงการโกงชาติและเป็นโครงการเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทผู้ส่งออกยักษ์ใหญ่โดยที่ไม่มีผลประโยชน์ตกแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเลย
เพราะถ้าเป็นการรับจำนำกุ้งแช่แข็งก็ไม่มีทางที่จะรับจำนำจากเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเพราะเขาไม่มีโรงงานแช่แข็งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่มีโรงงานแช่แข็งที่จะรับเอากุ้งสดที่รับจำนำมาแช่แข็งเอาไว้ได้ ทั้งการรับจำนำกุ้งสดนั้น กระทรวงพาณิชย์ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่ออกไปรับจำนำทุกหัวระแหงทั่วประเทศ
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการรับจำนำกุ้งสดจากเกษตรกร เพราะเหตุนี้จึงต้องจับตาดูกันให้ดีว่าโครงการรับจำนำกุ้ง 10,000 ตันนี้เห็นทีจะเป็นโครงการรับจำนำกุ้งแช่แข็งจากบริษัทผู้ส่งออก หรือยักษ์ใหญ่ผู้เลี้ยงกุ้ง หรือยักษ์ใหญ่ผู้ทำการค้ากุ้ง ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนโดยไม่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างแท้จริงตามที่คนทั้งหลายเข้าใจ
เอาล่ะ ถ้าหากจะมีการยืนยันว่าเป็นโครงการรับจำนำกุ้งสด ก็ต้องเฝ้าจับตากันให้ดีเพราะนี่จะเป็นลีลาโกงชาติที่ชัดเจนตามแบบที่เคยทำกันมาแล้ว คือเอาเงินไปแบ่งปันกันในหมู่คณะโดยไม่ได้รับจำนำกับเกษตรกร แล้วในที่สุดก็จะมีการทำหลักฐานเท็จว่ากุ้งซึ่งรับจำนำเน่าเสียหมดแล้ว ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนั่นเอง
ใครก็ได้ช่วยเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านนายกรัฐมนตรีให้รู้ท่าทีอย่างรู้เท่าทันเพื่อไม่ให้การโกงชาติเกิดขึ้นในสมัยนี้ และช่วยเอาเรื่องนี้ไปส่งให้คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ช่วยจับจ้องติดตามดูสักหน่อย
จะได้กระชากหน้ากากไอ้พวกโคตรโกงที่ยังแอบแฝงฝังและไม่รู้จักเข็ดหลาบเอามาประจานกันกลางสนามหลวงต่อไป.