วานนี้(13 ก.ค.) ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ พ.ศ... โดยมี นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข ประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้
พิจารณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ ที่มีมติห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสื่อวิทยุ โทรทัศน์
สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออิเลคทรอนิกส์ ตามมาตรา 31-34 เกี่ยวกับการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีลักษณะผ่อนปรน
มากกว่าร่าง พ.ร.บ.ที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอครั้งแรก
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ใช้เวลาถกเถียงกันมาก ในมาตรา 31 ที่ระบุห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแสดง
ชื่อ หรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะใน (2) ที่ระบุมิให้ใช้บังคับในกรณีที่ได้กระทำภายในสถานบริการ
ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ อาทิ ผับ บาร์ ฯลฯ โดยนายประพันธ์ คูณมี ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ เสนอว่า เหตุที่ยก
เว้นเนื่องจากหลักการของกฎหมายไม่ได้ห้ามไม่ให้คนดื่มสุรา ดังนั้น การโฆษณาในสถานที่อนุญาตให้บุคคลที่บรรลุนิติภาวะ
คืออายุ 20 ปีขึ้นไป ย่อมสามารถทำได้ ทั้งนี้การโฆษณาต้องเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของอนุกรรมาธิการฯ คือไม่ควรห้ามการโฆษณาเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสถานที่เฉพาะ เพราะเด็กและเยาวชนไม่สามารถเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่ปรากฎว่า กรรมธิการส่วนหนึ่ง อาทิ
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายอัมมาร สยามวาลา นายแสวง บุญเฉลิมวิภาส นายณรงค์ โชควัฒนา นพ.บัณฑิต ศรไพศาล และนพ.
ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ได้ขอสงวนความเห็นโดยต้องการให้ตัดข้อยกเว้นในวรรคท้ายของมาตราดังกล่าว ขณะที่กรรมาธิการฯ
ส่วนใหญ่เห็นด้วย ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบกับ มาตรา 31 ตามที่คณะอนุกรรมาธิการฯ เสนอ
จากนั้นได้มีการพิจารณาถึง มาตรา 31/3 กรณีป้ายโฆษณา ที่คณะอนุกรรมาธิการฯ ระบุให้ ป้ายโฆษณาต้องไม่
ปรากฏภาพผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ปรากฏภาพของบุคคล ห้ามมีลักษณะเชิญชวน ส่วนอย่างอื่นสามารถโฆษณาได้
อาทิ โลโก้ ชื่อผลิตภัณฑ์ฯลฯ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศ เว้นแต่ป้ายโฆษณาที่อยู่
ภายในสถานที่บริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ นอกจากนี้ ประกาศ วรรคหนึ่งยังกำหนดเกี่ยวกับขนาดพื้นที่ของป้าย
โฆษณา และขนาดพื้นที่ของข้อความคำเตือน ซึ่งขนาดพื้นที่ของข้อความคำเตือน ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของพื้นที่ป้าย
โฆษณา และอยู่ส่วนบนสุดของพื้นที่ป้ายโฆษณาด้วย ขณะที่นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ คัดค้านพร้อมทั้งระบุว่า ควรมีการห้าม
โฆษณาทั้งโลโก้ และชื่อผลิตภัณฑ์ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพิจารณาครั้งนี้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ยังไม่สามารถได้ข้อสรุปที่ชัดเจนโดยเฉพาะประเด็น
ป้ายโฆษณา ยังไม่สามารถยืนยันตามมติคณะอนุกรรมาธิการ ขณะที่ นพ. มงคล ต้องการให้มีข้อสรุปในมาตรา 31 แต่ที่ประชุม
บางส่วนกลับต้องการให้แขวนมาตราดังกล่าวไว้ก่อน โดยค่อยกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ นายคำนูณ สิทธิสมาน นาง
สุรางค์ เปรมปรีดิ์ และนางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด สงวนความเห็นประเด็นดังกล่าว
นพ.มงคล กล่าวหลังการประชุม ว่า การประชุมครั้งนี้ชัดเจนเพียงประเด็นเดียวในมาตรา 31 คือ อนุญาตให้โฆษณา
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานบันเทิง อาทิ ผับ บาร์ ได้ เนื่องจากเป็นสถานที่จำเพาะที่บุคคลเข้าไปดื่มเพื่อผ่อนคลาย และเป็น
บุคคลที่บรรลุนิติภาวะ จึงไม่ใช่การยั่วยุวัยรุ่น หรือนักดื่มหน้าใหม่แต่อย่างใด ทั้งนี้ แม้จะสามารถโฆษณาได้ก็ต้องเป็นไปตาม
เงื่อนไข โดยเฉพาะห้ามเห็นโฆษณาจากภายนอก ส่วนประเด็นเรื่องป้ายโฆษณา ยังมีข้อถกเถียงกันมาก โดยที่ประชุมส่วน
ใหญ่ให้คงไว้ตามร่างเดิมที่ ห้ามโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด แต่บางส่วนยังต้องการให้แขวนไว้ก่อน และค่อยกลับมา
พิจารณาใหม่อีกครั้ง หลังจากมีการพิจารณามาตราอื่นๆ แล้ว โดยเฉพาะในสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมีความ
เข้มแค่ไหน อย่างไรก็ตาม จะมีการพิจารณามาตราอื่นๆ อีกครั้งในวันที่ 20 ก.ค.นี้ คาดว่า อาจต้องประชุมกันอีกประมาณ 2-3
ครั้งจะได้ข้อสรุปทั้งหมดของ มาตรา 31-34
"ส่วนที่มีผู้กังวลว่า ข้อสรุปที่ได้จะผ่อนปรนมากเกินไปนั้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าร่างดัง
กล่าว มีความก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ และกรรมาธิการทุกคนก็ห่วงใยเยาวชน คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเด็ก คิดว่าร่าง
พ.ร.บ.นี้ จะควบคุมและลดนักดื่มหน้าใหม่ได้อย่างแน่นอน ส่วนฝ่ายธุรกิจที่เรียกร้องให้พิจารณาโดยยึดหลักสายกลาง ขอยืน
ยันว่า ต้องดูว่าสายกลางของแต่ละคนอยู่ตรงไหน เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างจะดำเนินการโดยทุกฝ่ายอยู่ได้ทั้งหมด ไม่ใช่อีก
ฝ่ายหนึ่งอยู่ หรืออีกฝ่ายตาย" นพ.มงคล กล่าว
แอลกอฮอล์ พ.ศ... โดยมี นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข ประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้
พิจารณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ ที่มีมติห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสื่อวิทยุ โทรทัศน์
สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออิเลคทรอนิกส์ ตามมาตรา 31-34 เกี่ยวกับการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีลักษณะผ่อนปรน
มากกว่าร่าง พ.ร.บ.ที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอครั้งแรก
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ใช้เวลาถกเถียงกันมาก ในมาตรา 31 ที่ระบุห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแสดง
ชื่อ หรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะใน (2) ที่ระบุมิให้ใช้บังคับในกรณีที่ได้กระทำภายในสถานบริการ
ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ อาทิ ผับ บาร์ ฯลฯ โดยนายประพันธ์ คูณมี ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ เสนอว่า เหตุที่ยก
เว้นเนื่องจากหลักการของกฎหมายไม่ได้ห้ามไม่ให้คนดื่มสุรา ดังนั้น การโฆษณาในสถานที่อนุญาตให้บุคคลที่บรรลุนิติภาวะ
คืออายุ 20 ปีขึ้นไป ย่อมสามารถทำได้ ทั้งนี้การโฆษณาต้องเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของอนุกรรมาธิการฯ คือไม่ควรห้ามการโฆษณาเครื่องดื่ม
แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสถานที่เฉพาะ เพราะเด็กและเยาวชนไม่สามารถเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่ปรากฎว่า กรรมธิการส่วนหนึ่ง อาทิ
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายอัมมาร สยามวาลา นายแสวง บุญเฉลิมวิภาส นายณรงค์ โชควัฒนา นพ.บัณฑิต ศรไพศาล และนพ.
ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ได้ขอสงวนความเห็นโดยต้องการให้ตัดข้อยกเว้นในวรรคท้ายของมาตราดังกล่าว ขณะที่กรรมาธิการฯ
ส่วนใหญ่เห็นด้วย ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบกับ มาตรา 31 ตามที่คณะอนุกรรมาธิการฯ เสนอ
จากนั้นได้มีการพิจารณาถึง มาตรา 31/3 กรณีป้ายโฆษณา ที่คณะอนุกรรมาธิการฯ ระบุให้ ป้ายโฆษณาต้องไม่
ปรากฏภาพผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ปรากฏภาพของบุคคล ห้ามมีลักษณะเชิญชวน ส่วนอย่างอื่นสามารถโฆษณาได้
อาทิ โลโก้ ชื่อผลิตภัณฑ์ฯลฯ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศ เว้นแต่ป้ายโฆษณาที่อยู่
ภายในสถานที่บริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ นอกจากนี้ ประกาศ วรรคหนึ่งยังกำหนดเกี่ยวกับขนาดพื้นที่ของป้าย
โฆษณา และขนาดพื้นที่ของข้อความคำเตือน ซึ่งขนาดพื้นที่ของข้อความคำเตือน ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของพื้นที่ป้าย
โฆษณา และอยู่ส่วนบนสุดของพื้นที่ป้ายโฆษณาด้วย ขณะที่นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ คัดค้านพร้อมทั้งระบุว่า ควรมีการห้าม
โฆษณาทั้งโลโก้ และชื่อผลิตภัณฑ์ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพิจารณาครั้งนี้ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง ยังไม่สามารถได้ข้อสรุปที่ชัดเจนโดยเฉพาะประเด็น
ป้ายโฆษณา ยังไม่สามารถยืนยันตามมติคณะอนุกรรมาธิการ ขณะที่ นพ. มงคล ต้องการให้มีข้อสรุปในมาตรา 31 แต่ที่ประชุม
บางส่วนกลับต้องการให้แขวนมาตราดังกล่าวไว้ก่อน โดยค่อยกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ นายคำนูณ สิทธิสมาน นาง
สุรางค์ เปรมปรีดิ์ และนางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด สงวนความเห็นประเด็นดังกล่าว
นพ.มงคล กล่าวหลังการประชุม ว่า การประชุมครั้งนี้ชัดเจนเพียงประเด็นเดียวในมาตรา 31 คือ อนุญาตให้โฆษณา
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานบันเทิง อาทิ ผับ บาร์ ได้ เนื่องจากเป็นสถานที่จำเพาะที่บุคคลเข้าไปดื่มเพื่อผ่อนคลาย และเป็น
บุคคลที่บรรลุนิติภาวะ จึงไม่ใช่การยั่วยุวัยรุ่น หรือนักดื่มหน้าใหม่แต่อย่างใด ทั้งนี้ แม้จะสามารถโฆษณาได้ก็ต้องเป็นไปตาม
เงื่อนไข โดยเฉพาะห้ามเห็นโฆษณาจากภายนอก ส่วนประเด็นเรื่องป้ายโฆษณา ยังมีข้อถกเถียงกันมาก โดยที่ประชุมส่วน
ใหญ่ให้คงไว้ตามร่างเดิมที่ ห้ามโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด แต่บางส่วนยังต้องการให้แขวนไว้ก่อน และค่อยกลับมา
พิจารณาใหม่อีกครั้ง หลังจากมีการพิจารณามาตราอื่นๆ แล้ว โดยเฉพาะในสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมีความ
เข้มแค่ไหน อย่างไรก็ตาม จะมีการพิจารณามาตราอื่นๆ อีกครั้งในวันที่ 20 ก.ค.นี้ คาดว่า อาจต้องประชุมกันอีกประมาณ 2-3
ครั้งจะได้ข้อสรุปทั้งหมดของ มาตรา 31-34
"ส่วนที่มีผู้กังวลว่า ข้อสรุปที่ได้จะผ่อนปรนมากเกินไปนั้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะเชื่อว่าร่างดัง
กล่าว มีความก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ และกรรมาธิการทุกคนก็ห่วงใยเยาวชน คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเด็ก คิดว่าร่าง
พ.ร.บ.นี้ จะควบคุมและลดนักดื่มหน้าใหม่ได้อย่างแน่นอน ส่วนฝ่ายธุรกิจที่เรียกร้องให้พิจารณาโดยยึดหลักสายกลาง ขอยืน
ยันว่า ต้องดูว่าสายกลางของแต่ละคนอยู่ตรงไหน เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างจะดำเนินการโดยทุกฝ่ายอยู่ได้ทั้งหมด ไม่ใช่อีก
ฝ่ายหนึ่งอยู่ หรืออีกฝ่ายตาย" นพ.มงคล กล่าว