พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งมีพระปฐมบรมราชโองการเมื่อขึ้นครองราชย์ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ได้ทรงมีพระบรมราโชวาทหลายครั้งเพื่อเป็นแนวทางสำหรับนักกฎหมาย ผู้พิพากษา ดังต่อไปนี้ คือ
“กฎหมายนั้น โดยหลักการจะต้องบัญญัติขึ้นใช้เป็นอย่างเดียวกันและเสมอกันสำหรับคนทั้งประเทศ จึงเป็นธรรมดาที่จะบังคับใช้ให้ได้ผลบริบูรณ์ครบถ้วนทุกกรณีไม่ได้คงต้องมีส่วนบกพร่องเกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง ตามเหตุการณ์และตัวบุคคลผู้นำกฎหมายมาใช้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ใช้กฎหมายจะต้องสำนึกตระหนักในความรับผิดชอบของตนเองอยู่ตลอดเวลา ในอันที่จะใช้กฎหมายเพื่อธำรงรักษา และผดุงความยุติธรรมถูกต้องเพียงอย่างเดียว มิใช่เพื่อผลประโยชน์อย่างอื่นๆ ในขณะนี้ทุกคนต้องทำใจให้หนักแน่นเที่ยงตรงปราศจากอคติ ให้กล้าแข็ง ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรมให้สุขุมรอบคอบ ประกอบด้วยสติและปัญญาที่จะตรวจตราและพินิจพิจารณาหาทางที่จะใช้ตัวบทกฎหมายให้ได้ผลตรงตามจุดประสงค์ คือให้เกิดความถูกต้องเที่ยงตรง โดยบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ยอมปล่อยให้มีผู้อาศัย ข้อบกพร่องทางกฎหมาย เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นในทางไม่เป็นธรรมได้ ทั้งต้องดำรงตนให้เป็นที่พึ่งของสุจริตชนด้วยเสมอ นักกฎหมายจึงจะสามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และความผาสุกของบ้านเมืองไว้ได้”
(จากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานแก่ผู้จบการศึกษาจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2523)
....กฎหมายนั้นไม่ใช่ตัวความยุติธรรม เป็นแต่เพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับใช้ในการรักษาและอำนวยความยุติธรรมเท่านั้น การใช้กฎหมายจึงต้องมุ่งหมายใช้เพื่อรักษาความยุติธรรม ไม่ใช่เพื่อรักษาตัวบทของกฎหมายเอง และการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดิน ก็มิได้มีวงแคบอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย หากต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย...
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้วิชาความรู้ชั้นเนติบัณฑิต สมัยที่ 33 ปีการศึกษา 2523 ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร 29 ตุลาคม 2524)
...ทุกคนจะต้องคิดพิจารณาและต้องสำนึกว่ากฎหมายไม่ใช่เครื่องจักรแท้ที่เรียกว่ากลไกของกระบวนการยุติธรรม กฎหมายไม่ใช่กลไก แต่เป็นสิ่งที่ต้องใช้สมองคิด และสมองนี้ออกจะยืดหยุ่นได้มาก จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ และพยายามถ่ายทอดการพิจารณาอันรอบคอบนั้นให้เป็นหลักวิชาที่เป็นที่เข้าใจแก่ประชาชนและแก่ตนเอง...
(พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงาน “นิติศาสตร์จุฬา” ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 13 มีนาคม 2512)
...กฎหมายทั้งปวงจะธำรงความยุติธรรมและถูกต้องเที่ยงตรง หรือจะธำรงความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพเต็มเปี่ยมอยู่ได้หรือไม่เพียงไรนั้นขึ้นอยู่กับการใช้ คือ ถ้าใช้ให้ได้ถูกวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นๆ จริงแล้ว ก็จะทรงความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพอันสมบูรณ์ไว้ได้ แต่ถ้าหากนำไปใช้ให้ผิดวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ โดยการพลิกแพลงบิดพลิ้วให้ผันผวนไปด้วยความหลงผิดด้วยอคติ หรือด้วยเจตนาอันไม่สุจริตต่างๆ กฎหมายก็เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพลงทันที และกลับกลายเป็นพิษเป็นภัยแก่ประชาชนอย่างใหญ่หลวง...
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร 19 กรกฎาคม ตุลาคม 2520)
แต่ที่สำคัญการวิพากษ์วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย หลักนิติธรรม กระบวนการยุติธรรม ความยุติธรรม ฯลฯ จะต้องกระทำด้วยวิชาความรู้ ด้วยใจเที่ยงธรรม มากกว่าการใช้ข้อพิจารณาทางการเมืองด้วยอารมณ์เป็นฝักเป็นฝ่าย แสดงความคิดเห็นโดยใช้ความรู้สึกจนไม่สามารถทำใจให้เที่ยงตรงได้ ซึ่งปรากฏเห็นอย่างดาษดื่นในการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นของนักนิติศาสตร์ทั้งสองฝ่าย และขณะเดียวกันผู้วิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งกับแสดงความไม่รู้ถึงหลักการทางกฎหมายอย่างสิ้นเชิง หากแต่ใช้ความสามัญสำนึกและความรู้สึกโดยไม่ได้เข้าถึงประเด็นแห่งเนื้อหาและหลักการ ซึ่งจะกล่าวอย่างไรก็ได้ แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรในทาง
ภูมิปัญญาและความเข้าใจที่ดีขึ้น รวมทั้งการสร้างสรรค์ที่จะหาหลักการที่ถูกต้องเพื่อจะนำมาเป็นหลักเพื่อการแก้ไขปรับปรุงที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการเรียนการสอนที่สามารถสร้างหลักประกันความยุติธรรมได้ต่อไป หลายคนที่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างสะใจนั้นขาดวิสัยทัศน์อันยาวไกลที่จะเห็นว่า สังคมใดขาดหลักยึดของความยุติธรรมและความเป็นธรรม สังคมนั้นมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นอนาธิปไตยได้โดยง่าย สังคมใดที่ขาดหลักยึดความถูกต้อง หลักนิติธรรม ความมีเหตุมีผล การใช้หลักการสติสัมปชัญญะในการพิจารณา วิเคราะห์ วินิจฉัย หากถูกครอบงำด้วยโมหะจริต อยู่ใต้อิทธิพลของสถานการณ์ทางการเมืองหรือสังคมเฉพาะช่วงของเวลา ย่อมทำให้มองไม่เห็นภาพใหญ่และภาพไกลในอนาคต
เช่นเดียวกับบทความนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการโต้แย้งในลักษณะที่ไม่ให้เกียรติแก่ผู้เขียน ใช้ภาษาหยาบโลน ดูถูกดูแคลน ขาดความเป็นผู้ดี สะท้อนถึงภูมิหลังของผู้แสดงความคิดเห็นว่าเป็นคนมาจากสภาพแวดล้อมเช่นใด มีระดับการศึกษาและความคิดมากน้อยเพียงใด แทนที่จะมีความกล้าหาญถกเถียงกันในเนื้อหาในลักษณะวิชาการ แต่อาจจะลงเอยด้วยการกล่าวง่ายๆ ว่า ไม่สร้างสรรค์ คิดแต่ทำลาย เลอะเทอะ โดยคำกล่าวเช่นนั้นไม่มีน้ำหนักอะไรทั้งสิ้นซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดว่าเกิดขึ้นได้ เพราะอ่านจากคนที่แสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ก็จะปรากฏภาษาเช่นนี้ตลอด เพราะผู้แสดงความคิดเห็นไม่ต้องเปิดเผยตัวว่าเป็นใคร และเมื่อเชิญชวนให้มาแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะก็ไม่เคยตอบรับ ที่สำคัญถ้าเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสังคมที่กำลังสติแตกและเกิดสภาพของปัญญาวิปริต สิ่งที่น่าเสียดายยิ่งก็คือ ความมีเหตุมีผลในลักษณะของชาวพุทธกำลังเหือดหายไปทุกที สังคมกำลังตกอยู่ในสภาวะที่เคว้งคว้าง ขาดที่พึ่ง ขาดหลักยึด ซึ่งสะท้อนออกมาจากพฤติกรรมหลายส่วน หลายเรื่อง ผู้ซึ่งมีสติมั่นคงสามารถคิดอย่างวัตถุวิสัยจะเกิดความวิตกวิจารณ์และเศร้าสลด และเป็นห่วงอนาคตของสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง ก็ได้แต่หวังว่าภูมิปัญญาอันดั้งเดิม ความสุขุมคัมภีรภาพ ความมีเหตุมีผล เมตตาธรรม ความสามัคคี และความเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ภายใต้หลักชัยแห่งพระบารมีขององค์พระประมุข และคำสอนอันดีงามของศาสนาต่างๆ จะนำสังคมไทยกลับไปสู่สภาวะที่อยู่กันอย่างสมานฉันท์ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยภูมิปัญญา ความรู้และความมีสติ อีกครั้งหนึ่ง
“กฎหมายนั้น โดยหลักการจะต้องบัญญัติขึ้นใช้เป็นอย่างเดียวกันและเสมอกันสำหรับคนทั้งประเทศ จึงเป็นธรรมดาที่จะบังคับใช้ให้ได้ผลบริบูรณ์ครบถ้วนทุกกรณีไม่ได้คงต้องมีส่วนบกพร่องเกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง ตามเหตุการณ์และตัวบุคคลผู้นำกฎหมายมาใช้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ใช้กฎหมายจะต้องสำนึกตระหนักในความรับผิดชอบของตนเองอยู่ตลอดเวลา ในอันที่จะใช้กฎหมายเพื่อธำรงรักษา และผดุงความยุติธรรมถูกต้องเพียงอย่างเดียว มิใช่เพื่อผลประโยชน์อย่างอื่นๆ ในขณะนี้ทุกคนต้องทำใจให้หนักแน่นเที่ยงตรงปราศจากอคติ ให้กล้าแข็ง ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรมให้สุขุมรอบคอบ ประกอบด้วยสติและปัญญาที่จะตรวจตราและพินิจพิจารณาหาทางที่จะใช้ตัวบทกฎหมายให้ได้ผลตรงตามจุดประสงค์ คือให้เกิดความถูกต้องเที่ยงตรง โดยบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ยอมปล่อยให้มีผู้อาศัย ข้อบกพร่องทางกฎหมาย เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นในทางไม่เป็นธรรมได้ ทั้งต้องดำรงตนให้เป็นที่พึ่งของสุจริตชนด้วยเสมอ นักกฎหมายจึงจะสามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และความผาสุกของบ้านเมืองไว้ได้”
(จากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชทานแก่ผู้จบการศึกษาจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2523)
....กฎหมายนั้นไม่ใช่ตัวความยุติธรรม เป็นแต่เพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับใช้ในการรักษาและอำนวยความยุติธรรมเท่านั้น การใช้กฎหมายจึงต้องมุ่งหมายใช้เพื่อรักษาความยุติธรรม ไม่ใช่เพื่อรักษาตัวบทของกฎหมายเอง และการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดิน ก็มิได้มีวงแคบอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย หากต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย...
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้วิชาความรู้ชั้นเนติบัณฑิต สมัยที่ 33 ปีการศึกษา 2523 ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร 29 ตุลาคม 2524)
...ทุกคนจะต้องคิดพิจารณาและต้องสำนึกว่ากฎหมายไม่ใช่เครื่องจักรแท้ที่เรียกว่ากลไกของกระบวนการยุติธรรม กฎหมายไม่ใช่กลไก แต่เป็นสิ่งที่ต้องใช้สมองคิด และสมองนี้ออกจะยืดหยุ่นได้มาก จึงต้องพิจารณาให้รอบคอบ และพยายามถ่ายทอดการพิจารณาอันรอบคอบนั้นให้เป็นหลักวิชาที่เป็นที่เข้าใจแก่ประชาชนและแก่ตนเอง...
(พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงาน “นิติศาสตร์จุฬา” ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 13 มีนาคม 2512)
...กฎหมายทั้งปวงจะธำรงความยุติธรรมและถูกต้องเที่ยงตรง หรือจะธำรงความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพเต็มเปี่ยมอยู่ได้หรือไม่เพียงไรนั้นขึ้นอยู่กับการใช้ คือ ถ้าใช้ให้ได้ถูกวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นๆ จริงแล้ว ก็จะทรงความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพอันสมบูรณ์ไว้ได้ แต่ถ้าหากนำไปใช้ให้ผิดวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ โดยการพลิกแพลงบิดพลิ้วให้ผันผวนไปด้วยความหลงผิดด้วยอคติ หรือด้วยเจตนาอันไม่สุจริตต่างๆ กฎหมายก็เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์และประสิทธิภาพลงทันที และกลับกลายเป็นพิษเป็นภัยแก่ประชาชนอย่างใหญ่หลวง...
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร 19 กรกฎาคม ตุลาคม 2520)
แต่ที่สำคัญการวิพากษ์วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย หลักนิติธรรม กระบวนการยุติธรรม ความยุติธรรม ฯลฯ จะต้องกระทำด้วยวิชาความรู้ ด้วยใจเที่ยงธรรม มากกว่าการใช้ข้อพิจารณาทางการเมืองด้วยอารมณ์เป็นฝักเป็นฝ่าย แสดงความคิดเห็นโดยใช้ความรู้สึกจนไม่สามารถทำใจให้เที่ยงตรงได้ ซึ่งปรากฏเห็นอย่างดาษดื่นในการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นของนักนิติศาสตร์ทั้งสองฝ่าย และขณะเดียวกันผู้วิพากษ์วิจารณ์หลายครั้งกับแสดงความไม่รู้ถึงหลักการทางกฎหมายอย่างสิ้นเชิง หากแต่ใช้ความสามัญสำนึกและความรู้สึกโดยไม่ได้เข้าถึงประเด็นแห่งเนื้อหาและหลักการ ซึ่งจะกล่าวอย่างไรก็ได้ แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรในทาง
ภูมิปัญญาและความเข้าใจที่ดีขึ้น รวมทั้งการสร้างสรรค์ที่จะหาหลักการที่ถูกต้องเพื่อจะนำมาเป็นหลักเพื่อการแก้ไขปรับปรุงที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการเรียนการสอนที่สามารถสร้างหลักประกันความยุติธรรมได้ต่อไป หลายคนที่ได้แสดงความคิดเห็นอย่างสะใจนั้นขาดวิสัยทัศน์อันยาวไกลที่จะเห็นว่า สังคมใดขาดหลักยึดของความยุติธรรมและความเป็นธรรม สังคมนั้นมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นอนาธิปไตยได้โดยง่าย สังคมใดที่ขาดหลักยึดความถูกต้อง หลักนิติธรรม ความมีเหตุมีผล การใช้หลักการสติสัมปชัญญะในการพิจารณา วิเคราะห์ วินิจฉัย หากถูกครอบงำด้วยโมหะจริต อยู่ใต้อิทธิพลของสถานการณ์ทางการเมืองหรือสังคมเฉพาะช่วงของเวลา ย่อมทำให้มองไม่เห็นภาพใหญ่และภาพไกลในอนาคต
เช่นเดียวกับบทความนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการโต้แย้งในลักษณะที่ไม่ให้เกียรติแก่ผู้เขียน ใช้ภาษาหยาบโลน ดูถูกดูแคลน ขาดความเป็นผู้ดี สะท้อนถึงภูมิหลังของผู้แสดงความคิดเห็นว่าเป็นคนมาจากสภาพแวดล้อมเช่นใด มีระดับการศึกษาและความคิดมากน้อยเพียงใด แทนที่จะมีความกล้าหาญถกเถียงกันในเนื้อหาในลักษณะวิชาการ แต่อาจจะลงเอยด้วยการกล่าวง่ายๆ ว่า ไม่สร้างสรรค์ คิดแต่ทำลาย เลอะเทอะ โดยคำกล่าวเช่นนั้นไม่มีน้ำหนักอะไรทั้งสิ้นซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดว่าเกิดขึ้นได้ เพราะอ่านจากคนที่แสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ก็จะปรากฏภาษาเช่นนี้ตลอด เพราะผู้แสดงความคิดเห็นไม่ต้องเปิดเผยตัวว่าเป็นใคร และเมื่อเชิญชวนให้มาแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะก็ไม่เคยตอบรับ ที่สำคัญถ้าเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสังคมที่กำลังสติแตกและเกิดสภาพของปัญญาวิปริต สิ่งที่น่าเสียดายยิ่งก็คือ ความมีเหตุมีผลในลักษณะของชาวพุทธกำลังเหือดหายไปทุกที สังคมกำลังตกอยู่ในสภาวะที่เคว้งคว้าง ขาดที่พึ่ง ขาดหลักยึด ซึ่งสะท้อนออกมาจากพฤติกรรมหลายส่วน หลายเรื่อง ผู้ซึ่งมีสติมั่นคงสามารถคิดอย่างวัตถุวิสัยจะเกิดความวิตกวิจารณ์และเศร้าสลด และเป็นห่วงอนาคตของสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง ก็ได้แต่หวังว่าภูมิปัญญาอันดั้งเดิม ความสุขุมคัมภีรภาพ ความมีเหตุมีผล เมตตาธรรม ความสามัคคี และความเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ภายใต้หลักชัยแห่งพระบารมีขององค์พระประมุข และคำสอนอันดีงามของศาสนาต่างๆ จะนำสังคมไทยกลับไปสู่สภาวะที่อยู่กันอย่างสมานฉันท์ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยภูมิปัญญา ความรู้และความมีสติ อีกครั้งหนึ่ง