.
ก่อนปี พ.ศ.2475 ระบบการปกครองการบริหารของบ้านเมืองเราเป็นระบบการปกครองใน “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ที่สามารถเรียกทางวิชาการทางรัฐศาสตร์ว่า “รัฐราชาธิปไตย” โดยสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันทางการปกครองการบริหารสูงสุด ไม่มีกฎหมายใดที่ถูกนำมาใช้ในการบริหารชาติบ้านเมือง
“รัฐราชาธิปไตย” ตลอดมาก่อนยุคการเปลี่ยนแปลง เหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างอยู่กินกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้ “บรมโพธิสมภาร” เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วย “ทศพิธราชธรรม” จนชาติบ้านเมืองสามารถรักษาเอกราชมาตราบเท่าทุกวันนี้
แต่หลังจาก พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา ความจริงที่เราต่างต้องยอมรับว่า “ชาติบ้านเมืองระส่ำระสาย-ปั่นป่วน” มาโดยตลอด ไม่ว่าจะ “เสถียรภาพทางการเมือง-เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ” ตลอดจน “เสถียรภาพทางสังคม” ที่เกิดจากการ “แก่งแย่ง” ทั้ง “อำนาจ-ผลประโยชน์” ของเหล่าบรรดา “ข้าราชการ-อำมาตย์-ขุนนาง” ทั้งฝ่าย “พลเรือน-ฝ่ายตำรวจ” โดยเฉพาะ “ฝ่ายทหาร”
เราได้ยินมาโดยตลอดหลังจาก “ระบบราชาธิปไตย” จนมาเป็น “ระบบอำมาตยาธิปไตย” จนเป็น “รัฐราชการ (Bureaucratic Polity)” ที่ชาติบ้านเมืองสลับกันบริหารชาติบ้านเมืองโดย “อำมาตย์-ขุนนาง” ซึ่งก็คือ “ข้าราชการ” ที่ยังยึดติดอยู่กับ “ระบบศักดินา (Feudalism)” ที่เราต้องยอมรับว่าเป็น “วัฒนธรรมการเมืองการปกครอง (Political Culture)” ของไทยมาโดยตลอด แม้กระทั่งทุกวันนี้
“อำมาตยาธิปไตย” หรือ “รัฐราชการ” นี้ สถาบันที่อภิมหาใหญ่ที่สุดคือ “สถาบันราชการ” ที่คนไทยมักเรียกขานเชิงประชดประชันว่า “เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด!” โดยจะมีสามสถาบันหลักๆ ที่มีบทบาทสูงและมากที่สุด กล่าวคือ “ทหาร-ตำรวจ” และแน่นอนที่สุดคือ “มหาดไทย”
เราคงได้ยินบ่อยครั้ง แม้กระทั่งทุกวันนี้ ที่จะต้องกล่าวถึง “ฝ่ายความมั่นคง หมายถึง ทหาร ฝ่ายปราบปราม หมายถึง ตำรวจ และฝ่ายปกครอง หมายถึง มหาดไทย” เพราะฉะนั้น ประเทศไทยเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “สามฝ่าย” ต่างเป็นกลไกและมีบทบาทมากที่สุด ในการบริหารจัดการชาติบ้านเมือง แม้กระทั่งในยุคของ “ราชาธิปไตย” ก็ตาม
ตำแหน่ง “สมุหกลาโหม” ในอดีต ก็คือ ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด ดูแลด้านกองทัพ และ “สมุหนายก” ก็คือ ตำแหน่งสูงสุดทางด้านการปกครองและการบริหารฝ่ายพลเรือน
ถามว่าทุกวันนี้ ทั้งสองตำแหน่งสำคัญนี้ยังมีบทบาทสูงกับ “ระบบการเมืองการปกครองการบริหาร” ของไทยอยู่หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ใช่-แน่นอนที่สุด” ไม่ว่า “ระบบการเมือง” จะเป็น “ระบบประชาธิปไตย” เพียงใด แม้กระทั่งในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจเบ่งบานสุดขีด ก็ยังต้องยึดติดกับโครงสร้างของสองสถาบันนี้ โดยขอย้ำอีกครั้งว่า คือ “ฝ่ายความมั่นคง-ปราบปราม : ทหาร-ตำรวจ” และ “ฝ่ายปกครอง : กระทรวงมหาดไทย” ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทุกคนก็ต้องใช้สองสถาบันนี้เป็น “ฐานอำนาจ” แต่คุณทักษิณ ชินวัตร ทั้ง “สร้าง” และ “ยึดติด” กับ “ฐานอำนาจทั้งสองมากที่สุด!” ด้วยการแทรกแซงและนำคนของตนเองมาเป็น “เสาหลัก” ของฐานอำนาจนี้
รากฐานของโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองการบริหารของไทยเรานั้น เราคงหลีกเลี่ยงไม่พ้นอย่างแน่นอนจาก “วัฒนธรรมการเมืองการปกครอง” นี้ที่ “สามสถาบันหลัก” มีความสำคัญมากที่สุด และแน่นอนเมื่อใครขึ้นมาเป็นใหญ่ก็จะ “สร้างฐานอำนาจ” นี้ด้วยการ “รื้อ” ฐานอำนาจเดิมแล้วก็สร้างฐานอำนาจใหม่ ด้วยการบรรจุคนของตนเองมาเป็น “เสาค้ำอำนาจ” ให้กับตนเอง
เราจะได้ยินคำว่า “รัฐทหาร” บ้าง “รัฐตำรวจ” บ้าง ซึ่งก็เป็นทั้งสอง “รัฐ” ที่ “สลับกันเป็นใหญ่ไปมาโดยตลอด” แต่ “รัฐทหาร” นั้นมักจะ “คงทนถาวร!” ยาวนานมากที่สุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “รัฐทหาร” จะมีระยะเวลาในการยึดครองอำนาจมากที่สุดตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา และ “กองทัพ” จะเป็นฝ่ายที่ก่อการ “ปฏิวัติรัฐประหาร!” ทุกครั้งไป
ถามว่า ทุกครั้งที่เกิดการ “ยึดอำนาจ-รัฐประหาร (Coup D’ Etat)” นั้น เกิดจากสาเหตุสำคัญของฝ่ายการเมืองที่ “ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง” มากที่สุด จนประเทศชาติผุกร่อน การเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจจากประชาชนเกิดขึ้นทุกครั้ง เนื่องด้วย “ทนไม่ไหว!” นั่นหนึ่งล่ะ และสาเหตุที่สองเกิดจาก “การแก่งแย่งอำนาจ” ในกองทัพกันเองที่ “ไม่ลงตัว!” จึงเกิดรัฐประหารหลายครั้ง จากสาเหตุนี้เช่นเดียวกัน แต่สาเหตุหลักคือ “นักการเมืองโกง!”
“วงจรอุบาทว์” เกิดจาก “การทุจริตคดโกงของนักการเมือง กองทัพยึดอำนาจ ร่างรัฐธรรมนูญกลับสู่ระบบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล นักการเมืองคดโกง ทหารปฏิวัติฯ” นี่ละ! คือ “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม “วงจรอุบาทว์การเมืองไทย” ในช่วงระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา มักไม่ค่อยเกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือ “กองทัพ” กลับสู่กรมกองไม่วุ่นวายกับการเมือง ปล่อยให้เป็นไปตาม “วิถีทางประชาธิปไตย (Ways of Democracy)” จนกระทั่งมาถึงยุค “ธุรกิจการเมือง” ที่เรียกขานทางวิชาการว่า “ธนาธิปไตย” จนกลายมาเป็น “วาณิชยาธิปไตย” ที่ระบบการเมืองการปกครองการบริหารขับเคลื่อนและเดินได้ด้วย “เงิน-ทุน” และไม่สำคัญเท่ากับ บรรดา “อาเสี่ย-เถ้าแก่” มาเป็น “ขุนนาง” บริหารชาติบ้านเมืองดั่งเช่น “บริษัท-ร้านค้า” ของตนเองแถม “อวดศักดินา!” อีกต่างหาก ด้วย “การกินมูมมามแบบพุงกางตาหยี!”
ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นยุคที่คุณทักษิณ เพียรพยายามสร้าง “รัฐตำรวจ” ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ “ตำรวจ” ศิโรราบมายาวนานตั้งแต่ยุคพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ โดยเป็น “รัฐทหาร” มาโดยตลอด จนในที่สุด ก็ต้องยอมรับว่า คุณทักษิณ สร้าง “รัฐตำรวจ” ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยตำแหน่งหลักๆ ทั้งองค์กรอิสระและหน่วยงานราชการต่างๆ “ตำรวจ” ยึดครองเบ็ดเสร็จ แม้กระทั่งจะสร้าง “ทายาทเครือญาติ” มาเป็นผู้นำสูงสุดในองค์กรตำรวจ แต่ก็ “ล้มไม่เป็นท่า!” เสียก่อน เรียกว่า “ระบบอุปถัมภ์-ระบบเครือญาติ-ระบบเล่นพรรคเล่นพวก” คุณทักษิณ บวก “คุณหญิง” แห่ง “วังจันทร์ส่องหล้า” จะ “รวบ-ฮุบ" แบบ “เบ็ดเสร็จเด็ดขาด”
แม้กระทั่งในกองทัพบก กองทัพอากาศ ก็นำเอาญาติพี่น้องเพื่อร่วมรุ่น “ยึดหัวหาด!” แบบเบ็ดเสร็จเช่นเดียวกัน โดยพุ่งไปที่เป้าหมายเดียวคือ “ฐานอำนาจค้ำบัลลังก์!” ของตนเองทั้งสิ้น มิได้มุ่งประโยชน์ประชาชนแต่อย่างใด!
เรียกว่า ยุคคุณทักษิณนั้น “รัฐตำรวจ” เฟื่องฟูเบ่งบานที่สุด จนบรรดาเหล่าทหารทั้งหมดตกอยู่ในสภาพ “จ๋องหงอด!” จนไม่มีที่จะยืนใน “ศูนย์อำนาจ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ถูกตัดงบประมาณ” แบบไม่มีอะไรเหลือหรอ!
แต่แล้วในที่สุดก็เกิดการ “สวิง” กลับด้านอำนาจจาก “รัฐตำรวจ” กลับมาเป็น “รัฐทหาร” อีกครั้งหนึ่ง โดยปัจจุบัน “สถาบันตำรวจ” ถูกผ่าตัดครั้งใหญ่ รื้อโครงสร้าง “แยกร่าง” ออกอย่างกระจัดกระจาย พร้อมปรับโครงสร้างที่จะให้ไปอยู่กับ “กระทรวงยุติธรรม” แต่ตำแหน่งประธานคณะกรรมการตำรวจก็ยังเป็นของนายกรัฐมนตรี
ขณะนี้ยังไม่ได้ “ข้อยุติชัดเจน” เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องด้วย ต้องนำร่าง พ.ร.บ.สำคัญสองฉบับนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งก็ยังไม่เห็นความชัดเจนว่า จะถูกปรับแก้ไขอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้ “แนวคิดโครงสร้างตำรวจ” กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ คัดค้านในวงกว้าง จากทั้งอดีตตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในอดีตและข้าราชการตำรวจทั่วไป
นอกเหนือจากเป้าหมายที่ต้องการปรับโครงสร้างตำรวจ เพื่อหวังผลประสิทธิภาพประสิทธิผล และแก้ไขข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับตำรวจแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจอย่างมากคือ “ตำรวจ” ก็คือ “ข้าราชการ” ที่ต้องปฏิบัติภารกิจหน้าที่การงานภายใต้ “องค์กรราชการ” อยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงยุติธรรม
เพียงแต่ปัญหาสำคัญที่ก่อให้เกิดผลเสียแก่ “ตำรวจ” เกิดมาจาก คุณทักษิณ ชินวัตร พยายามก่อสร้าง “รัฐตำรวจ” มากจนเกินไป จนก่อให้เกิด “ความเกรงขาม-เกรงกลัว” ของสถาบันราชการอื่นๆ จนมิใช่เพียงแต่ “ปรับ-ผ่าตัด” เท่านั้น แต่ยังเป็นการ “แยกชิ้นส่วน” ให้กระจัดกระจายต่อไม่ติดอีกต่อไป พูดง่ายๆ คือ ไม่ให้มี “การรวมตัว” เพื่อถูกสร้างให้เป็น “รัฐอำนาจ” ได้อีกต่อไป ทั้งนี้ ฟันธงเลยว่า ถ้าได้ผู้นำอย่างคุณทักษิณอีก “ตำรวจ” ก็จะใหญ่อีก เหมือน “กองทัพ” ในปัจจุบันก็กลับสู่สถานะเดิม “รัฐทหาร” เช่นเคย
ขอย้ำว่า “ตำรวจ” ยุคนี้ “พัง!” เพราะคุณทักษิณ!
ทั้งนี้ท้ายสุด ขอเตือนสติ “ผู้ยิ่งใหญ่” ทั้งหลายว่า “ไม่ว่าจะเป็นรัฐตำรวจหรือรัฐทหารในปัจจุบัน เป้าหมายที่สำคัญที่สุดที่จะต้องสร้างคือ รัฐประชาชน ที่จะสร้างความแข็งแกร่ง มั่นคง เสถียรภาพให้แก่ประเทศชาติ!”
เพราะฉะนั้น พี่น้องประชาชนต้องตื่นตัว ปลุกจิตสำนึกว่า บ้านนี้ เมืองนี้ เป็นของเราชาวไทยทุกคน มิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะเป็น “รัฐทหาร” หรือ “รัฐตำรวจ” หรือ “ประชาธิปไตย” มากมายเพียงใด “ถ้าประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบถูกหลอกลวงตลอดโดยไร้คุณธรรม”
จะกลับเป็น “ราชาธิปไตย” อย่างเดิมก็ไม่ว่า เพราะเปี่ยมล้นไปด้วย “ทศพิธราชธรรม”
ก่อนปี พ.ศ.2475 ระบบการปกครองการบริหารของบ้านเมืองเราเป็นระบบการปกครองใน “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ที่สามารถเรียกทางวิชาการทางรัฐศาสตร์ว่า “รัฐราชาธิปไตย” โดยสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันทางการปกครองการบริหารสูงสุด ไม่มีกฎหมายใดที่ถูกนำมาใช้ในการบริหารชาติบ้านเมือง
“รัฐราชาธิปไตย” ตลอดมาก่อนยุคการเปลี่ยนแปลง เหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างอยู่กินกันอย่างร่มเย็นเป็นสุขภายใต้ “บรมโพธิสมภาร” เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วย “ทศพิธราชธรรม” จนชาติบ้านเมืองสามารถรักษาเอกราชมาตราบเท่าทุกวันนี้
แต่หลังจาก พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา ความจริงที่เราต่างต้องยอมรับว่า “ชาติบ้านเมืองระส่ำระสาย-ปั่นป่วน” มาโดยตลอด ไม่ว่าจะ “เสถียรภาพทางการเมือง-เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ” ตลอดจน “เสถียรภาพทางสังคม” ที่เกิดจากการ “แก่งแย่ง” ทั้ง “อำนาจ-ผลประโยชน์” ของเหล่าบรรดา “ข้าราชการ-อำมาตย์-ขุนนาง” ทั้งฝ่าย “พลเรือน-ฝ่ายตำรวจ” โดยเฉพาะ “ฝ่ายทหาร”
เราได้ยินมาโดยตลอดหลังจาก “ระบบราชาธิปไตย” จนมาเป็น “ระบบอำมาตยาธิปไตย” จนเป็น “รัฐราชการ (Bureaucratic Polity)” ที่ชาติบ้านเมืองสลับกันบริหารชาติบ้านเมืองโดย “อำมาตย์-ขุนนาง” ซึ่งก็คือ “ข้าราชการ” ที่ยังยึดติดอยู่กับ “ระบบศักดินา (Feudalism)” ที่เราต้องยอมรับว่าเป็น “วัฒนธรรมการเมืองการปกครอง (Political Culture)” ของไทยมาโดยตลอด แม้กระทั่งทุกวันนี้
“อำมาตยาธิปไตย” หรือ “รัฐราชการ” นี้ สถาบันที่อภิมหาใหญ่ที่สุดคือ “สถาบันราชการ” ที่คนไทยมักเรียกขานเชิงประชดประชันว่า “เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด!” โดยจะมีสามสถาบันหลักๆ ที่มีบทบาทสูงและมากที่สุด กล่าวคือ “ทหาร-ตำรวจ” และแน่นอนที่สุดคือ “มหาดไทย”
เราคงได้ยินบ่อยครั้ง แม้กระทั่งทุกวันนี้ ที่จะต้องกล่าวถึง “ฝ่ายความมั่นคง หมายถึง ทหาร ฝ่ายปราบปราม หมายถึง ตำรวจ และฝ่ายปกครอง หมายถึง มหาดไทย” เพราะฉะนั้น ประเทศไทยเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน “สามฝ่าย” ต่างเป็นกลไกและมีบทบาทมากที่สุด ในการบริหารจัดการชาติบ้านเมือง แม้กระทั่งในยุคของ “ราชาธิปไตย” ก็ตาม
ตำแหน่ง “สมุหกลาโหม” ในอดีต ก็คือ ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด ดูแลด้านกองทัพ และ “สมุหนายก” ก็คือ ตำแหน่งสูงสุดทางด้านการปกครองและการบริหารฝ่ายพลเรือน
ถามว่าทุกวันนี้ ทั้งสองตำแหน่งสำคัญนี้ยังมีบทบาทสูงกับ “ระบบการเมืองการปกครองการบริหาร” ของไทยอยู่หรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “ใช่-แน่นอนที่สุด” ไม่ว่า “ระบบการเมือง” จะเป็น “ระบบประชาธิปไตย” เพียงใด แม้กระทั่งในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจเบ่งบานสุดขีด ก็ยังต้องยึดติดกับโครงสร้างของสองสถาบันนี้ โดยขอย้ำอีกครั้งว่า คือ “ฝ่ายความมั่นคง-ปราบปราม : ทหาร-ตำรวจ” และ “ฝ่ายปกครอง : กระทรวงมหาดไทย” ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทุกคนก็ต้องใช้สองสถาบันนี้เป็น “ฐานอำนาจ” แต่คุณทักษิณ ชินวัตร ทั้ง “สร้าง” และ “ยึดติด” กับ “ฐานอำนาจทั้งสองมากที่สุด!” ด้วยการแทรกแซงและนำคนของตนเองมาเป็น “เสาหลัก” ของฐานอำนาจนี้
รากฐานของโครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองการบริหารของไทยเรานั้น เราคงหลีกเลี่ยงไม่พ้นอย่างแน่นอนจาก “วัฒนธรรมการเมืองการปกครอง” นี้ที่ “สามสถาบันหลัก” มีความสำคัญมากที่สุด และแน่นอนเมื่อใครขึ้นมาเป็นใหญ่ก็จะ “สร้างฐานอำนาจ” นี้ด้วยการ “รื้อ” ฐานอำนาจเดิมแล้วก็สร้างฐานอำนาจใหม่ ด้วยการบรรจุคนของตนเองมาเป็น “เสาค้ำอำนาจ” ให้กับตนเอง
เราจะได้ยินคำว่า “รัฐทหาร” บ้าง “รัฐตำรวจ” บ้าง ซึ่งก็เป็นทั้งสอง “รัฐ” ที่ “สลับกันเป็นใหญ่ไปมาโดยตลอด” แต่ “รัฐทหาร” นั้นมักจะ “คงทนถาวร!” ยาวนานมากที่สุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “รัฐทหาร” จะมีระยะเวลาในการยึดครองอำนาจมากที่สุดตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา และ “กองทัพ” จะเป็นฝ่ายที่ก่อการ “ปฏิวัติรัฐประหาร!” ทุกครั้งไป
ถามว่า ทุกครั้งที่เกิดการ “ยึดอำนาจ-รัฐประหาร (Coup D’ Etat)” นั้น เกิดจากสาเหตุสำคัญของฝ่ายการเมืองที่ “ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง” มากที่สุด จนประเทศชาติผุกร่อน การเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจจากประชาชนเกิดขึ้นทุกครั้ง เนื่องด้วย “ทนไม่ไหว!” นั่นหนึ่งล่ะ และสาเหตุที่สองเกิดจาก “การแก่งแย่งอำนาจ” ในกองทัพกันเองที่ “ไม่ลงตัว!” จึงเกิดรัฐประหารหลายครั้ง จากสาเหตุนี้เช่นเดียวกัน แต่สาเหตุหลักคือ “นักการเมืองโกง!”
“วงจรอุบาทว์” เกิดจาก “การทุจริตคดโกงของนักการเมือง กองทัพยึดอำนาจ ร่างรัฐธรรมนูญกลับสู่ระบบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล นักการเมืองคดโกง ทหารปฏิวัติฯ” นี่ละ! คือ “วงจรอุบาทว์” ของการเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม “วงจรอุบาทว์การเมืองไทย” ในช่วงระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา มักไม่ค่อยเกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือ “กองทัพ” กลับสู่กรมกองไม่วุ่นวายกับการเมือง ปล่อยให้เป็นไปตาม “วิถีทางประชาธิปไตย (Ways of Democracy)” จนกระทั่งมาถึงยุค “ธุรกิจการเมือง” ที่เรียกขานทางวิชาการว่า “ธนาธิปไตย” จนกลายมาเป็น “วาณิชยาธิปไตย” ที่ระบบการเมืองการปกครองการบริหารขับเคลื่อนและเดินได้ด้วย “เงิน-ทุน” และไม่สำคัญเท่ากับ บรรดา “อาเสี่ย-เถ้าแก่” มาเป็น “ขุนนาง” บริหารชาติบ้านเมืองดั่งเช่น “บริษัท-ร้านค้า” ของตนเองแถม “อวดศักดินา!” อีกต่างหาก ด้วย “การกินมูมมามแบบพุงกางตาหยี!”
ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นยุคที่คุณทักษิณ เพียรพยายามสร้าง “รัฐตำรวจ” ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ “ตำรวจ” ศิโรราบมายาวนานตั้งแต่ยุคพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ โดยเป็น “รัฐทหาร” มาโดยตลอด จนในที่สุด ก็ต้องยอมรับว่า คุณทักษิณ สร้าง “รัฐตำรวจ” ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยตำแหน่งหลักๆ ทั้งองค์กรอิสระและหน่วยงานราชการต่างๆ “ตำรวจ” ยึดครองเบ็ดเสร็จ แม้กระทั่งจะสร้าง “ทายาทเครือญาติ” มาเป็นผู้นำสูงสุดในองค์กรตำรวจ แต่ก็ “ล้มไม่เป็นท่า!” เสียก่อน เรียกว่า “ระบบอุปถัมภ์-ระบบเครือญาติ-ระบบเล่นพรรคเล่นพวก” คุณทักษิณ บวก “คุณหญิง” แห่ง “วังจันทร์ส่องหล้า” จะ “รวบ-ฮุบ" แบบ “เบ็ดเสร็จเด็ดขาด”
แม้กระทั่งในกองทัพบก กองทัพอากาศ ก็นำเอาญาติพี่น้องเพื่อร่วมรุ่น “ยึดหัวหาด!” แบบเบ็ดเสร็จเช่นเดียวกัน โดยพุ่งไปที่เป้าหมายเดียวคือ “ฐานอำนาจค้ำบัลลังก์!” ของตนเองทั้งสิ้น มิได้มุ่งประโยชน์ประชาชนแต่อย่างใด!
เรียกว่า ยุคคุณทักษิณนั้น “รัฐตำรวจ” เฟื่องฟูเบ่งบานที่สุด จนบรรดาเหล่าทหารทั้งหมดตกอยู่ในสภาพ “จ๋องหงอด!” จนไม่มีที่จะยืนใน “ศูนย์อำนาจ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ถูกตัดงบประมาณ” แบบไม่มีอะไรเหลือหรอ!
แต่แล้วในที่สุดก็เกิดการ “สวิง” กลับด้านอำนาจจาก “รัฐตำรวจ” กลับมาเป็น “รัฐทหาร” อีกครั้งหนึ่ง โดยปัจจุบัน “สถาบันตำรวจ” ถูกผ่าตัดครั้งใหญ่ รื้อโครงสร้าง “แยกร่าง” ออกอย่างกระจัดกระจาย พร้อมปรับโครงสร้างที่จะให้ไปอยู่กับ “กระทรวงยุติธรรม” แต่ตำแหน่งประธานคณะกรรมการตำรวจก็ยังเป็นของนายกรัฐมนตรี
ขณะนี้ยังไม่ได้ “ข้อยุติชัดเจน” เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องด้วย ต้องนำร่าง พ.ร.บ.สำคัญสองฉบับนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งก็ยังไม่เห็นความชัดเจนว่า จะถูกปรับแก้ไขอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้ “แนวคิดโครงสร้างตำรวจ” กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ คัดค้านในวงกว้าง จากทั้งอดีตตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในอดีตและข้าราชการตำรวจทั่วไป
นอกเหนือจากเป้าหมายที่ต้องการปรับโครงสร้างตำรวจ เพื่อหวังผลประสิทธิภาพประสิทธิผล และแก้ไขข้อกล่าวหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับตำรวจแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจอย่างมากคือ “ตำรวจ” ก็คือ “ข้าราชการ” ที่ต้องปฏิบัติภารกิจหน้าที่การงานภายใต้ “องค์กรราชการ” อยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี หรือกระทรวงยุติธรรม
เพียงแต่ปัญหาสำคัญที่ก่อให้เกิดผลเสียแก่ “ตำรวจ” เกิดมาจาก คุณทักษิณ ชินวัตร พยายามก่อสร้าง “รัฐตำรวจ” มากจนเกินไป จนก่อให้เกิด “ความเกรงขาม-เกรงกลัว” ของสถาบันราชการอื่นๆ จนมิใช่เพียงแต่ “ปรับ-ผ่าตัด” เท่านั้น แต่ยังเป็นการ “แยกชิ้นส่วน” ให้กระจัดกระจายต่อไม่ติดอีกต่อไป พูดง่ายๆ คือ ไม่ให้มี “การรวมตัว” เพื่อถูกสร้างให้เป็น “รัฐอำนาจ” ได้อีกต่อไป ทั้งนี้ ฟันธงเลยว่า ถ้าได้ผู้นำอย่างคุณทักษิณอีก “ตำรวจ” ก็จะใหญ่อีก เหมือน “กองทัพ” ในปัจจุบันก็กลับสู่สถานะเดิม “รัฐทหาร” เช่นเคย
ขอย้ำว่า “ตำรวจ” ยุคนี้ “พัง!” เพราะคุณทักษิณ!
ทั้งนี้ท้ายสุด ขอเตือนสติ “ผู้ยิ่งใหญ่” ทั้งหลายว่า “ไม่ว่าจะเป็นรัฐตำรวจหรือรัฐทหารในปัจจุบัน เป้าหมายที่สำคัญที่สุดที่จะต้องสร้างคือ รัฐประชาชน ที่จะสร้างความแข็งแกร่ง มั่นคง เสถียรภาพให้แก่ประเทศชาติ!”
เพราะฉะนั้น พี่น้องประชาชนต้องตื่นตัว ปลุกจิตสำนึกว่า บ้านนี้ เมืองนี้ เป็นของเราชาวไทยทุกคน มิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะเป็น “รัฐทหาร” หรือ “รัฐตำรวจ” หรือ “ประชาธิปไตย” มากมายเพียงใด “ถ้าประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบถูกหลอกลวงตลอดโดยไร้คุณธรรม”
จะกลับเป็น “ราชาธิปไตย” อย่างเดิมก็ไม่ว่า เพราะเปี่ยมล้นไปด้วย “ทศพิธราชธรรม”