xs
xsm
sm
md
lg

วันภาษาไทย 29 กรกฎาคม

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

.
เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับภาษาไทยไว้ว่า

ภาษาไทยหรือภาษาทั้งหลายที่ใช้กันในปัจจุบันนั้น เป็นภาษาที่มีชีวิต เป็นภาษาที่ประชาชนใช้ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงในความหมาย ถ้าเราบัญญัติศัพท์อะไรขึ้นมา ก็จะขอให้ประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้ที่มีความคิดในด้านภาษาเป็นศัพท์บัญญัติกรกันทั้งชาติ หรือเป็นวิทยากรผู้ที่มีความรู้ทั้งชาติก็ไม่ได้ เราจะไปโกรธประชาชนแทนโกรธตัวเองไม่ได้ แก้ตัวไม่หลุด ทางที่ดีเราบัญญัติศัพท์แล้วก็ต้องดูว่าเขาเข้าใจหรือเปล่า การบัญญัติศัพท์หรือการมีคำใหม่มีบ่อเกิดหลายทาง มีบ่อเกิดอย่างหนึ่ง ท่านทั้งหลายที่เป็นศัพท์บัญญัติกรก็เป็นบ่อเกิด ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรแทนบ่อเกิด อีกบ่อเกิดหนึ่งก็คือ สำนักข่าวต่างๆ ที่แปลจากภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศมาเป็นภาษาไทย ก็ออกมาเป็นภาษาประหลาดๆ เหมือนกัน อีกอย่างหนึ่ง ภาษาชาวบ้านหรือภาษาเด็กๆ Slang นั้น ซึ่งใช้กันด้วยความหมายพิเศษของหมู่คณะ บางทีก็ติดเหมือนกัน อย่างขณะนี้คิดออกคำว่า “หล่อ” นั้น เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจว่ายังใช้กัน อย่างใช้กับคนสวยที่น่ารักน่าเกรงขามก็ว่าคนนั้นหล่อ เฉพาะผู้ชายคำว่า “หล่อ” นี้มาจากรูปหล่อ รูปหล่อก็หมายความว่า รูปร่างหน้าตาเหมือนรูปปั้น รูปหล่อ...คำว่า “หล่อ” นี้ ชักจะติดเข้ามาในภาษา อีกหน่อยก็คงกลายเป็นภาษาที่ใช้ได้ แต่ว่าพูดถึงบัญญัติศัพท์ คำต่างๆ ที่มาจากคณะกรรมการประชาชนก็มาใช้ บางทีก็มาใช้อย่างผิดๆ ถูกๆ ไม่ใช่หน้าที่ของผู้บัญญัติศัพท์ที่จะโกรธ เพราะว่าเป็นผู้นำ เป็นผู้สร้างขึ้นมาต้องทราบถึงผลสะท้อนที่จะมี ไม่ใช่ว่าบัญญัติศัพท์ขึ้นมาแล้ววางไว้ให้เด็กๆ ใช้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยในภาษาไทยเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพระราชดำรัสว่า

เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านการรักษาภาษานั้นมีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่าวิธีใช้คำมาประกอบเป็นประโยค นับเป็นปัญหาสำคัญ ปัญหาที่สามคือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทยซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้

เวลานี้เด็กไทยจำนวนมากออกเสียงผิดเพี้ยนไป ผมเคยดูรายการทีวีบันเทิงรายการหนึ่ง พิธีกรทำเสียงเพี้ยนตลอดเวลาจนฟังไม่ออกว่าพูดอะไร น่าจะถูกห้ามไม่ให้ออกรายการ ส่วนเพลงเวลานี้ก็ตกต่ำลงทั้งเนื้อร้อง ทำนอง และการออกเสียง เนื้อร้องของเพลงในสมัยก่อนมีความหมาย มีการอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบ ทำนองก็เพราะ นักร้องออกเสียงชัดเจน มาสมัยนี้เนื้อร้องเป็นเหมือนการพูดประโยคต่างๆ ออกมา พร่ำบ่น ทำนองก็คล้ายๆ กัน คนร้องก็ออกเสียงน่ารำคาญ ไม่ชัดเจน

สมัยผมเด็กๆ มีหัสนิยายพลนิกร กิมหงวน ในเรื่องมีลุงเชยเป็นคนนครสวรรค์ แกไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไร จึงทำตัวเปิ่นๆ อยู่เสมอ จึงเกิดคำว่า “เชย” ขึ้น

เวลานี้มีคำใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ส่วนหนึ่งเป็นคำเดิมที่มีความหมายใหม่ บางส่วนก็เป็นคำใหม่จริงๆ คำที่มาจากภาษาต่างประเทศนั้นก็มีแยะ ราชบัณฑิตยสถานกำลังรวบรวมคำเหล่านี้อยู่ เวลานี้ได้ประมาณหนึ่งพันคำแล้ว อย่างคำเก่าที่ติดแล้วเช่น “เชย” ก็ยังไม่มีอยู่ในพจนานุกรมจึงได้เก็บรวมไว้ด้วย

คำเก่าที่มีความหมายใหม่ เช่น “ดำน้ำ” ความหมายใหม่คือ เขียนหรือพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นเองโดยที่ไม่มีความรู้เรื่องนั้นเพราะความจำเป็น “โดน” หมายถึงถูกเป้า ตรงเป้า เช่น “โดนใจ” มีความหมายว่า ถูกใจเป็นที่พอใจ “นกเขา” แปลว่า อวัยวะเพศชาย เป็นต้น

สำหรับคำใหม่ๆ เช่น “ภุชงค์” หมายถึงผู้ชายแท้ เม้ง แปลว่า ดุ เอ็ด เมาท์ หมายถึง พูดคุยกัน “เด็กแนว” หมายถึงวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมหรือแต่งตัวเป็นแบบเฉพาะของตน “เด็กแว้น” คือพวกวัยรุ่นที่ชอบเร่งมอเตอร์ไซค์ให้มีเสียงดังมาก “เด็กสร้าง” หมายถึงคนที่ถูกฝักหรือได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ที่มีอำนาจหรือมีชื่อเสียง เป็นต้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น “บัญญัติศัพท์กร” เช่นกัน ทรงบัญญัติคำว่า “ธนาคารข้าว” “แก้มลิง” และทรงนำคำว่า “พอเพียง” มาเป็นแนวทางเศรษฐกิจแบบหนึ่งด้วย

เนื่องจากวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน และพระราชทานกระแสพระราชดำริเรื่อง ปัญหาการใช้คำไทย จึงถือว่าวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันภาษาไทย

ในปีนี้ ราชบัณฑิตยสถานร่วมกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รณรงค์การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง

ผมในฐานะนายกราชบัณฑิตยสถาน ขอเชิญชวนท่านทั้งหลายไปร่วมงานนี้ ซึ่งจะมีการแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสถานที่และกิจกรรมต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น